Quantcast
Channel: Thumbsup
Viewing all 2237 articles
Browse latest View live

ทำความรู้จัก Affiliate Marketing Platform หนึ่งในรูปแบบการตลาดแนว Performance-based Marketing

$
0
0

Screen Shot 2559-03-25 at 10.19.01 PM

Affiliate Marketing คำนี้นักการตลาดหลายคนฟังดูเหมือนเป็นวิธีการตลาดที่เก่าแล้ว แต่ถ้าได้ศึกษาจริงๆ การทำ Affiliate ยังมีหลากหลายมุมที่น่าสนใจ และช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้กับธุรกิจออนไลน์ได้อีกมาก

Screen Shot 2559-03-25 at 10.19.14 PM

โดยกระบวนการทำงานของ Affiliate Marketing ในที่นี้คือ พันธมิตรของเรา นำแบนเนอร์ไปโปรโมทบนเว็บไซต์ และเมื่อมีการสั่งซื้อสินค้า หรือลงทะเบียนที่เว็บไซต์ของผู้ลงโฆษณา ระบบจึงจะเรียกเก็บเงิน

หนึ่งในบริษัทจากแดนอาทิตย์อุทัย Interspace ผู้เชี่ยวชาญด้าน Affiliate Marketing ระดับภูมิภาคกล่าวว่า Affiliate Marketing นั้นจะคิดค่าใช้จ่ายในรูปแบบของ Cost Per Action ที่ให้ ROI ได้คุ้มค่า โดยภาคธุรกิจที่เหมาะสมในการนำมาประยุกต์ใช้เช่น อีคอมเมิร์ซ การเงินการธนาคาร สายประกัน โดยปัจจุบัน Interspace มีพันธมิตรมากกว่า 5,000 เว็บไซต์ในหลากหลายภาคธุรกิจ

ซึ่งการกำหนด Action นั้น สามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมของแต่ละภาคธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น

การซื้อสินค้า – กลุ่มสินค้าประเภท Fashion, Electronic, Cosmetic, Travel

การลงทะเบียน – สมัครบัครเครดิต สายประกัน สายอสังหาริมทรัพย์

แอปพลิเคชั่น – การกรอกฟอร์มต่างๆ มักเกี่ยวกับสายธนาคาร ประกัน สมัครงาน รถยนตร์

ดาวน์โหลด – การดาวน์โหลดโมบายแอปฯ

Screen Shot 2559-03-25 at 10.19.45 PM

ตัวอย่างของเว็บไซต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์สำหรับภาคธุรกิจการเงิน ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจพอสมควร เรามีผู้สนับสนุนเนื้อหาอย่าง moneyhub.in.th และเครดิตลิส (Credit List) ที่ให้ข้อมูลต่างๆ ด้านการเงินทั้งในส่วนของบัตรเครดิต การขอสินเชื่อ ประกันชีวิตและประกันภัย รวมถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียด

เว็บไซต์ต่างๆ (Publisher)

เราก็มีเว็บไซต์พาร์ทเนอร์อย่าง priceprice.com ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงช่วยโปรโมทผ่านการรีวิวสินค้า แต่ยังเปรียบเทียบโปรโมชั่นและราคาเพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจง่ายขึ้นอีกด้วย

ซึ่งการเริ่มต้นการ Setup ส่วน Commission นั้นง่ายๆ เพียงแค่นำ Tracking Tag ไปติดใน Banners ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของ Accesstrade เริ่มต้นสร้างรายได้ได้เลย

และตอนนี้เรากำลังเปิดรับ Publishers ในไทยอีกหลายรายที่ต้องการมาร่วมเป็นพันธมิตรกับเรา สำหรับผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ accesstrade.in.th

ผู้ลงโฆษณา (Advertiser)

Screen Shot 2559-03-25 at 10.20.01 PM

ส่วนในฟากของผู้ลงโฆษณาเรามี Dashboard ในการจัดการบริหารและตรวจดูผลของ Action ต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย

สำหรับนักโฆษณาในภาคธุรกิจที่เน้นเรื่อง Performance-based นี่เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ที่นักการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาด

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

เอไอเอสสุดล้ำ! เปิด 4.5G ครั้งแรกในโลก เตรียมเปิดใช้จริงเมษายนนี้…

$
0
0

AIS45G

แม้ว่าจะผ่านช่วงการประมูล 4G อย่างเป็นทางการไประยะหนึ่งแล้ว “เอไอเอส” ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีฐานลูกค้ามากเป็นเบอร์หนึ่ง ก็เปิดแถลงข่าวการเปิดให้บริการ 4.5G เป็นครั้งแรกของโลกในไทย โดยอาศัยเทคโนโลยีที่หลากหลายซึ่งเป็น software เชิงพาณิชย์ครั้งแรก โดยพัฒนาร่วมกับทางหัวเว่ย แถมยังจะทำความเร็วได้สูงถึง 1 Gbps ในเดือนเมษายนนี้แล้ว…

แม้ว่าในการประมูลเมื่อหลายเดือนก่อน เอไอเอส ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบการสำหรับเครือข่ายย่านความถี่ 900 MHz มาก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดที่จะพัฒนา เพื่อให้ลูกค้าที่มีมากเป็นอันดับหนึ่งในประเทศ ได้มีโอกาสใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเอไอเอสได้ร่วมมือกับ “หัวเว่ย” อีกหนึ่งผู้นำในด้านการสื่อสารโทรคมนาคม คิดค้น และผสมผสานนวัตกรรมเครือข่ายอัจริยะ ทำให้ด้วยคลื่นความถี่ที่มีอยู่ อย่าง 1800 MHz และ 2100 MHz สามารถนำมาให้บริการ “4.5G” ผ่านเทคโนโลยี LTE-U/LAA ที่ให้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 1 Gbps เลยทีเดียว

โดยนี่ถือเป็นผลงานความสำเร็จอีกขั้นจากศูนย์นวัตกรรมความร่วมมือ Joint Innovation Center หรือ JIC ระหว่างเอไอเอสและหัวเว่ย ที่ร่วมคิดค้นออกแบบและผสมผสานนวัตกรรมเครือข่ายไร้สายอัจฉริยะที่ดีที่สุด มาประยุกต์ใช้ได้จริงเป็นรายแรกของโลก โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้ ประกอบด้วยการส่งสัญญาณด้วยเสารับส่งหลายต้นแบบ MIMO 4×4, Carrier Aggregation หรือการรวมคลื่นความถี่ 1800 MHz และ 2100 MHz เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตด้วยแบนด์วิธที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงเทคโนโลยี LTE-U/LAA (ย่อมาจาก LTE-Unlicensed/ License Assisted Access) ซึ่งเป็นการรวมช่องสัญญาณบนคลื่นที่มีอยู่ เข้ากับคลื่นความถี่สาธารณะ ที่ไม่ต้องขอใบอนุญาต

ais-45g-official-2

และนั่นทำให้เอไอเอส 4.5G สามารถรับส่งข้อมูลได้ปริมาณมากขึ้น เร็วกว่าเครือข่าย 4G ถึง 2 เท่า และเพิ่มขึ้นอีก 30% และจะพัฒนาให้เร็วสูงสุดถึง 1 Gbps ภายในเดือนเม.ย.นี้ โดยลูกค้าเอไอเอสที่ใช้อุปกรณ์รองรับเทคโนโลยี LTE-U/LAA สามารถใช้งานเครือข่าย 4.5G ได้โดยอัตโนมัติทันที โดยไม่ต้องทำการสมัคร หรือตั้งค่าใดๆ เพิ่ม ด้วยค่าบริการเช่นเดียวกับแพ็กเกจปัจจุบันที่ใช้งาน

ทีมงานมีบทสัมภาษณ์ผู้บริหารเอไอเอส คุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าบริหาร เอไอเอส ซึ่งให้สัมภาษณ์ว่า

“เครือข่ายที่ดีที่สุดจากเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เป็นสิ่งที่เอไอเอสยึดเป็นเป้าหมายและพันธกิจในการพัฒนาคุณภาพเครือข่ายมาโดยตลอด นับตั้งแต่วันแรกของการให้บริการ สำหรับการเปิดตัวเครือข่าย 4.5 G ครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ จากความร่วมมือต่อเนื่องกับ “บริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักด้านเครือข่ายผ่านศูนย์นวัตกรรมความร่วมมือ Joint Innovation Center หรือ JIC ระหว่างเอไอเอสและหัวเว่ย ที่ได้ร่วมคิดค้นออกแบบและผสมผสานนวัตกรรมเครือข่ายไร้สายอัจฉริยะที่ดีที่สุด ซึ่งเอไอเอสมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เป็นโอเปอร์เรเตอร์ไทยรายแรกของโลก ในการนำเทคโนโลยีระดับโลกนี้ มามอบให้กับลูกค้าและประชาชนชาวไทยได้ใช้ประโยชน์เป็นประเทศแรกก่อนใคร ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าเอไอเอสว่า แม้เทคโนโลยีจะมีการพัฒนาไปอย่างไร จาก 2G สู่ 3G และ 4G เอไอเอสจะนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ใหม่ล่าสุด และมีคุณภาพดีที่สุดมามอบให้แก่ลูกค้าและคนไทยเสมอ เช่นการเปิดตัว 4.5G ในครั้งนี้

ais-45g-official-3

เบื้องต้นนั้น ทางเอไอเอสได้วางแผนขยายพื้นที่ให้บริการ 4.5G ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ บริเวณพื้นที่ที่มีการใช้งานหนาแน่น ภายในอาคารและศูนย์การค้า อาทิ ย่านสยามสแควร์, ราชประสงค์ โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานดาต้าให้กับลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่าย 4G ของ เอไอเอส ส่วนอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี LTE-U/LAA นั้น ผู้ผลิตอุปกรณ์ทั่วโลกต่างเริ่มบรรจุเทคโนโลยี LTE-U/LAA เข้าไปในตัวเครื่องแล้ว และจะทยอยออกสู่ตลาดในเร็วๆ นี้ อย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบัน มีอุปกรณ์ที่รองรับ 4.5G ให้บริการแล้ว อาทิ Huawei Wireless Router และเอไอเอสได้เตรียมวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่รองรับ 4.5G ภายในเดือนเมษายน 2559 เช่นกัน”

และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งก้าว ที่ถือว่าสำคัญมาก ทั้งกับวงการสื่อสารบ้านเรา หรือแม้กระทั่งการพัฒนาประเทศในแง่ของเทคโนโลยี ที่จะมีส่วนทำให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้อีกขั้น ทางทีมงาน thumbsupTH ก็หวังว่าวงการสื่อสารบ้านเรา ก็คงพัฒนาต่อเนื่องไปได้อีกไกลๆ นะครับ

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

Samsung ชูจุดเด่นบน Galaxy S7 ท้า 8 คนดังดำน้ำทดสอบอึด…

$
0
0

a8

หลังจากมีงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ประเทศสเปน ในงาน Mobile World Congress 2016 Samsung Galaxy S7 ก็มีแคมเปญโชว์ความเหนือชั้นของคุณสมบัติต่างๆ ออกมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในที่มืด และล่าสุดกับการนำสมาร์ทโฟนเรือธงไปดำน้ำโชว์โดย 8 คนดัง รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันครับ…

โดย Samsung ได้โชว์ความเหนือชั้นในการกันน้ำในระดับที่ดำได้ลึก 1.5 เมตร นานเป็นเวลา 30 นาที กับมาตรฐาน IP68 ซึ่งในงาน “Samsung Galaxy S7 Underwater Challenge” ก็ได้เชิญคนดัง 8 ท่านมาปลุกกระแสเปียกได้ไม่กลัวน้ำ โดยเป็นการจัดแข่งขันดำน้ำ พร้อมกับถ่ายคลิปวิดีโอของคนดังทั้ง 8 อีกด้วย

โดยการแข่งขันดำน้ำ เป็นการจับคู่คนดัง แบ่งเป็น 4 คู่ได้แก่ บี น้ำทิพย์-เมย์ พิชญ์นาฏ, เดี่ยว สุริยนต์-เป๋า วฤธ, มาดามมด-แจ็ค แฟนฉัน และ พีค ภัทรศยา-ปิงปอง ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ได้ทั้งหมดจะต้องลงไปดำน้ำอยู่แทงก์น้ำขนาดยักษ์กลางลานพาร์คพารากอนเพื่อพิสูจน์ความสามารถในการกันน้ำของ “ซัมซุง กาแลคซี่ เอส 7” แบบดำน้ำจริง เปียกจริง ไร้สแตนด์อิน

a6 a9 c10

c13 d7 d8

e4 e9 a3

ซึ่งเรามีบรรยากาศภาพการแข่งขันของทั้ง 4 คู่ มาให้ดูกัน รักใครเชียร์ อยู่ทีมใคร ลองไปดูกันครับว่า คนที่คุณเชียร์จะพาเจ้า Samsung Galaxy S7 ดำน้ำได้นานกว่าคู่แข่งหรือไม่

เดี่ยว & เป๋า

บี & เมย์

มาดามมด แจ็ค

พีค ปิงปอง

งานนี้ก็เรียกว่าได้ทั้งกระแสคนดู เรียกเรตติ้งจากบรรดาแฟนคลับของคนดังทั้ง 8 ได้เป็นอย่างดี แถมยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสุดยอดสมาร์ทโฟนเน็กซ์เจนรุ่นล่าสุดที่วางขายอย่างเป็นทางการแล้วทั่วประเทศ

a1

ทั้งนี้ Samsung Galaxy S7 และ S7 Edge มาพร้อมความสามารถในการกันน้ำได้ในความลึกมากที่สุดถึง 1.5 เมตร นานสุด 30 นาที ด้วยมาตรฐาน IP68 ซึ่งนับว่าเป็นมาตรฐานการกันฝุ่นและกันน้ำที่สูงที่สุดในวงการสมาร์ทโฟน เพราะฉะนั้นสงกรานต์นี้สามารถตะลุยเล่นน้ำ ทั้งโทร แชท และถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องกลัวเปียกอีกต่อไปเมื่อใช้ Samsung Galaxy S7

Samsung Galaxy S7 จำหน่ายในราคา 23,900 บาท สำหรับรุ่น Samsung Galaxy S7 และ ราคา 26,900 บาท สำหรับรุ่น Samsung Galaxy S7 Edge อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.samsung.com/th

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

คำขอบคุณจากใจ หลังงาน #SparkCon2016

$
0
0

spark_sponsor

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พวกเรากองบรรณาธิการมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดงาน และลงรายละเอียดในทุกๆ ส่วนของ Spark Conference 2016: Digital Transformation presented by dtac ทำให้ไม่ได้ทักทายและดูแล thumbsupers ทุกคนอย่างใกล้ชิด พวกเราขอโทษด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเราขอขอบคุณทุกคนสำหรับภาพสวยๆ ภาพนี้ครับ…

spark_conference_2016

ภาพ thumbsupers กว่า 1,000 คนร่วมงานของเรา พวกเราดีใจมากครับ

พวกเราขอขอบคุณ thumbsupers ทุกคนที่ติดตามพวกเรามากว่า 5 ปี พวกเราดีใจจริงๆ ที่คุณยังอยู่กับเรา พวกคุณคือแรงบันดาลใจของพวกเรา ถ้าไม่มีคนติดตามอ่าน เราก็จะไม่มีแรงเขียน ไม่มีแรงจัดงาน คุณคือทุกอย่างของเรา วันนี้ thumbsup คือชุมชนของ “นักเรียนการตลาดตลอดชีวิต” ที่จะอัปเดตข่าวสาร, บทความ, บทสัมภาษณ์ ตลอดจน event ที่มีประโยชน์สูงสุดต่อนักการตลาดไทย ถ้าเราทำอะไรให้คุณได้ ขอให้บอกพวกเรานะครับ

ผู้สนับสนุน – เราขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่สนับสนุนเรา ถ้าขาดคุณไป เราคงไม่สามารถจัดงานนี้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เราขอเริ่มจากผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ dtac ที่ช่วยเรามาตลอด, Computerlogy เราชื่นชอบเครื่องมือบนโลก Social ของคุณมาก อยากฝากทุกๆ คนติดตาม Computerlogy, Sanook! เว็บในตำนานของไทย วันนี้มาพร้อมกับดนตรีสนุกๆ ใน JOOX, SCB ธนาคารแห่งแรกของบ้านเรา และเป็นธนาคารแห่งแรกที่เรานึกถึงธนาคารยุคดิจิทัล, Syndacast กับแรงสนับสนุนที่ช่วยกันมาทุกๆ ปี

นอกจากนี้เราขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเปิดบูธกับเรา F-code (ประเทศไทย), Siam OutletSelfiprint, และหนังสือการตลาดยุคใหม่เจาะใจลูกค้า re:digital และคอร์สสัมมนาการตลาดดิจิทัลที่น่าสนใจ

เพื่อนๆ Speaker – ในงานขนาดกว่า 1,000 คน Speaker ของเราทุกคนได้รับคำชมจาก thumbsupers มากมาย เราขอขอบพระคุณ คุณ Alan Soon, คุณป้อม ศิวัตร เชาวรียวงษ์, คุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ, คุณเหม็ง สมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์, คุณ Simon Kemp, คุณวิเชียร ฤกษ์ไพศาล (พี่นิค), คุณเพ็ญ จันทร์เพ็ญ จันทนา, คุณหลิน พัชราพร ขวัญเจริญทรัพย์, คุณหมู วรวุฒิ อุ่นใจ, คุณกั๊ก วัชระ เอมวัฒน์, คุณแก่ ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง, คุณรฐิยา อิสระชัยกุล, คุณ Oliver Wilke, คุณเชษฐ สุทธิธนานนท์

Partner ทุกท่านTickettail ที่ช่วยพวกเราเรื่องการจัดการลงทะเบียน, ขอบคุณสถานที่ดีๆ ที่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย ที่ Siam Paragon ตลอดจนทีมงาน event, แสง, สี, เสียง และอีกหลายๆ ท่านที่ช่วยอยู่เบื้องหลังแบบไม่ออกนาม

สื่อมวลชน และเพื่อนๆ บนโลก SocialMedia Partner GMBiz, Nation, PPTV และทุกๆ เว็บที่ช่วยกันบอกต่อ A Day, Blognone, MarketingOops, Macthai, ThaiPBS, Thairath

ชมภาพทั้งหมดผ่าน #SparkCon2016 ได้ที่นี่เลยครับ
– ภาพ #SparkCon2016 บน Facebook
– ภาพ #SparkCon2016 บน Instagram
– Timeline #SparkCon2016 บน Twitter

เตรียมพบกับงาน Digital Matters เร็วๆ นี้

 
Source: thumbsup

[Exclusive] 4 แนวทางการปรับตัวของ Local Online Player เพื่อรองรับการมาของ Alibaba

$
0
0

1200x-1

สำหรับข่าวใหญ่วันนี้ก็คงไม่พ้นการบุกของยักษ์ใหญ่ Alibaba ที่มาซื้อกิจการของ Lazada ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรายละเอียดของข่าวอ่านได้ที่นี่ -> Alibaba เข้าถือหุ้นใหญ่ใน Lazada เพื่อยึดตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เต็มรูปแบบ

แต่บทความนี้จะว่าด้วย การปรับตัวให้อยู่รอดของผู้ประกอบการไทยมากกว่า เพราะปรากฏการณ์ยักษ์บุกเมืองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2009

Editorial note: บทความนี้คือบทความพิเศษที่เราเรียกว่า Guest Post จากคุณ Parin Songpracha อดีต Head of eCommerce ของ CP All (7-Eleven) ที่ก่อตั้ง Online Retail ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศ ก่อนจะไปบุกเบิกธุรกิจ eCommerce ให้กับ DHL บริษัท ลอจิสติกส์ระดับโลก ปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัวด้านเทคโนโลยีที่เน้นการทำตลาดทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กัน บทความนี้เขาส่งมาให้ กองบรรณาธิการ thumbsup อัพโหลดขึ้นให้ชาว thumbsup โดยเฉพาะ ทว่าสิ่งที่เขาเขียน ไม่สะท้อนแนวคิดของกองบรรณาธิการ thumbsup เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวของเขา ว่าแล้วก็อ่านกันได้โดยพลัน

ตอนที่ Rakuten เข้ามาในไทยก็ทำเอาแผ่นดินออนไลน์สะเทือนไม่ต่างกัน วันนี้ผมขอเอาประสบการณ์จากตอนที่เห็นในครั้งนั้นมาวิเคราะห์ เพื่อเป็นแนวทางให้เจ้าของเว็บต่างๆ ปรับตัว สั้นๆ 4 ข้อ

1. โฟกัส

เมื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้มา เขาจะบุกทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ขายดี ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย คือเมื่อต้องกระจายการบุก ทรัพยากรก็จะกระจายไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรปรับตัวคือ โฟกัสไปยังกลุ่มสินค้าที่เราเก่งที่สุดเพียงกลุ่มสินค้าเดียวแล้วทำให้มันแข็งแรงไปเลย เน้นแคบแต่ลึก เป็นปลาใหญ่ในบ่อเล็ก อย่าได้พยายามสู้ด้วยราคา หรือกระจายกำลังไปหลายๆ กลุ่มสินค้าเด็ดขาด

2. รักษาคน

จะมีปรากฏการณ์ดูดคนทำงานเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารเจ้าของเว็บต้องทำคือ รีบสื่อสารกับพนักงาน และตบรางวัลให้กับพนักงานดาวเด่นที่สมควรได้รับ มิเช่นนั้น อาจจะเสียไปให้คู่แข่งรายใหญ่ เท่ากับเสียสองต่อ อัตราเงินเดือนขึ้นอยู่ที่ราวๆ 1.3-3 เท่าของฐานเงินเดือนเดิม ขึ้นอยู่กับความใหญ่ของกลุ่มสินค้า

3. รีดประสิทธิภาพแผนการตลาด

ผู้เข้ามาใหม่จะมีการทุ่มเงินซื้อ Ads หรือโฆษณา และมีงบเพื่อการทำ Rebranding ซึ่งจะทำให้ค่าโฆษณาออนไลน์มี bid rate ที่สูงขึ้น ดังนั้น ตอนนี้แผนกการตลาดออนไลน์ต้องรีบเอาแผนการใช้เงินมาดู และรีดประสิทธิภาพด้าน RoI เพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าสามารถต่อรองซื้อ Ads ระยะยาวเพื่อล็อคราคาเอาไว้ได้ (เช่น ซื้อตรงกับเว็บในประเทศ) ก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เพราะเมื่อราคาค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างน่ากลัว

4. ใช้กลยุทธ์อื่นร่วม

ยักษ์ใหญ่พวกนี้ถึงแม้จะใหญ่มากแต่ก็ยังใหญ่แต่ในโลกออนไลน์ ซึ่งสำหรับในภูมิภาคนี้ ตลาดออฟไลน์ยังมีขนาดใหญ่กว่าอยู่มาก เว็บ eCommerce ทั้งหลายต้องหากลยุทธ์ออฟไลน์มาเสริม เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่โดยหลีกเลี่ยงการสู้ตรงๆ ซึ่งๆ หน้า แต่ในโลกออนไลน์อย่างเดียว ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลือง และเสียเปรียบมาก

ยังไงก็ลองเอาทั้ง 4 ข้อนี้ไปลองวิเคราะห์เพื่อประกอบการวางแผนการตลาดกันดูนะครับ

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยหรืออยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมสามารถคุยกับผมได้ที่ Facebook ของผมครับ

ที่มาของภาพ: Bloomberg

12988135_10207681072038383_1976157103_n

เกี่ยวกับผู้เขียน Parin Songpracha อดีต Head of eCommerce ของ CP All (7-Eleven) ที่ก่อตั้ง Online Retail ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศ ก่อนจะไปบุกเบิกธุรกิจ eCommerce ให้กับ DHL บริษัท ลอจิสติกส์ระดับโลก ปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัวด้านเทคโนโลยีที่เน้นการทำตลาดทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กัน

 
Source: thumbsup

เล่นสงกรานต์ไม่ต้องกลัวมือถือเปียก ถ้าใช้ Galaxy S7

$
0
0

Galaxy-S7-Songkran

ช่วงสงกรานต์คือช่วงที่ smartphone ของเรามีโอกาสจะเปียกน้ำมากที่สุด ถ้าหากเราไม่ระวังให้ดีก็เสียหายหลายบาทได้ เพราะ smartphone ดีๆ ยุคนี้ราคาหลายหมื่นอยู่ จะดีแค่ไหนหากเรามี smartphone ที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้ และหนึ่งใน smartphone นั้นก็คือ Samsung Galaxy S7

Samsung Galaxy S7 มีคุณสมบัติเรื่องกันน้ำและฝุ่น ตามมาตราฐาน IP68 อยู่ในน้ำลึกได้ 1.5 เมตร นานต่อเนื่อง 30 นาที หรือพูดง่ายๆ ว่ามันสามารถกันน้ำได้ โดยไม่ต้องอาศัยฝาปิดตามช่องเชื่อมต่อต่างๆ

นอกจากการกันน้ำกันฝุ่นในแบบ IP68 แล้ว Galaxy S7 ยังมีกล้องที่มีคุณภาพสูงอีกด้วย โดยกล้องด้านหน้ามีความละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/1.7 กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยระบบโฟกัส Dual Pixel ที่โฟกัสได้เร็ว ซึ่งถ้าเทียบกับ smartphone ทั่วไปแล้ว ถือว่าเหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนทางด้าน หน้าจอแสดงผลกว้าง 5.1 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล (577 ppi), ชิปเซ็ต Exynos 8 Octa 8890 แบบ 64-bit ความเร็ว 2.3 GHz รุ่นใหม่ล่าสุด, หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB

เรียกได้ว่าอุ่นใจได้ในช่วงสงกรานต์ จะควักมือถือออกมาถ่ายรูป เล่นเกมก็ไม่ต้องกล้าๆ กลัวๆ

ขอให้มีความสุขช่วงสงกรานต์นะครับ

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

Traveloka บริการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวของคนยุคนี้

$
0
0

 

traveloka1

เมื่อถึงช่วงเทศกาลท่องเที่ยวทีไร สิ่งที่เราต้องวุ่นวายก็คือการหาแพ็คเกจทัวร์ ไม่ก็ยุคนี้ต้องจัดทุกอย่างด้วยตัวเองที่มีแนวโน้มด้านนี้มากขึ้น ด้วยความอิสระในการเดินทางที่จะไปที่ไหนก็ได้ตามใจ และมีความยืดหยุ่นจากการกำหนดทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอยู่ในกรอบของสูตร 6 7 8 สิ่งแรกๆ หากจะต้องคิดหาเมื่อเราจะเดินทางด้วยตัวเองก็คือการหาตั๋วเครื่องบิน ซึ่งก็มีบริการหลายๆ เจ้า แต่ในบทความนี้เราจะเสนอ 1 ทางเลือกที่น่าสนใจให้กับผู้อ่านได้ลองใช้บริการกันกับ Traveloka

Traveloka คือใคร?

Traveloka เป็น Online Travel Agency (OTA) ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมผ่านออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนิเซีย โดยมีการขยายตลาดให้บริการเพิ่มเติมในประเทศแถบ SEA ได้แก่ สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย รวมเป็น 6 ประเทศที่ให้บริการ ซึ่งเป็น OTA ที่ใหญ่ที่สุดใน SEA อีกด้วย

เราอาจจะพอทราบมาแล้วว่าบริการในลักษณะนี้มีให้บริการหลายๆ เจ้า ด้วยพื้นฐานอาจจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ Traveloka ก็มีบางอย่างที่แตกต่างและน่าสนใจกว่าคู่แข่ง

บริการบน Traveloka
traveloka2

บริการหลักของ Traveloka ประกอบไปด้วยการค้นหาและซื้อตั๋วเครื่องบินและการจองห้องพักของโรงแรม 2 ฟังก์ชันหลัก โดยการ ค้นหาตั๋วเครื่องบิน หรือจะหาโรงแรมที่พัก โดยเลือกผ่าน 3 ขั้นตอน ได้แก่

  1. เลือกต้นทาง, ปลายทาง
  2. วันเดินทางและวันกลับ
  3. จำนวนคนที่จะเดินทาง

หากจองที่พักก็ค้นหาได้ด้วยการใส่ชื่อโรงแรม, จังหวัด, ประเทศ และวันที่จะเข้าพัก จากนั้นระบบก็จะทำการค้นหาข้อมูลตามที่ผู้ใช้งานได้กรอกไป

traveloka3

ข้อดีที่เห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในหน้านี้ก็คือ ระบบการค้นหาที่ทำได้ค่อนข้างรวดเร็วและเลือกได้ง่าย โดยเมื่อเห็นผลการค้นหาแล้ว ด้วยค่ามาตรฐานที่จะเรียงตามราคาถูกไปยังแพง เรายังสามารถจะ Filter หรือเลือกตัวกรอง เพิ่มเติมได้ เช่น กำหนดช่วงราคา, เลือกจำนวนการเปลี่ยนเครื่องและเมืองที่จะเปลี่ยน, เลือกสายการบิน และเวลา

traveloka4

ส่วนการจองโรงแรมผ่านTraveloka ก็เป็นในลักษณที่คล้ายกับจองตั๋วเครื่องบิน มีตัวเลือกด้านข้างให้เลือก Filter ได้ แต่มีข้อจำกัดว่า ณ เวลานี้จะเป็นโรงแรมในแถบ SEA เท่านั้นครับ

traveloka5

ราคาที่จริงใจ

traveloka6

ข้อมูลและรายละเอียดที่มีส่วนสำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ใช้บริการการจองนั่นคือเรื่องราคา มีอยู่ 2 ประเด็นที่ควรสนใจ ได้แก่ แหล่งที่มาของราคา และการแสดงผลราคา

แหล่งที่มาของราคาที่ทาง Traveloka ใช้แสดงผล มาจากเว็บไซต์หน้าหลักของสายการบินนั้นๆ ทำให้สามารถตรวจสอบได้ง่ายและมีความถูกต้องสูง

traveloka7

อีกข้อคือการแสดงราคา โดยปกติแล้วที่เราใช้บริการกับเจ้าอื่น ราคาที่แสดงบนหน้าจอจะเป็นราคาที่ยังไม่มีการบวกค่าบริการนั่นโน่นนี่ แต่สำหรับ Traveloka แล้ว ราคาที่เห็นคือ ราคาสุทธิที่เราจะต้องจ่าย ไม่มีการหมกเม็ดไปบวกเพิ่มในตอนที่แสดงหน้าชำระเงิน

ถือเป็นสิ่งที่ดีทั้งผู้บริโภคที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าโดนหลอกด้วยเงินก่อนที่จะต้องจำยอมจ่าย ในอีกทาง เจ้าของก็สามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

และสำหรับคนที่ต้องเดินทางในประเทศ Traveloka สามารถค้นหาข้อมูลทุกสายการบินในไทย (ยกเว้นเครื่องบินเหมาลำ) ทำให้สามารถเลือกเปรียบเทียบสายการบินและราคา รวมถึงเวลาบินได้ง่ายกว่าเดิมด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน

ความปลอดภัยในการชำระเงิน

traveloka8

แม้การชำระเงินบนออนไลน์จะเป็นสิ่งที่ทุกคนกังวลน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่เมื่อใช้ในการชำระเงินที่เป็นหลักพันหลักหมื่นบาท ก็ยังคงเป็นที่กังวลอยู่ แต่ Traveloka มีการรองรับความปลอดภัยถึง 2 เจ้า ได้แก่ Verisign Secured และเทคโนโลยี RapidSSL ทั้งคู่มีความปลอดภัยสูงมากและเป็นมาตรฐานในการชำระเงิน ทำให้เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเมื่อจ่ายเงินไปแล้วจะมีความเสี่ยงและทำให้ไม่ได้ตั๋วเครื่องบิน

traveloka9

อีกสิ่งสำหรับการบริการ Commerce ก็คือการชำระเงิน ช่องทางที่มีให้สำหรับ Traveloka มีให้ครอบคลุมทุกความสะดวก ทั้ง บัตรเครดิต, เดบิต, บัตรเอทีเอ็ม, Counter Service, Internet Banking โดยเร็วๆ นี้จะเปิดบริการอีกช่องทางก็คือการโอนเงิน เพื่อตอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานไทย

สำหรับวิธีการชำระเงิน สามารถอ่านดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.traveloka.com/th-th/howto#howToPayment

ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง

traveloka10

Customer Service หรือบริการช่วยเหลือลูกค้า คือสิ่งจำเป็นที่หลายๆ แบรนด์พลาดหรือละเลย โดยเฉพาะบริการบนออนไลน์ สำหรับ Traveloka มีบริการเพื่อช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีช่องทางในการติดต่อได้แก่ อีเมล, โทรศัพท์ ซึ่งเป็นบริการมาตรฐาน และ Live Chat ที่สามารถพูดคุยกับทีมผู้ดูแลผ่านหน้าเว็บไซต์และหน้าแอปได้ ทั้งหมดล้วนช่วยให้การค้นหาและซื้อตั๋วเครื่องบินและโรงแรมเป็นไปอย่างราบรื่น

แอปพลิเคชันมีทั้งบน iOS และ Android

ในยุคที่แอปกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพราะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แอปพลิเคชันน Traveloka บนโมบายล์ก็มีให้ใช้งานเช่นเดียวกัน ผู้ใช้งานสามารถทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นค้นหา จ่ายเงิน และเอาไปใช้งานจริง

traveloka11traveloka12
traveloka13traveloka14
หากเทียบกับบริการอื่นๆ ที่ค้นหาได้อย่างเดียวแต่ไม่สามารถเอาสิ่งที่เราจองใช้งานได้จริง อาจจะต้องเสียเวลาเปิด-ปิด หรือต้องไปรื้ออีเมลเพื่อใช้งาน นี่คือข้อได้เปรียบอย่างมากเมื่อเราไปเชคอินที่สนามบินหรือโรงแรม เราสามารถเปิดแอปแล้วส่งให้กับพนักงานได้เลย

มีสิ่งที่ควรระวังเล็กน้อยเกี่ยวกับหน่วยสกุลเงินต่างๆ ในบางครั้งเราอาจจะต้องเข้าไปตั้งค่าเอง ทั้งนี้อยู่ที่การตั้งค่าเกี่ยวกับภาษาของเครื่องที่ใช้งานด้วย หากว่าค่าเงินไม่ใช่เงินบาท คุณก็สามารถเข้าไปตั้งค่าให้เป็นบาทได้ที่ Settings ครับ

ความคิดเห็นต่อ Traveloka

จากที่ได้ลองใช้งาน thumbsup พบจุดเด่นของ Traveloka หลักๆ อยู่ 5 ข้อ

  • เรื่องข้อมูล ความเร็วในการหาทำได้เร็วมาก รวมถึงความถูกต้องของข้อมูลที่ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์จากต้นทางอย่างสายการบินและโรงแรม ทำให้มีความน่าเชื่อถือของข้อมูล
  • ราคาที่แสดงออกมาตั้งแต่แรก ทำให้รู้สึกว่าไม่มีการหมกเม็ดคิดเงินทีหลัง
  • การรองรับการชำระเงินที่หลากหลายมาก ทำให้รู้สึกสะดวกและตอบความต้องการของทุกคนจริงๆ
  • ความสะดวกสบายในการใช้แอปพลิเคชัน
  • การดึงเอาระบบ Review และข้อมูลมาจาก TripAdvisor ทำให้เราได้รับ Review ของแต่ละโรงแรม ที่มีคุณภาพระดับโลกจริงๆ

ส่วนข้อเสียเปรียบมีอยู่เล็กน้อย คือ โรงแรมที่มีให้เลือกจะมีเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) เท่านั้น แต่หากมองความสะดวกในการท่องเที่ยวใกล้ๆ บ้านเรา ก็ถือว่า แอปนี้อำนวยความสะดวกได้อย่างดี

ทั้งหมดคือสิ่งที่น่าสนใจกับบริการค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน Traveloka ที่เราอยากจะแนะนำให้ได้ลองใช้งานกัน สามารถเข้าไปได้ที่ http://www.traveloka.com/th-th/ และดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ App Store และ Google Play

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

รู้จักกับ smart 3B ผู้ช่วยวางแผนการเงินมืออาชีพที่สุดจะ strong!

$
0
0

smart3b

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เราจะได้ยินคนรุ่นใหม่ๆ พูดถึงเรื่อง ”การลงทุน” “การวางแผนทางการเงิน” “การบริหารความเสี่ยง” หรือแม้แต่ “การบริหารการเงินเพื่ออนาคต” มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสำคัญก็เป็นเพราะว่าในปัจจุบัน การฝากชีวิตไว้กับงานประจำ หรือธุรกิจของครอบครัวเพียงอย่างเดียวนั้นเริ่มไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว คนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการวางแผนอนาคตตั้งแต่เนิ่นๆ จึงหันมาใส่ใจเรื่องของการวางแผนทางการเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หากมองไปในตลาดตอนนี้ จะเห็นว่ามีหลากหลายคนและองค์กรพยายามที่จะแนะนำบริการทางการเงินอยู่เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญก็คือ การวางแผนการเงินไม่เหมือนกับการเดินไปซื้อยาสีฟันในร้านสะดวกซื้อที่ถ้าใช้แล้วถูกใจก็ดีไป ถ้าไม่ถูกใจก็แค่ทิ้งแล้วก็ไปซื้ออันใหม่ เพราะการวางแผนการเงินนั้นเป็นเรื่องที่ต้องดูกันยาวๆ และเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินจำนวนไม่น้อยที่เราหามาด้วยหยาดเหงื่อ ดังนั้นประสบการณ์ ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเวลาที่เราจะตัดสินใจเลือกใครสักคนมาบริหารเงินก้อนใหญ่ที่มีค่ากับเราและรับผิดชอบกันไปนานๆ

Strong แค่ไหน เรามาดูกัน

ที่ปรึกษาการเงินที่เราอยากแนะนำวันนี้คือ smart 3B โครงการที่เปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งมาพร้อมกับความมั่นคงที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นความร่วมมือของ 3 พันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด, บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 3 องค์กรล้วนมีประสบการณ์ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน และยังกวาดรางวัลระดับแนวหน้าทั้งด้านการบริหารจัดการและการลงทุนมาเป็นเครื่องการันตีอีกเพียบ ดังนั้นเรื่องความมั่นคงและความน่าเชื่อถือผ่านเกณฑ์อย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอนครับ

ทีนี้ก็เป็นเรื่องของมาถึงเรื่องของที่ปรึกษาทางการเงินที่ถือเป็นหัวใจของบริการต่างๆ ซึ่ง smart 3B ก็ได้สรรหาและคัดเลือกอย่างละเอียดกว่าที่จะได้มาซึ่งทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญที่จะมาช่วยบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลเพื่อให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายที่วางไว้แบบที่ลงตัวที่สุด โดยความเชี่ยวชาญนี้ยังมีคุณวุฒิรับรองระดับสากลอย่าง CPF (Certified Financial Advisor) ซึ่งในไทยมีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไรก็ตาม ก็มั่นใจได้ว่านักวางแผนการเงินของ smart 3B จะช่วยวางแผนได้อย่างรอบด้าน ทั้งการลงทุน การวางแผนมรดก การวางแผนเกษียณ การวางแผนภาษี หรือแม้แต่การวางแผนคุ้มครองเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการให้บริการวางแผนการเงินแบบครบวงจรและเข้าใจความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

smart3b2

การวางแผนการเงินในวันนี้ไม่ใช่เรื่องของคนมีเงิน เรื่องของคนรวย หรือเรื่องของคนที่อยู่ในระดับบริหารอีกต่อไปแล้ว ในวันนี้สังคมของเรามีความซับซ้อน มีความผกผัน และปัจจัยต่างๆ รอบตัวทำให้เราไม่สามารถหาเช้ากินค่ำหรือพึ่งพาเฉพาะรายได้ประจำแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป การวางแผนการเงินเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องหันมาใส่ใจและเริ่มทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเม็ดเงินจำนวนเดิมของเราอาจจะเติบโตขึ้นและถูกใช้อย่างถูกที่ถูกทาง ทำให้เราพร้อมที่จะรับมือกับอนาคตได้อย่างมั่นใจกว่าที่เคย ดังนั้นอย่ารอช้าในการสร้างโอกาสทางการเงินให้กับตัวเองกัน ลองติดต่อไปคุยกับทางทีมงาน smart 3B เขาดูครับ

แต่ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือว่านอกจากเขาจะมีทีมงานที่พร้อมให้คำแนะนำและช่วยดูแลการวางแผนการเงินแล้ว ทาง smart 3B เองเขาก็ยังต้องการคนมีฝีมือมาร่วมทีมเป็นผู้ช่วยวางแผนให้กับลูกค้าใหม่ๆ อีกจำนวนไม่น้อยครับ ซึ่งอย่างที่เราเกริ่นตั้งแต่ต้นว่าความต้องการบริการวางแผนการเงินนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก หากคุณมีความรู้และสนใจเรื่องการวางแผนการเงินก็อย่ามองข้ามอาชีพที่กำลังมาแรงนี้นะครับ ในอนาคตอันใกล้คุณอาจจะกลายเป็นนักวางแผนการเงินระดับแนวหน้าของประเทศที่ใครๆ ก็อยากได้ไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวก็ได้นะครับ

ว่าแล้วก็อย่าช้า ติดต่อไปที่ทีมงาน smart 3B กันให้ไวครับ

customLogo.gif

  • Website : smart3b.net
  • Email: contact@smart3b.net
  • โทร: 0 2777 8814
  • ที่อยู่: ศูนย์วางแผนการเงิน smart 3B, 23/115-121 ซอยศูนย์วิจัย ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

อย่าลืมนะครับ การวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเริ่มเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ กับบริษัทที่มั่นคงและมีทีมงานที่ดูแลได้ตรงกับความต้องการของคุณ อนาคตของคุณก็จะถูกสร้างบนพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ
ครับ

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

เจ๊จู ตัวละครปั้นไวรัลสู่การโปรโมทร้านขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์ Yello x BUILK.com

$
0
0

หากใครที่ได้ติดตามกระแสบน Facebook ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบกับภาพถ่ายของหญิงสูงอายุท่านหนึ่งที่มาพร้อมกับคำคม(คมบ้างไม่คมบ้าง) พร้อมบิดไปยังสินค้าที่ต้องการขายนั่นคือสินค้าด้านวัสดุก่อสร้าง โดยมีการโปรโมทผ่าน Page I-JU วัสดุก่อสร้าง จนเป็นกระแสที่ฮือฮามากบนโลกออนไลน์และทุกคนตั้งข้อสงสัยว่า เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีแต่คนพูดถึง

เพจนี้ถูกตั้งขึ้นมาเมื่อ 22 เมษายน พร้อมกับเริ่มโพสต์ Content คำคมออกมาเรื่อยๆ ผ่านตัวละครเจ๊จู ในช่วงแรกเป็นคำคมอารมณ์เสี่ยวๆ หน่อย จนบางแบรนด์ที่ถูกพูดถึงจากเจ๊จูเข้ามาตอบในเพจนี้ด้วย

2016-04-25_15-24-59ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีการโพสต์ Content เป็นระยะๆ แต่ก็มีการเปลี่ยนเนื้อหาสู่การพูดถึงวัสดุก่อสร้างหลายๆ อย่าง แต่ก็ยังคงโทนที่เป็นคำคมผ่านการตบเข้าสินค้าที่ร้านมีขาย สร้างความสนใจหนักขึ้นไปกว่าเดิมว่า เขาคือใครกันแน่ ทำอย่างนี้เพื่ออะไร

13000285_962582463838868_2878747692803723072_n 13087656_962988323798282_7332544567916270331_n
ที่สำคัญ การเดินเกมการโพสต์ของเจ๊จูทำให้หลายคนเข้าใจไปในทางเดียวกันว่า เจ๊คนนี้เปิดร้านขายจริงๆ อย่างแน่นอน ถึงกับมีคนอยากโทรติดต่อไปซื้อสินค้าจริงๆ แต่ผู้ดูแลในนามเจ๊ก็ยังคงรักษา Mood ของเพจไว้ได้ผ่านการตอบคำถาม ซึ่งก็ตอบได้ดีมาก และน่าจะเป็นแผนการวางในการทำ Content ไว้ในช่วงเสาร์อาทิตย์ เพื่อทำให้สามารถมีคำตอบได้ว่าลูกน้องไปพักผ่อน…

iju1

และในวันนี้ 25 เมษายน 2559 มีการเฉลยออกมาว่า ร้านนี้ที่ทำขึ้นมาก็เพื่อการโปรโมทบริการร้านค้าวัสดุออนไลน์ BUILK.com x Yello โดยเป็นการเฉลยผ่านทางคลิปวิดีโอที่ทำขึ้นมา และสอดคล้องกับตัวละครอีกตัวคือ เฮียอู๋ ที่เป็นตัวละครตั้งต้นที่ทาง BUILK.com สร้างขึ้นมาเพื่อนำเสนอบริการของเว็บไซต์มาตั้งแต่แรกแล้ว

iju2

และนี่เป็นวิดีโอเสนอบริการเล่าโดย เฮียอู๋

ภายในเวลา 4 วัน ยอด LIKE พุ่งไปถึง 61,000 คน ไม่รวมถึงยอด PTAT เกิน 2 แสนครั้ง

สิ่งที่เราเห็นในการทำ Content ครั้งนี้คือ

  • Persona การสร้างตัวตนที่ทำให้คนเชื่อว่ามีอยู่จริงด้วยลักษณะเฉพาะตัวที่ชัดเจน ยิ่งเฉลยออกมาว่าเป็นรวมกับการรวมร่างกับตัวละครเก่า ทำให้พลังออกมาทวีคูณ
  • Content แม้จะไม่ใหม่ในตลาดแต่ก็ขายได้ เราเห็นแนวของ Content แบบนี้มาเยอะ แต่มันต้องกลับไปที่ว่า ใครเป็นคนเล่า นั่นคือการตั้ง Persona มีผลอย่างมาก
  • กล้า ง่าย แต่เฉียบขาด รูปแบบการทำ Content คำคมไม่มีอะไรเลย แต่เป็นการกล้าที่จะแหวกความเนี๊ยบให้กลายเป็นความเรียบง่าย
  • Timing การเลือกเวลาในการโพสต์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เป็นการเลือกที่ฉลาดมาก ทิ้งเอาไว้ในช่วงวันหยุด แต่แม้จะเป็นช่วงวันหยุด คนก็ยังรอติดตาม ทั้งนี้ก็เพราะการปูเรื่องมาดีตั้งแต่แรกและทิ้งเอาไว้ในวันศุกร์ว่าจะเริ่มพูดเรื่องที่เขาต้องการบอก นั่นคือ วัสดุก่อสร้าง ไว้ตั้งแต่แรก และที่สำคัญ ไม่ทิ้งให้เป็นคำถามนานว่าเจ๊จูคือใคร รีบตบเฉลยในเวลาที่เหมาะสม
  • เลือกวิธีการเฉลยผ่านวิดีโอที่เป็น Storytelling ที่เนี๊ยบ ไม่ใช่จะมาบอกว่า เธอคือใคร แต่บอกตั้งแต่แรกว่า เขามาเพราะอะไร และ BUILK.com สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ได้

อนึง มีการเปิดเผยเบื้องหลังโดยคุณ ไผท ผดุงถิ่น กรรมการผู้จัดการบริษัท บิลค์ เอเชีย จำกัด ในเรื่องการสร้างนี้ว่าเป็นความบังเอิญ โดยครั้งแรกเป็นการทำ Storyboard เพื่อทำคลิปโฆษณาที่เปิดตัวเจ๊จู โดยคุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ ผู้ก่อตั้ง Storylog จากจุดนี้เลยทำให้มีการคิดว่าน่าจะทำเพจขึ้นมาโดยดึงเอาเจ๊จู ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องมาเป็นตัวเดินเรื่อง โดยทำภาพแบบง่ายๆ แต่ผลที่ได้กลายเป็นว่าถูกใจและมีการแชร์อย่างแพร่หลาย เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้เลยต้องเดินหน้าเล่นมุกต่อ แล้วก็เล่นใหญ่ จนกลายเป็นว่าต้องมาปรับการตลาดใหม่ทั้งหมดเลย

นอกจากนี้คุณไผทยังชมทีมงานที่คิด Content, ทีม Creative ที่คิดเอาคำบ้านๆ หรือแอบจงใจคิดคำผิดๆ เช่นรถแบล็คโฮล เป็นต้น สร้างความรู้สึกให้บ้านจริง เรียลจริง เจ๊มีจริง ยิ่งกว่าเดิม

(ขอบคุณเนื้อหาส่วนนี้ มาจากการสัมภาษณ์โดยคุณ ธีระชาติ ก่อตระกูล แห่ง StockRadars)

2016-04-25_16-18-42

เราเห็นวิธีการนำเสนอผ่านรูปแบบ, การเลือกใช้ Content, วิธีการเล่า, เวลาที่เลือกในการเผยแพร่, รวมไปถึง Storytelling ของ BUILK.com ได้ทั้งหมดในแคมเปญเดียว เชื่อว่ากรณีศึกษานี้จะกลายเป็นสิ่งที่เป็นตัวอย่างถึงการพูด, วิธีการทำและการนำเสนอเรื่องที่เราต้องการบนออนไลน์ได้เป็นอย่างดีมากๆ สำหรับ SMEs

ที่สำคัญ เรื่องราวไม่ได้จบแค่เฉลยเท่านี้ แต่จะมีให้ติดตามต่อในเร็วๆ นี้ นั่นก็คือการทำ Content ต้องมีการวางแผนในระยะยาว คงไม่ได้คิดทำสั้นๆ พอใช้งานแล้วให้มันหายไป นี่คือแนวคิดของ Content Marketing จริงๆ


ข้อมูลเกี่ยวกับผู้สร้างสรรค์คลิปเจ๊จู

 
Source: thumbsup

“ปาน ธนพร”กับ MV กระชากสติ “ตราบลมหายใจสุดท้าย”

$
0
0

ปาน ธนพร

เมื่อคืนขณะกำลังฟังเพลงใหม่ๆ บน JOOX เจอเพลงนี้โปรโมทเข้ามา นึกว่าเป็นเพลงใหม่ของ “ปาน ธนพร” แบบธรรมดา (พลางคิดเองไปว่า โอ้! Sanook! ดีลได้เพลง RS มาแล้วใช่ไหม? ในที่สุด!) ปรากฏว่าไม่ใช่ …

ผมเปิด YouTube เข้าไปดู มันเป็นเพลงที่ปานร้อง และโกนหัว (แบบหลอกๆ) เพื่อเล่น MV เอง เพื่อโครงการปทุมมามหาสิกขาลัย แห่งวัดปทุมวนาราม เนื้อหาที่ออกมาเลยเป็นเนื้อหาที่สอนให้คนเข้าใจถึงความไม่เที่ยงของการสังขาร สำหรับผม มันเป็น Content ที่โคตร ‘จริง’ กระตุกสติเราให้นึกถึงความเป็นจริงของชีวิตที่อย่างไรก็หนีมันไปไม่พ้น เลยอยากมาเขียนถึงมุมมองนักการตลาดและนักประชาสัมพันธ์ที่มีต่อ Content ชิ้นนี้ที่อาจจะนำไปคิดต่อยอดกับผลงาน Content Marketing ที่เราๆ ทำกันอยู่ครับ

ก่อนที่จะพูดคุยอะไร เชิญชมคลิปนี้ร่วมกันก่อนครับ

 

เพลงนี้ชื่อเพลงว่า “ตราบลมหายใจสุดท้าย” (Till The last Breath) เป็นเพลงธรรมะ หรือที่ทีมงานระบุว่ามันคือ  “คีตธรรม” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคติธรรมขอ­งพระนางเขมาเถรี อัครสาวิกาเบื้องขวาผู้เลิศทางมีปัญญามาก

ส่วนคำร้องแต่งขึ้นโดย “ฐิตวํโสภิกขุ” แห่ง วัดปทุมวนาราม (ผมเองก็เพิ่งเห็นว่าปี 57 ฐิตวํโสภิกขุ เคยจัดทำคีตธรรม “จิตตนคร” และให้ปานมาร้องแล้วครั้งหนึ่งเชิญชมย้อนหลังได้ครับ)

ส่วนทำนอง แต่งโดยคุณ เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์ (โน้ต วง Alarm 9) และรัชต์พงษ์ สมศรี (ภู ศิษย์มาวิตต์) เรียบเรียงโดย เจษฎา สุขทรามร (โอ๋ ซีเปีย) ส่วน MV ที่เราเห็นกันนี้จัดทำโดย ผู้กำกับรุ่นใหม่ ภัทธิ บัณฑุวนิช [กลุ่มคนทำงานทั้งหมดนี้เรียกตัวเองว่า ศิลปินแล­ะจิตอาสากลุ่มบัวลอย]

ที่มาที่ไปของคลิป

ผมพยายามทำความเข้าใจที่มาที่ไปของ MV นี้โดยดูจากสิ่งที่ทีมงานเขียนไว้ใต้คลิปพบว่า คีตธรรม “ตราบลมหายใจสุดท้าย” แต่งขึ้นจากเรื่องราวของ “พระนางเขมาเถรี” ผู้ซึ่งยึดติดในความงามของกาย ต่อมาได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าก็ได้บรรลุธรรม โดยพระนางได้สดับมาว่า

“ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแสตัณหา เหมือนแมงมุมตกไปที่ใยอันตัวทำไว้ ฉะนั้น ชนผู้มีปัญญาทั้งหลายตัดกระแสตัณหานั้นแล้­ว เป็นผู้หมดความห่วงใย ละเว้นทุกข์ทั้งปวงไป”

โดยคำร้องนอกจากแสดงฉากเหตุการณ์และพระคาถ­าสำคัญที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ยังสะท้อนถึงความไม่เที่ยงแท้ของกายและสรร­พสิ่งในโลก โดยมีวันและเวลาเป็นผู้กลืนกินทุกๆ สิ่งให้เสื่อมสิ้นไปในที่สุด อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้มีปัญญาพิจารณาได้อ­ย่างลึกซึ้งว่าควรจะประพฤติตนให้ไม่ประมาท­ในวัยและเวลา เหมือนดังคำร้องท่อนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปแ­ละเป็นชื่อคีตธรรมว่า “เปิดดวงเห็นความสัตย์จริง จากความจริงของเมืองแห่งกาย ตราบที่ลมหายใจสุดท้ายจะคืนสู่ดิน” 

13174211_1089999261022857_4898871665814859129_n

แนะนำว่าให้ลองคลิกลิงก์ อสุภกรรมฐาน นี้เพื่อศึกษาธรรมต่อไปนะครับ (แต่ถ้าคร่าวๆ “อสุภ” แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่ความสกปรก โสโครก น่าเกลียด)

ในแง่มุมของ MV 

ในรายงานของไทยรัฐออนไลน์ ทีมงานระบุว่า ได้จัดทำ MV ในรูปแบบอสุภกรรมฐาน ซึ่งถ่ายทอดความไม่เที่ยงของร่างกายจากเนื้อกายธรรมดา จนไปถึงการเน่าเสื่อมสลายกลายเป็นกระดูก ซึ่งระหว่างการถ่ายทำนั้นต้องอาศัยเอฟเฟกต์ต่างๆ ยุ่งยากพอสมควร ทำให้เรียนรู้ถึงความอดทน ซึ่งตนอยากให้ผู้ฟังเพลงย้อนกลับมาดูกายของเราว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา

“ภัทธิ บัณฑุวนิช” ผู้กำกับ MV ได้เผยว่านำเสนอออกมาสองแนวทาง แนวทางแรกจะเป็น MV ซึ่งนำเสนอผ่านการเล่าเรื่องในรูปแบบอสุภกรรมฐาน ซึ่งตั้งใจว่าจะทำให้เหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็เกรงว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งจะทนดูไม่ไหว จึงทำเป็นแนวทางที่สอง เป็นการเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะโดยใช้การแสดงที่เรียกว่า คีตภาวนา เพื่อรองรับคนดูทั้งสองกลุ่ม และอยากฝากถึงผู้ชมทุกกลุ่มว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ได้ดูกัน เพราะเป็นงานที่แปลก หาดูได้ยาก ไม่มีงานแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ทั้งเพลงและภาพในลักษณะนี้ เล่าเรื่องพระนางเขมาเถรีได้ชัดเจนแบบนี้

ข้อคิดจากเหล่าศิลปินอาสาที่ได้ร่วมกิจกรรม”การพิจารณาอสุภกรรมฐาน”

สรุปแล้วเป็นคลิปทำบุญ (ใครดาวน์โหลดเพลงแล้วรายได้จะเอาไปสมทบทุน)

ในรายงานข่าวเดิมระบุว่า ทางวัดฯ มองว่านี่คือสื่อการเรียนการสอนชุดพระนางเขมาเถรี จัดทำในรูปแบบดีวีดี เพื่อมอบให้กับสำนักปฏิบัติธรรมและสถานศึกษาต่างๆ สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจคีตธรรมตราบลมหายใจสุดท้าย สามารถดาวน์โหลดได้หลากหลายช่องทาง อาทิ Line Music, iTunes, Apple Music, Spotify, Google Play, KKBox, TIDAL, Deezer, Amazon.com โดยรายได้จากการดาวน์โหลดทั้งหมดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม–ตุลาคม 59 ไม่หักค่าใช้จ่าย จะนำเข้าสมทบกองทุนพระภิกษุสามเณรและแม่ชีอาพาธและเจ็บป่วย วัดปทุมวนาราม

ทำบุญกันนะครับ แพลตฟอร์มไหนก็ได้ คลิกเลย

iTunes: http://apple.co/1T8ykY2
Line Music: http://bit.ly/1scPqZ8
KKBOX: http://kkbox.fm/3d1Jc2
Deezer: http://bit.ly/24KIqAA
JOOX: http://bit.ly/1TQjySE
Spotify: http://bit.ly/1VSZSRy

ปาน ธนพร

ความคิดเห็นส่วนตัว

MV ตัวนี้เป็น Content ที่มีโจทย์จากการที่อยากจะนำเสนอ Content ที่ดีมีประโยชน์ก่อน (ในที่นี้คือเผยแพร่ธรรมะก่อน) ซึ่งแตกต่างจาก MV เรื่องราวความรักสดใส อกหักที่มีอยู่ทั่วไป อีกทั้งเรื่องที่นำเสนอก็ง่ายมากพอที่ทุกคนเข้าใจอยู่แล้วว่าอย่างไรคนเราก็หนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปไม่พ้น เราแค่พยายามลืมๆ มันไป โดยไปหยิบเอาเรื่องราวของอนุพุทธประวัติของพระภิกษุณีสำคัญในสมัยพุทธกาล 6 บุคคลสำคัญ มาทำเป็น MV ให้เข้าใจง่าย ซึ่งที่เราๆ เห็นกันนี้คือคีตธรรมบทแรก ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณปาน ธนพร น่าจะออกมาร้องอีก 5 เพลงเป็น Episode ต่อๆ ไป

ในแง่มุมของนักการตลาดและประชาสัมพันธ์ MV นี้นอกจากจะแตกต่าง มีสารัตถะชัดเจน มี Call to Action เพื่อรวบรวมเงินเข้ากองทุนข้างต้นแล้ว มันยังกระตุก “ต่อมประมาท” ของผู้บริโภคทุกระดับอีกด้วย

อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าถ้ามีแบรนด์หรือองค์กรไหน ที่หัดจะเลิกขายของกันให้ได้สักนาที และหันมาทำ Content ที่ดีมีประโยชน์กับคนดู ในแนวทางของ Content Marketing แล้วแบรนด์นั้นๆ จะได้ประโยชน์ขนาดไหน

 
Source: thumbsup

The post “ปาน ธนพร” กับ MV กระชากสติ “ตราบลมหายใจสุดท้าย” appeared first on thumbsup.

เคาน์เตอร์เซอร์วิสจับมือ “Alipay” ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ชาวจีนชำระเงินค่าสินค้าได้ที่เซเว่นอีเลฟเว่น 9,000 สาขาทั่วไทย

$
0
0

alipay-711

ในแต่ละปี เราจะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวประเทศหนึ่งซึ่งถือว่าเข้ามาจับจ่ายใช้สอย และท่องเที่ยวเมืองไทยมากเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ “ประเทศจีน” อ้างอิงจากตัวเลขสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นั่นหมายถึงเงินจะสะพัดเข้าประเทศไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่ง AliPay, เซเว่นอีเลฟเว่น และเคาน์เตอร์ เซอร์วิสจะมาสนับสนุนตรงนี้กัน

จากการอ้างอิงของ ททท. ได้รายงานว่าจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยปี 2558 มากกว่า 29 ล้านคนนั้น เป็นชาวจีนถึง 7.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 27% ของนักท่องเที่ยวโดยทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งเติบโตขึ้น 71% จากปีก่อนหน้า ถ้าระบบการชำระเงินทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น นั่นคงจะแปรผันมาเป็นเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทยของเราอย่างแน่นอน

สำหรับชาวจีน หนึ่งในระบบการชำระเงินสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ Alipay ซึ่งนอกจากการชำระเงินซื้อสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์ การโอนเงิน และการชำระค่าสาธารณูปโภคแล้ว Alipay ยังรองรับการชำระเงินแบบออฟไลน์ในประเทศอื่นๆอีกด้วย

หันมามองในฝั่งของประเทศไทย หนึ่งใน ผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศไทยกว่า 9,000 สาขาทั่วประเทศไทย และยังเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ต่างก็เล็งเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่จะทำให้เกิดความประทับใจกลับไป แถมยังเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ทางเซเว่นอีเลฟเว่น, Alipay และเคาน์เตอร์ เซอร์วิส จึงจับมือกันเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ให้สามารถชำระเงินค่าสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชั่น Alipay บนมือถือที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนจะสามารถชำระเงินได้ที่จุดชำระเงินเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 9,000 สาขา ทั่วประเทศ ผ่านระบบ Alipay โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม

นายวีรเดช อัครผลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า “การเตรียมความพร้อมในเรื่องของการบริการที่เน้นถึงความสะดวกสบายในการชำระสินค้าผ่าน Alipay Wallet จะช่วยกระตุ้นยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนได้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อธุรกิจขนาดย่อมที่จำหน่ายสินค้าที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นอีกด้วย ซึ่งทางเคาน์เตอร์เซอร์วิสเองก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่การคิดค่าธรรมเนียมในการรับชำระแต่อย่างใด”

ในขณะที่ Jia Hang ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่าย Global Strategic Partnership ของ แอนท์ ไฟแนนท์เซียล บริษัทแม่ของ  Alipay กล่าวว่า “อยากให้นักท่องเที่ยวจีนสนุกกับการจับจ่ายซื้อของโดยตรง แม้อยู่ในต่างแดน”

ถือเป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญของ 3 ผู้นำโลกออฟไลน์และออนไลน์เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในไทย โดยเน้นการนำเสนอประสบการณ์ที่น่าประทับใจในการซื้อสินค้า และจับตลาดใหญ่อย่างลูกค้าชาวจีนโดยตรง สำหรับใครที่มีเพื่อนๆ ชาวจีนก็อย่าลืมอัพเดตให้เขาได้ทราบว่าสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องพกเงินสดโดยใช้จ่ายผ่าน Alipay ที่เซเว่นอีเลฟเว่นได้แล้ววันนี้

 
Source: thumbsup

The post เคาน์เตอร์เซอร์วิสจับมือ “Alipay” ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ชาวจีนชำระเงินค่าสินค้าได้ที่เซเว่นอีเลฟเว่น 9,000 สาขาทั่วไทย appeared first on thumbsup.

SCB คว้ารางวัลจากงาน Thailand Zocial Award กลุ่มการเงินการธนาคาร 3 ปีซ้อน

$
0
0

SOM_0862

ไทยพาณิชย์แรงต่อเนื่อง คว้ารางวัล Top Zocial Awards ในกลุ่มการเงินการธนาคารที่มี Engagement สูงสุดในโซเชียลมีเดียจากงาน Thailand Zocial Award 2016 มาครองได้สำเร็จ นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโซเชียลมีเดียของวงการอย่างแท้จริง

โดยรางวัลนี้ถือเป็นรางวัลที่คนทำโซเชียลมีเดียหลายๆ แบรนด์หมายปอง เพราะแสดงถึงการสร้างสรรค์งานโซเชียลมีเดียที่มีคุณภาพ และการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้งเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จำนวนผู้ติดตาม จำนวนการเติบโต รวมไปถึงคุณภาพเนื้อหาที่ถูกแชร์ออกไปจากช่องทางต่างๆ

SOM_0820

และนอกจากความสำเร็จของไทยพาณิชย์ที่ได้รับรางวัลในประเทศไทยเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะได้รับรางวัล Best Use of Social Media in Asia ซึ่งจัดโดย Timetric ผู้ให้บริการข้อมูลออนไลน์, บทวิเคราะห์และคำปรึกษาด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการตลาดของประเทศสิงคโปร์ และยังเคยได้รับรางวัล Best Social in Asia จากนิตยสาร Global Finance สหรัฐอเมริกามาแล้ว แถมยังได้รับยกย่องให้เป็น Success Case Study จากหลายๆ ที่ รวมถึง Google และมีองค์กร รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ มาขอดูงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

foodiehow-to-use-money
หากมาดูจุดเด่นของโซเชียลมีเดียของ ไทยพาณิชย์ ในชื่อ SCB Thailand คือการสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับการเงิน ที่นึกถึงผู้อ่านที่เป็นคนไทยเป็นหลัก โดยทำออกมาได้อย่างเข้าใจง่าย สนุก และถูกกับจริตของคนไทย ด้วยรูปแบบในการนำเสนอที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนประกอบข้อความสั้นๆ, Infographic, คลิปวิดีโอ ไปจนถึงการนำเสนอเคล็ดลับทางด้านการเงินที่ทำขึ้นมาในรูปแบบ Facebook Application

millionair_looks_AWfreelance
SCB Thailand ไม่ได้เพียงนำเสนอเพียงแค่เนื้อหาเกี่ยวกับบริการของธนาคารเท่านั้น แต่ยังมีการทํา CSR หรือ Corporate Social Responsibility ผ่านโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเชิญชวนคนออนไลน์ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย

หรือที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการรณรงค์ให้คนมาบริจาคโลหิต ซึ่งทางธนาคารร่วมกับสภากาชาดไทยเปิดรับบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องมาหลายปี และใช้การประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดียของธนาคารเป็นหลัก ซึ่งส่งผลให้สามารถจัดเก็บโลหิตจากการบริจาคเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 50 ล้านซีซี

blood_twkumamoto-fb
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างการใช้งานและการดำเนินงานผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของ SCB Thailand เท่านั้น เพราะแต่ละช่องทางที่ทางไทยพาณิชย์นำเสนอ ก็จะมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป โดยปัจจุบันมีช่องทางโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Facebook, Twitter, YouTube, LINE และ Instagram ครบทุกตัวที่คนไทยส่วนใหญ่ใช้งาน พร้อมการนำเสนอเนื้อหาที่มีความแตกต่างกันด้วย

ครบรสครบเครื่องสมแบบนี้สมกับที่ได้รับรางวัลด้าน Social Media ระดับโลกจริงๆ

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post SCB คว้ารางวัลจากงาน Thailand Zocial Award กลุ่มการเงินการธนาคาร 3 ปีซ้อน appeared first on thumbsup.

เจาะใจ “ภาวิต จิตรกร”กับภารกิจจัดการเหมืองทองดิจิทัล (ของอากู๋)

$
0
0
phawit chitrakorn

phawit chitrakorn

กลางมีนาคมที่ผ่านมา “ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” หัวเรือใหญ่แห่ง GMM Grammy ได้ออกมาประกาศความเป็นผู้นำด้าน Digital Platform ของบริษัท และครั้งนี้ “ไพบูลย์” ไม่ได้มาคนเดียว หากควงคู่ Chief Marketing Officer คนใหม่หมาดที่เพิ่งจะโยกย้ายมาจากชายคา “Ogilvy” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักการตลาดออนไลน์อย่าง “Influencer Hub” ทำให้ต่อมสงสัยของเราทำงาน จนกลายมาเป็นบทสัมภาษณ์เจาะลึกของผู้ชายคนนี้ “เจ๋อ – ภาวิต จิตรกร” ขอเชิญไล่เรียงสายตาได้เลยครับ

“เชิญนั่งก่อนครับ รับชากาแฟอะไรก่อนไหมครับ” ผู้บริหารหนุ่ม กล่าวทักทายพร้อมเดินออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเองทั้งที่เขาไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ จนผมรู้สึกตัวยิ่งเล็กลง แต่ถึงอย่างนั้น ขณะที่พูดคุยทำความรู้จักกับเขาไป ผมกลับมีความรู้สึกสบายจนลืมคิดไปว่ากำลังมาสัมภาษณ์ CMO คนใหม่ของ GMM Grammy

“ภาวิต” ย้อนอดีตให้เราฟังว่าเขาเริ่มต้นจากสายงานโฆษณาในสาย Account Management จริง แต่อาจจะเป็น Account ที่มีความเป็นครีเอทีฟ เพราะเป็นคนที่ร่ำเรียนมาทางสายครีเอทีฟ กับการที่สมาชิกตระกูล “จิตรกร” นั้นส่วนใหญ่เป็นสถาปนิก ทำให้เขากลายเป็นคนโฆษณาที่ผ่านงานทั้งด้าน Account, Creative และ Strategic Planning ถึงวันนี้ก็ร่วม 20 ปี พร้อมกับผลงานการดูแลแบรนด์ทั้งระดับ Multinational brand และ Local brand โดยตำแหน่งสุดท้ายของเขาก่อนที่จะมาสู่ GMM Grammy เขาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ Ogilvy & Mather

แววตาของเขาดูลุกโชนเวลาพูดถึงเรื่องโฆษณา ผมจึงขออนุญาตคุณผู้อ่านย้อนอดีตร่วมไปกันกับเขาในฐานะคนโฆษณา ก่อนที่จะชวนคุยกันถึงอนาคตอันน่าตื่นเต้นของบทบาทหน้าที่ในปัจจุบันที่ GMM Grammy

“ผมทำงานกับ Ogilvy มาทั้งหมด 12 ปี ครับ 4 ปีครึ่งอยู่กับ Grey Worldwide Thailand แต่ก่อน Grey ดังมาก จำได้ว่าช่วงของผมตอนอยู่ Grey คนลาออกไปอยู่ Saatchi & Saatchi  กัน 11 คนแบบยกกรุ๊ปเลย ผมเลยเติบโตมาแบบ “เมาคลีลูกหมาป่า” ที่ไม่มี AE ดูแลผม จำได้ว่าตอนนั้นผมรายงานตรง “พี่เอ๋ย” (อ่อนอุษา ลำเลียงพล กรรมการผู้จัดการของ Grey ณ เวลานั้น – ผู้สัมภาษณ์) แล้วใครจะมีเวลาสอนผมล่ะ ผมก็เลยต้อง อาศัยพี่ๆ ครีเอทีฟ และเรียนรู้กันไปกับเขา เราเลยมีหัวครีเอทีฟอยู่

“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราต้องทำเองทุกอย่าง จะเขียนอะไรทียังเป็นพิมพ์ดีดอยู่เลย แต่เพราะว่า ณ วันนั้นชีวิตมันยากลำบาก พอผ่านมาได้เราโตขึ้นเป็น Account Director เราก็รู้เลยว่าเราแตกต่างแล้ว ความครีเอทีฟเราไม่เท่าคนอื่นล่ะ และต่อมาก็กลายมาเป็น Account Service ที่บ้ารางวัล และอยากทำงานให้ได้ความสำเร็จของลูกค้า รวมถึงรางวัลมากๆ”

“จากนั้นก็ลาออกมาอยู่ DY&R กับพี่ Ham และพี่ไอ๋ ดลชัย  ที่จริงผมก็ทำ pitching ได้สำเร็จเยอะ แต่ก็รู้สึกว่าทำไมเราไม่ได้รางวัลใหญ่เลย ผมเริ่มอยากมองออกไปข้างหน้ามากขึ้น และพบว่าตอนนั้นไม่ค่อยมีใครพูดถึงรางวัล Cannes กันเลย คนทำงานโฆษณาในบ้านเราได้แต่ดูงาน Cannes กันอยู่ จนกระทั่ง เราเริ่มได้รางวัล Gold Cannes Lion พี่จูดี้ (จุรีพร ไทยดำรงค์  ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ หรือ Creative Chairwoman ของ GREYnJ United) ที่ได้จาก Tabasco พี่สุทธิศักดิ์ BBDO ก็ได้จาก Fedex  ผมเองก็พยายามทำ แต่อย่างไรก็ได้แค่ Bronze กับ Local Award

“จนผมมาคิดได้ว่าผมจะไม่เป็นมนุษย์ Silver หรือ Bronze ล่ะ ผมจะต้องได้ Gold หรือ Grandprix ให้ได้ ผมจึงลาออกกลับมา Grey เงินเดือนขึ้นแค่ 3,000 บาทจำได้เลย โจทย์ตอนนั้นคือผมจะเอา Cannes ให้ได้เลย ทำไป 5 เดือนก็ได้ Cannes กับงาน Quit to Win มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกดีกับชีวิตมาก”

จาก Grey, DY&R, กลับมา Grey ทำไมถึงมา Ogilvy?

“หลังจากได้รางวัลมา ชีวิตก็เปลี่ยน Business pitch ทำมาก็ชนะ รางวัลก็ได้ งาน Planning ก็ค่อนข้างดี ทำให้ผมไม่เคยสนใจจะไปทำกับ Ogilvy เลย แต่จุดเปลี่ยนคือปีนั้นผมมาเจอกับพี่จุ๋ม (พรรณี ชัยกุล ประธานกลุ่มบริษัท Ogilvy & Mather Thailand) ผมตกหลุมรักเขาเลย พี่จุ๋มเป็นคนที่คมมาก ทำในสิ่งที่เขาเชื่อและคิด และเป็นคนมี integrity ที่สูงมากในอาชีพ ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่านายคนนี้จะเป็นนายที่ดีที่สุดในชีวิตผม ผมก็เลยออกเลย แล้วไป Ogilvy เหมือนหนีตามผู้หญิงมาอยากทำงานให้”

จากจุดนั้นก็ทำให้คุณทำงานกับ Ogilvy มานานมาก คุณพอจะสรุปสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้จาก Ogilvy มาสัก 3 อย่างได้ไหม?

1. Professionalism – Ogilvy จะเน้น First class business for First class client ซึ่งผมว่านี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เจอที่อื่น ผมจะเข้าใจได้เลยว่านี่คือมาตรฐาน Ogilvy เพราะเรามี Learning เยอะมาก We’re gentleman with brain เวลาทำงานกว่ามันจะออกไปได้ มันไม่ใช่งานที่เราพูดเรื่อง Scam Awards พูดเรื่องรางวัล แต่มันเป็นงานที่ประชาชนเขาชอบกันทั้งประเทศ ไม่เช่นนั้นงานอย่างไทยประกัน อย่างเนเจอร์กิฟต์ กสิกร KFC Dutchmill ไม่เกิดหรอก มันพลิกแบรนด์หมด และ handle ลูกค้าอย่าง professional ตรงไปตรงมา ไม่ได้ก้มหัวให้เมื่อมันมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่พร้อมจะอยู่กับลูกค้าที่เอารัดเอาเปรียบ เรามีความคิดที่หวังดีกับลูกค้า เพราะ David Ogilvy และคุณจุ๋ม พรรณี ได้ตอกย้ำเรื่องนี้เสมอมา

2. Brand Stewardship มันเป็นเรื่องของความเข้าใจแบรนด์ คือ Ogilvy เราเข้าใจแบรนด์แบบทั้งระบบ ทั้งในเชิงของความรู้ที่มอบให้กับคนทำงาน วัฒนธรรมที่ทำให้คนทำงานต้อง steward ปกป้องแบรนด์ วิธีที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าแบรนด์ที่ดีมันจะเป็นแบบไหน และ end result ของทั้งลูกค้าและ Ogilvy จะมีมาตรฐาน เราลงทุนในเรื่องคนเยอะมาก

3. Leadership ในตอนที่เป็น MD แล้วสิ่งที่ผมคิดว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุด นอกเหนือไปจากการทำงานในทุกวัน ที่ต้องทำงานให้ดีให้ได้รางวัลก็คือ Leadership ที่ผมเรียนรู้จากคุณจุ๋ม และคุณนิด นพดล สิ่งที่ผมเรียนรู้จากเขาก็คือว่า การเป็นผู้นำ ไม่ใช่ว่าเรา inspire เก่งแค่ไหน เราพูดเก่งแค่ไหน เราทำงานดีแค่ไหน แต่หัวใจสำคัญของมันคือ เราตัดสินใจได้ดีที่สุดแค่ไหน การตัดสินใจมันเป็นภาระที่ยากที่สุดของการเป็นผู้นำ เพราะคนที่เดินเข้ามาหาเรา มีอยู่ 2 อย่างคือ 1. Need authority 2. Need advisory มันไม่มีหรอกที่ทุกๆ authority และ advisory ทำให้ทุกคนแฮปปี้ บางครั้งมันต้องตัดสินใจ สิ่งที่ผมเรียนรู้จาก Ogilvy คือ คุณตั้งจุดยืน ว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต้องเป็นผลประโยชน์แก่ลูกค้า และพนักงาน และหัวใจสำคัญคือมันต้องไม่ใช่ทำไปเพื่อฐานคะแนนเสียงของเราเอง

ตัวอย่าง เช่น ถ้าเกิดลูกค้ามีความเดือดร้อนมากๆ (แล้วต้องแลกกัน) กับการที่พนักงานของเราไม่ได้หยุดงาน 3-4 วันในช่วง Long weekend มันเป็นธรรมชาติเลยว่าคุณกำลังกลัวลูกค้า หรือคุณมองว่าลูกค้ากำลังอยู่ในช่วงที่ลำบากที่สุด แล้วคุณต้องตัดสินใจแบบยากๆ นี้เพื่อให้คนทำงาน แต่จริงๆ ในแง่ Leadership มันมีเรื่องยากกว่านั้น มันมีเรื่องคน และเรื่องอื่นๆ อีก

สรุป 3 เรื่องที่สำคัญที่ผมได้เรียนรู้ 1. เป้าหมาย  2. ความบ้าคลั่งที่จะไม่ได้แค่ตอบเป้าหมาย แต่ต้องทำได้มากเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3. การก้าวไปข้างหน้า มันเป็นหน้าที่ของบริษัทที่เป็นผู้นำ เพราะการที่เป็นผู้นำมันไม่สามารถรอตลาดได้ คุณอาจจะต้องนำตลาด ถึงแม้ว่ามันอาจจะล้มเหลว แต่ว่าก็มีความคิดที่ล้ำหน้าเสมอ

ดูเหมือนคุณก็ไปได้ดีกับ Ogilvy คุณทำใจลำบากไหม เวลาจะโยกย้ายมา GMM Grammy? รู้สึกว่ามันเป็นความเสี่ยงไหม?

“ผมไม่เคยคิดอยากจะออกจาก Ogilvy เลย ผมยังคงขอย้ำว่า Ogilvy เป็น Agency ที่ดีที่สุดสำหรับผมเสมอ แต่การที่ผมเดินออกมาผมคิดว่าผมเดินออกมาอย่างดีที่สุด อย่างผลงานที่ผมกับเพื่อนๆ พนักงานทำให้ Ogilvy กลายเป็น Agency of the Year 3 ปีซ้อน ก่อนจากมาผมบอกบริษัทล่วงหน้า 5 เดือน และอยู่ปิดบัญชีให้ Ogilvy จนถึงวันสุดท้ายที่แน่ใจว่าผมส่งมอบผลงานจบและดีที่สุด ในฐานะที่ผมได้รับเกียรติและตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของส่วนงานที่ใหญ่ที่สุดของ Ogilvy และผมก็เชื่อว่าผมรักมันมากพอๆ กับชีวิตผมล่ะครับ

“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุด แต่ที่ผมพูดได้คือ ผมเดินออกมาด้วยความสัมพันธ์ที่ยังดีด้วยกันถึงวันนี้อยู่ ผมกับ Ogilvy ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผมยังคุยกับพี่จุ๋มทุกอาทิตย์ พี่จุ๋มยังเป็นนายที่ดีที่สุดของผมเสมอ แต่ผมเป็นคนฝันใหญ่ ผมเชื่อว่าความสามารถของผม ผมต้องทำได้มากกว่าที่ผมเป็นอยู่”

– – – – – – –

หลังจากพูดคุยถึงที่มาที่ไปในการตัดสินใจลาจาก Ogilvy & Mather ที่ “ภาวิต” มุ่งมั่นสร้างมานานหลายปี เราก็เริ่มแปรประเด็นมาสู่การพูดคุยถึงปัจจุบัน และอนาคตของ GMM Grammy ว่าในฐานะ CMO เขามองเห็นโอกาสใดบ้างในธุรกิจบันเทิงยุคดิจิทัล

GMM Grammy as an infrastructure

“ผมมีความคิดส่วนตัวว่า ในอนาคต คนที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้จะต้องอยู่กับ infrastructure และผมคิดว่าบริษัทโฆษณามันอาจจะไม่ใช่ infrastructure คนที่เป็นเจ้าของ infrastructure มันจะมีโอกาสที่จะจัดการให้ไอเดียบางอย่างเกิดขึ้น ตอนที่ผมยังทำ Ogilvy มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมเป็นเอเยนซี่ผมก็ต้องขายไอเดียลูกค้า ลูกค้าซื้อไอเดียผมก็เกิด ผมก็ทำมาแล้ว 20 ปี แต่ผมอยากอยู่ในจุดที่ผมฝันว่าจะทำอะไรแล้วเกิดเลย ผมถึงคิดอยากจะทำกับ infrastructure”

“GMM Grammy เป็น  infrastructure อย่างไร ถ้าลองลงดูในรายละเอียด Grammy เป็นเจ้าของ infrastructure เยอะมาก ดารา ศิลปิน ดีเจตั้งไม่รู้กี่ร้อยคน คุณมีสถานีของตัวเอง 2 ช่อง วิทยุของตัวเอง 3 ช่อง มีลิขสิทธิ์เพลง เป็น content provider อันดับ 1 ของ YouTube, Facebook, LINE ซึ่งอยู่เอเยนซี่มันทำไม่ได้นะ ผมมีฝันว่าอนาคตมันต้องเป็นโลกใหม่แล้ว ผมเชื่อว่าผมทำ Asset utilization คือผมแปรรูป Asset ให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ในอนาคตแล้วสร้างเงินสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจเพิ่มเติมให้ Grammy”

Screen Shot 2559-04-25 at 12.18.59 AM

คิดว่า GMM Grammy เป็นบริษัท Infrastructure ตรงไหนบ้าง? เพราะถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ภาพของ Grammy ภายนอกคือเป็น Content Provider มากกว่าจะเป็นเจ้าของ infrastructure เช่น Facebook, Google ซึ่ง Grammy ใช้ platform เหล่านั้น คุณคิดว่าตัวเองเป็น Infrastructure อย่างไร?

“จุดที่ผมเห็นคือ Facebook, Google เขาเป็น infrastructure ระดับโลก แต่คำว่า infrastructure ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ไปอีกระดับว่ามันคือ sector ถูกไหม แล้วถ้าผมบอกว่า GMM Grammy คือ Entertainment infrastructure ของประเทศไทยล่ะ?

“เพลงทั้งประเทศเป็นของ Grammy 80% เรามี ศิลปิน ดารา ดีเจ ตลอดจนคนที่เป็น Opinion leader ของ Entertainment อยู่ในสังกัด ที่ไหนมีเยอะเท่านี้ อย่าลืมนะบางค่ายคุณต้องแยกระหว่าง “ผู้จัด” กับ “สถานี” เราไม่ใช่แค่ผู้จัด แต่เรามีของอยู่แล้ว เรามีโทรทัศน์ 2 ช่อง วิทยุ 3 ช่อง ทีมงานผลิต Studio มากกว่า 30 ทีม ตลอดจนช่องทางออนไลน์ เราจึงเป็น infrastructure ที่เป็นเจ้าของคนเดียวหมดเลย และนี่คือ Asset ของ GMM Grammy และ Only at GMM”

คุณจะทำ Asset utilization อย่างไร?

“ผมอยากทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำในประเทศ การคิดอย่างนั้นได้มันต้องมีหลายองค์ประกอบ 1.) ต้องมีความคิด 2.) ต้องมีการลงทุน 3. ต้องมีความพร้อม 4. ต้องมีภาพลักษณ์ที่ถูกต้อง เพราะมันจะพาเราไปสู่การทำได้จริง ผมทำ Asset utilization มันเหมือนเราต้องมองเห็นเหมืองทองอยู่ในตึกผมน่ะ”

ถ้าอย่างนั้นคุณจะจัดการเหมืองทองของ GMM Grammy ยุคใหม่ ด้วยกลยุทธ์อะไร อย่างไร?
“กลยุทธ์ของเราคือ 4 ประสาน “Content – Social – Technology – Data” 4 ข้อนี้เกิดขึ้นมา เพราะเรามองว่าทุกอย่างเริ่มต้นที่ GMM Grammy มี Content ที่ดีอยู่แล้ว ทำอย่างไรที่เราจะทำให้คนจำนวนมากรับรู้เกี่ยวกับ Content ของเรา การทำ Social จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญขั้นต่อไป อย่างที่เราได้ออกมาเผย Best Stat (ข้อมูลเชิงสถิติที่แจ้งมาทั้งหมดในบทสัมภาษณ์นี้) มาก่อนหน้านี้

เราพูดกันบนพื้นฐานของ KPI ทุกอย่างวัดผลได้ ซึ่งมันควรจะสัมพันธ์กับยอดขายในที่สุด เช่น Potential ของแฟน (ความเป็นไปได้ว่าแฟนๆ ของเซเลปคนนั้นสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างไร เคย Like Page หรือไม่ – ผู้สัมภาษณ์)/ Reach / Frequency / Engagement (Like, Comment, Share, Retweet)

ส่วน Technology เราก็จะต้องรวมเอาไอเดียทางด้าน Content ของเราผสานเข้ากับ Technology ซึ่งตรงนี้เรายังแชร์มากไม่ได้ และสุดท้ายคือ Data ที่ Grammy เรามี Data เยอะมาก แต่ก็ต้องใช้เวลากับมันมากเช่นกัน เราต้องทำให้มันสามารถจัดการได้ ผมบอกได้ว่า ณ ตอนนี้มันคงยังไม่ใช่ Big Data ที่เป็น Consumer แต่มันเป็น Big Data ของ Stat ก่อน

เช่น ผมมี 17,000 ล้าน View แล้วต่อไปผมบอกว่าทำให้ลูกค้าเป็นเจ้าของ View เหล่านี้ให้ได้ทีละ 1,000 ล้านครั้ง อันนี้ผมทำได้ และได้เริ่มขายลูกค้าแล้ว เช่น YouTube เรามียอดผู้เข้าชมต่อเดือนเป็นพันล้านครั้ง ส่วนหนึ่งเราก็ยังคงทำโฆษณา Pre-roll กับ YouTube (การนำโฆษณาบังเนื้อหาด้านหน้าก่อนชมเนื้อหา โดยเจ้าของเนื้อหาจะได้ส่วนแบ่งรายได้) และอีกทางหนึ่งคือลูกค้าจะเข้ามามีส่วนร่วมกับ Content ที่มี performance ที่ดีที่สุด และอาจนำไปสู่การทำ Lead generation ได้ในที่สุด

– – – – – – – – – –

Influencer Hub เหมืองทองในตึกของ “ภาวิต” กับ Influencer Marketing ตอบโจทย์แบรนด์ทั่วไทย

 

Screen Shot 2559-05-22 at 10.29.50 AM

 

“สิ่งที่จะทำอย่างแรกก็คือ “Influencer Hub” ซึ่งคุณคงเห็นในข่าวว่ามันจะมีลักษณะคล้าย Maker Studios ของเมืองนอก ผมเอาแนวคิด Influencer มาใช้กับศิลปินทั้งตึก แล้วทำงานร่วมกับลูกค้าได้หมดเลย คุณอาจจะเห็นว่าผมไม่ได้ไม่พูดเรื่องนี้กับสื่อทั่วไป เพราะผมไม่อยากให้ user รู้สึกว่าของที่มาจาก Celeb เกิดจากอะไรที่เป็น branded ทั้งหมด ผมอยากให้รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ มันเป็นชีวิตจริงของเค้าซึ่งก็เป็นคนปกติ

“Influencer Hub จะมีโมเดลการทำธุรกิจที่ซับซ้อนมาก แต่มีวิธีการทำ optimization อย่างสุดฤทธิ์ ซึ่งเรามีคนที่จะมาทำเรื่องนี้แล้ว เรามีการจัดทำ Influencer management มีการจัด cluster ตั้งแต่ A+ ไปจนถึง B มีการทำ segmentation ว่าใครมีอิทธิพลใน segment ไหน เชี่ยวชาญในชุมชนหรือกลุ่มความชอบแบบไหน และคนรับสารเป็นกลุ่มประชากรแบบไหนเพศ อายุเท่าไหร่ เราจะมีหมด”

 

Screen Shot 2559-04-25 at 12.36.22 AM

 

ดูคุณมั่นใจกับ Influencer Marketing ค่อนข้างมาก?

“Advertising จริงๆ ขนาดมันกำลังมีแนวโน้มที่ลดลง เรามีบทพิสูจน์ว่า Influencer marketing มันมีผลต่อตลาดมาก เพราะตอนนี้คนเลือกเชื่อเพื่อน ครอบครัว ออนไลน์รีวิว และบล็อกเกอร์ พิสูจน์กันได้แล้วว่า Influencer สามารถสร้าง awareness ได้มากกว่า แม้กระทั่งสร้าง loyalty กับ lead generation

“จริงๆ แล้วคนไทยเรามีความพิเศษกว่าคนชาติอื่น คือเป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน (หัวเราะ) การที่เขาตาม Influencer จะทำให้เขาเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างมีความบันเทิง แถม Influencer ยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนค้นหามากที่สุดด้วย นี่คือผมเอาตัวเลขมาจาก Global Web Index

“นอกจากนี้ในแง่ของ Brand discovery คนรู้จักแบรนด์จาก Influencer มากกว่าช่องทางของแบรนด์ เพราะฉะนั้นนี่คือโอกาส ผมจึงสามารถจับคู่ ความต้องการทางการตลาด (marketing demand) กับ กลยุทธ์ของผู้มีอิทธิพล (Influencer strategy) โดยผมจะทำผ่านแคมเปญที่เป็น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การทำแคมเปญ CSR, โปรโมชั่น และอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งผมจะทำในรูปแบบ always on ที่สร้างความน่าติดตามอย่างต่อเนื่อง”

พอจะทำ Influencer Hub แล้วมีเสียงตอบรับอย่างไรบ้าง?

“เราใช้เวลา 2 เดือนที่ทำให้คนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในตึกยอมทำ Influencer Hub ผมต้องการให้ Influencer Hub เป็น One Stop Shopping เพราะผมทำ Target Segmentation ได้ คุณไปหา Influencer คุณไปหาน้องพริตตี้ เขาไม่สามารถบอก Segmentation คุณได้นะ คุณต้องวิเคราะห์เองว่าเขาเข้าถึงกลุ่มไหน แต่อันนี้ผมทำให้คุณได้เลย ผมเลือกจัดการได้อยู่แล้วจะเอาเวลาไหน แถมผมเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่จัดเตรียม KPI ให้คุณได้ด้วย Cost ที่ต่ำที่สุด”

คุณเลือกจัดการอย่างไร เช่น ถ้าคุณจะต้องเลือก segment หนึ่งมา จะต้องเลือก Influencer คนไหน? 

“ขึ้นอยู่กับโจทย์ของคุณด้วย สมมติว่า โจทย์มาเป็น retail เช่น retail มีธรรมชาติคือต้องทำ online activation พฤหัส ศุกร์ เสาร์ เพื่อสร้าง awareness แล้วขับเคลื่อนให้เกิด action ผมสามารถจัดการอันนั้นได้เลย ผมจัดการ demand ได้เลย พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์เกิดอะไรขึ้นจากกระแสสังคมที่คนมี drive มันน่าจะมีโอกาสที่เรา influence สังคมได้ เลือกจัดการได้ อันนี้อาจจะเป็นลักษณะของโจทย์มากกว่านะ tailor made ตามโจทย์”

KPI จะว่ากันอย่างไร?

“ผมทำได้ 2 แบบคือ 1.) Sharer กับ 2.) Advocate ผมว่า Sharer คือพื้นฐาน คือเราแชร์เพจ (วัดผลกันด้วยตัวเลขจาก Facebook Insight ของ Influencer) ส่วน Advocate เราตีความได้ 3 รูปแบบในการที่ Influencer จะผูกพันเกี่ยวกับสินค้า
คือ การที่เขาจับ product, การที่อยู่คู่กับ product และ อยู่ในไลฟ์สไตล์เขา

ตอนที่ผมทำตอนต้น ผมเสียวที่สุดคือจะไม่มีใครยอมทำ Advocate แต่พอผมทำจริงๆ แล้วปรากฏว่า 90% ของเซเลปยอมทำ นี่คือเรากำลังพูดถึงคนมากกว่า 270 คน หรือช่องทาง Social มากกว่า 644 ช่อง มี potential reach แบบไม่แยกจำนวนคนดูซ้ำราวๆ 113 ล้านคน* ซึ่งเราจะแบ่ง cluster เลยซึ่งเป็น fair deal (จำนวน potential reach เกิดจากการนับรวม Facebook Page ทุกอันที่ GMM Grammy มี แต่ละเพจอาจมีจำนวนคน Like ที่ซ้ำ หรือ Duplicate กันอยู่ – ผู้เขียน)

คุณแบ่ง Cluster ของ Influencer อย่างไร?

“การแบ่ง Cluster ผมจะมีแบ่งเป็น A B C แต่การเรียง A B C ผมไม่ได้นับจากความดังนะ ผมนับจากจำนวน follower ในการขาย ผมไม่ขายเดี่ยวนะ ผมขายกลุ่ม ที่บอกว่าเลือกกลุ่มเป้าหมายจัดการเนี่ย เพราะคนทุกคนมีชีวิตจริงๆ ดังนั้นผมก็จะเลือก filter คนๆ นี้เขาพร้อมจะทำในหมวดความสนใจนั้นๆ อย่างเช่น ถ้าหากจะต้องพูดเรื่องไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงหรือ beauty based คนที่เป็น Influencer ก็จะต้องเป็นคนที่อยู่บน segment อย่างนั้นจริงๆ นี่คือแนวทางที่เราจัดการ Influencer Hub”

สรุปว่าการทำ Asset Utilize ความสามารถของ GMM Grammy มาทำโฆษณานั่นเอง?
“เราทำธุรกิจก็ต้องได้เงิน แต่อย่างที่บอกบทบาทของผมโฟกัส B2B ไม่ได้โฟกัส B2C ถ้ามองไปใน B2C ยังมีคนที่เป็นสุดยอดของวงการไม่ว่าจะเป็นพี่บอย ถกลเกียรติ พี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล พี่กริส ทอมมัส หรือแม้แต่คุณไพบูลย์ และคุณเล็ก บุษบาเอง เขาสร้างสรรค์ Content ให้ประชาชนมา 30 กว่าปี ผมเป็นแฟน Grammy เขาทำดีอยู่แล้ว สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้คือทำให้ของพวกนี้มันเพิ่มมูลค่าได้อย่างไรมากกว่า”

B2B ที่คุณบอก หมายถึงการทำ Branded Content ใช่หรือไม่?
“ไม่ใช่ ผมเป็น Value Creation ผมเป็น Asset Utilization ผมเป็น One Step Ahead Strategy ผมเป็น New Technology เพียงแต่ผมยังเปิดเผยทั้งหมดไม่ได้ ผมเลือกเดินเกมนี้เพราะอะไร จริงๆ ผมจะ launch ตูมเลยก็ได้ แต่ก็เหมือนที่คุณพูดไหม ผมยังไม่มีเครดิตไหม ผมต้องมีหลักไมล์หรือเส้นทางเดินของผม ถ้าผมมา launch ตูมๆๆ คนยังตั้งคำถามว่าจะยุบช่องหรือเปล่า ธุรกิจดนตรีตลาดไม่ดี ผมอยู่เอเยนซี่มา ผมทำ Branding ผมก็ต้องทำ Branding GMM Grammy สิ

“ผมก็ค่อยๆ ทำ เปิด Best Stat ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับ GMM Grammy ก่อน แล้วผม launch ผลิตภัณฑ์พื้นฐานง่ายๆ ก่อน นั่นก็คือ Branded Entertainment และ Influencer Hub… ไม่เป็นไร comment คุณจะบอกว่าผลิตภัณฑ์มันเก่าเมืองนอกเขาทำมานานแล้ว อันนี้ผมไม่มีปัญหา เพราะผมตั้งใจอยากให้ซื้อง่ายขายคล่อง แต่ผมอยากให้ทุกคนรู้ล่ะนะว่าผมเริ่มเดินในตลาดนี้แล้ว และผมจะยังมีผลิตภัณฑ์ตัวเก็งที่ผมจะออกมาในอนาคตเยอะมาก ในราคาที่เป็นธรรม คุณซื้อผ่าน Broker ทำไม ผมให้คุณซื้อได้ในราคาต้นน้ำ”

คุณมี Roadmap สำหรับ Influencer Hub อย่างไร?
“Influencer Hub ตอนนี้มันเป็นเวอร์ชั่น 1.0 นะครับ ส่วน 2.0 จะมี Top Influencer ที่อยากให้มาร่วมงานกันเข้ามา โดยความคืบหน้าล่าสุด ช่วงเดือนเมษา – พฤษภาที่ผ่านมา เราไป Roadshow กับลูกค้า 3 กลุ่มหลักๆ คือ Creative Agency, Media Agency, และ PR Agency เพราะผมเชื่อว่าทุกคนใช้ Influencer Hub ได้หมด จนตอนนี้มีโจทย์เข้ามาร้อยกว่าโจทย์

“อย่างไรก็ตาม ผมคิดการจะทำ Influencer Hub ได้  จะต้องมีไอเดียมาก่อน มันไม่ใช่แค่ว่าให้เซเลปถือของ โพสต์ของ ผมไม่ได้ต้องการเติมขยะในโลกโซเชียล แต่ผมมองว่าไอเดียนี้มันเหมาะกับเซเลปแบบไหน โดยที่เรามี KPI กำกับกันด้วย แต่ผมก็อยากย้ำว่ามันเป็นเพียง Door opener product (ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เปิดตัว และทำความเข้าใจกับแบรนด์และพันธมิตรทุกคนว่า GMM Grammy เปลี่ยนไปอย่างไร – ผู้สัมภาษณ์) ซึ่งเป็นเพียงจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งใน Strategy ของเรา

คุณไม่คิดว่าการที่เซเลปถือของเยอะๆ มันจะดูเป็นการค้าไปหมดหรือ?
“Influencer Hub ไม่ใช่การเอาชีวิต วิญญาณของเซเลปมาขายทอดตลาด อันนั้นผิดมาก แต่เรากำลังจับมือกันในความถูกต้อง ก่อนจะทำเราต้องมองก่อนว่าความสนใจร่วมกันของแบรนด์, Influencer และลูกค้าคืออะไร ไม่งั้นใครก็ทำ Influencer ได้ เหมือนเอา Product จับโยนเข้าไปใน Instagram แล้วไม่มีใครสนใจเลย ได้แต่ Eyeball เป็นลูกค้าคุณแฮปปี้หรือเปล่า คุณก็ไม่แฮปปี้ มันควรจะ Influence แล้วมันส่งผลเชื่อมโยงกับยอดขาย หรือมีอะไรเกิดขึ้นที่วัดกลับมาได้”

เราได้ยินว่าคุณปฎิเสธลูกค้าที่สนใจทำ Influencer Hub หลายคนอยู่ คุณยืนยันได้ไหม?
“ต้องบอกว่ามันมีการปฎิเสธลูกค้าบ้าง เพราะเงินเป็นเพียง factor เดียว ไม่ใช่ว่าเราอีโก้นะ แต่เราทำเพราะอยากให้มีผลสำเร็จแก่ลูกค้าและเอเยนซี่ เพราะการทำ Influencer Marketing ให้ถูกต้องคือว่า อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้คือ อย่างน้อยเราต้องมีไอเดียก่อน คนเดินเข้ามาหลายคนอาจจะเพราะเห็นเครดิตของทีมงาน แล้วคิดว่าเดี๋ยวเราจะคิดให้หมด ซึ่งผมไม่ทำ ผมไม่ได้ทำงานเอเยนซี่ มันไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะต้องแย่งงานเพื่อนๆ ในตลาด มันไม่ใช่หน้าที่ แต่เรามีหน้าที่ต่อยอดไอเดีย เรามี Asset ทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด”

ว่ากันว่าสิ่งท้าทายของธุรกิจในยุคดิจิทัล ไม่ใช่เรื่อง ‘ความคิดสร้างสรรค์’ เสียทีเดียว แต่เป็นเรื่องของ ‘โครงสร้าง’ คุณคิดว่ามันเป็นข้อเท็จจริงเพียงใด?

“ผมเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะผมเติบโตมาจากฐานของธุรกิจที่เน้นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ โครงสร้างก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ที่จริงผมว่า Content creator ไม่เห็นมีโครงสร้างอะไรเลย Justin Beiber ก็เล่นดนตรีของเขามาจนดัง ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่เหลือมันเป็นแต้มต่อ

“แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายยุคนี้ เราจะสร้าง Content Ecosystem ได้อย่างไรต่างหาก การสร้าง Content ที่ดีมันไม่จำเป็นต้อง create อย่างเดียว แต่มัน Curate หรือ Co-create ก็ได้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องสำคัญของการปรับตัว ถึงจะเกิดสิ่งใหม่ ผมคิดว่ามันไม่มีฟอร์มและข้อจำกัดของความชื่นชอบ หนังในโลกมี 13 พลอต คนก็ยังดูอยู่ มันอยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่โลกยุคอนาคตจะเจอมันคือ ‘freedom’ ถ้าคุณเป็นสถานีโทรทัศน์แบบเดิม คิดและเชื่ออยู่ว่าต้องทำรายการทีวีแบบเดิม ถึงจะมีคนมาสปอนเซอร์ มันไม่ใช่ ตอนนี้เปลี่ยนไปหมดแล้ว”

คุณมองภาพรวมของ Digital Content Industry แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน องคาพยพมีอะไร อย่างไรบ้าง เราอยู่ตรงจุดไหน?

“Digital Content Industry มันเป็นเวทีเปิด คงแบ่งฝ่ายลำบาก แต่คนที่เป็น Content Creator คนที่เป็นมหาอำนาจคือ GMM เพราะผมไม่ได้ทำ segment ใด segment หนึ่งโดยเฉพาะ ผมทำทุก segment เลย แต่ถ้าเอา segment ใหญ่ที่คนไทยเสพ และจับสถิติจาก Google คือคนไทยอยู่บน Entertainment กับ Music ซึ่งผม dominate อยู่ ผมเป็น Content Provider ที่ provide content ที่ effectiveness ที่สุดน่ะ

“เพราะโดย stat GMM สร้างมา 17,000 ล้านวิว ตั้งแต่ช่วงเปิดตัว YouTube Thailand เราสร้างมา 1,300 ล้าน views ตั้งแต่เปิด LINE TV ผมเป็นอันดับ 1, Brand Channel เราก็เป็นอันดับ 1 สิ่งสำคัญก็คือว่า growth rate ในช่อง One ที่บอกว่าเรตติ้งเราได้ 0.x% มันเป็นจริงหรือเปล่า เลยมาตีความว่า Content ไม่มีคุณภาพ ทั้งที่มีคนดูช่อง 25 โตจากเดิมมหาศาล

“ผมไม่ค่อยสนใจคนอื่น อย่าหาว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้เลย แต่ใน Digital Content ต้องเป็น Most Completed Ecosystem ต้องเป็น King of Content ในทุกแพลตฟอร์ม นี่คือทิศทาง ที่ต้องเป็น King ให้ได้คือ Video Content Sharing ซึ่งคือ YouTube, LINE TV ซึ่งผมเป็นอันดับ 1 อยู่

“และคุณต้องเป็น King of Community เพราะถ้าคุณจะเป็น Digital Content Provider ไม่ participate content provider จะสู้คนอื่นอย่างไร สุดท้ายคือ Search คุณต้องเป็นอันดับ 1 มีคนเสิร์ชเยอะที่สุด เราเป็น magnetic content คนไม่ได้เสิร์ชผลิตภัณฑ์ของแบรนด์มากกว่าผลิตภัณฑ์ของ Grammy ซึ่งที่ตึกนี้ยังไม่มีใครมาเชื่อมกัน จนผมมาเชื่อมมันให้ดูที่นี่”

 

Screen Shot 2559-04-25 at 12.19.54 AM

 

“อธิบายลงรายละเอียด 17,000 ล้าน views ที่สร้างมามัน by far เทียบกับ Content Provider เจ้าอื่น ใน music Industry เรามากกว่าคนอื่น 17,0000 ล้านวิว ซึ่ง YouTube ให้ความสำคัญกับ Watch time และ View แค่ปีเดียว โตจาก 16,000 ล้านนาที มาเป็น 40,000 ล้านนาที (และ subscriber ก็โตเป็น 100% ยังไม่เผยตัวเลข) ส่วน View 3,500 ล้านวิว เป็น 7,500 ล้านวิว

“ช่อง 25 นี่เป็น fastest growing ในเชิงการรับชมคือโต 491 ล้านนาที 2,500 ล้านนาที ในยอด View จาก 37 ล้าน 225 ล้าน โดย demo ผมชนะใน 18-34 ชายหญิงครึ่งๆ

“Facebook 38 ล้านคน คนไทย 1 คนน่าจะ like เพจ GMM Grammy เพจใดเพจหนึ่ง ตัด duplicate ออก หาร 3 หาร 4 ก็ยังใหญ่กว่า Brand page คนอื่นๆ น่ะ เราเอา artist มาทำ influencer รวมกันทั้งหมด เรามีแฟนมากกว่าใครในประเทศ”

– – – – –

สำหรับผมในฐานะคนที่ติดตามผลงานของ GMM Grammy กับประสบการณ์ในฝั่ง Publisher ผมคิดว่าตัวเลข Best Stat หรือ “เหมืองทอง” ของ “ภาวิต” นั้นเป็นตัวเลขที่คาดเดากันได้อยู่แล้ว เพราะคนไทยอย่างไรเสียก็ชื่นชอบความบันเทิงเป็นสารัตถะอยู่แล้ว โดยเฉพาะ Video Platform ต่างๆ อย่าง YouTube, LINE TV แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่บอกมาเป็นตัวเลขจริง (ถึงจะเหมา duplicate number มาแล้วก็เถอะ)

ท้ายสุดผมถามผู้บริหารหนุ่มรายเดิมว่า เขาคิดอย่างไรกับวงการ Content Creation (หรือจะพูดกันแบบ Cliche’ สักนิดคือ คุณจะ “ฝาก” อะไรกับคนอ่านบ้าง) เขากล่าวว่า โลกดิจิทัลคือ ‘Freedom’ แต่สำคัญที่สุดคือจรรยาบรรณ ตราบใดที่เราได้ชื่อว่าเราคือ creator สิ่งที่เราทำคือผลงานสร้างสรรค์ มันจะไม่มีค่าเลยถ้ามันไม่มีจรรยาบรรณ นี่คือดาบสองคมของคนที่มีอำนาจ follower และ authority

หรือคุณว่าไม่จริง?

 
Source: thumbsup

The post เจาะใจ “ภาวิต จิตรกร” กับภารกิจจัดการเหมืองทองดิจิทัล (ของอากู๋) appeared first on thumbsup.

เปิดบ้าน Rabbit’s Tale คุยกับ 4 ผู้บริหารและแนวทางการสร้างดิจิทัลเอเยนซี่ที่น่าจับตาที่สุด ณ เวลานี้

$
0
0

วงการดิจิทัลเอเยนซี่ในเมืองไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาถือว่ามีความคึกคักอย่างมาก ด้วยความต้องการของตลาดที่มีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เอเยนซีหน้าใหม่เปิดเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย 1 ในเอเยนซี่ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากเกี่ยวกับแนวคิดและผลงานที่ได้รับการพูดถึง ก็คือ Rabbit’s Tale ครั้งนี้ thumbsup มีโอกาสได้พูดคุยผู้บริหารวัยรุ่นไฟแรงที่จะมาเปิดเผยถึงแนวทางในการทำเอเยนซี่ที่จะทำให้โดนใจแบรนด์และกลุ่มลูกค้ามากที่สุด

Rabbis-tale-group

จากซ้ายไปขวา ได้แก่ เล็ก รุ่งโรจน์ ตันเจริญ,บี สโรจ เลาหศิริ, ปอม ชนินทร์ อรัญวัฒน์ และ แม็ค สุนาถ ธนสารอักษร

Rabbit’s Tale กับความเป็นมา

คุณเล็ก ได้เล่าถึงสัญลักษณ์เป็นรูปพระจันทร์เป็นที่มาของชื่อ Rabbit’s Tale กล่าวคือ การไปเยือนดวงจันทร์เปลี่ยนมุมมองจากเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ หรือเป็นนิยายปรัมปรา (Fiction) ไม่ถึง 100 ปีต่อมากลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เป็นวิทยาศาสตร์จับต้องได้ (Nonfiction) โดยมีมนุษย์สามารถขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้เป็นคนแรก

หลังจากนั้นกลายเป็นแฟชั่นมากขึ้นทุกคนมุ่งที่จะไปเยือนดวงจันทร์ จนมีการกล่าวถึงประโยคหนึ่งว่า “Shoot for the moon. Even if you miss, you’ll land among the stars” หมายถึง ตั้งเป้าไปดวงจันทร์ อย่างน้อยถ้าคุณพลาดคุณก็จะอยู่ท่ามกลางดวงดาว

ส่วนเหตุผลของการตั้งชื่อ Rabbit’s Tale นอกจากหมายถึงกระต่ายบนดวงจันทร์ในมุมมองของ Fiction, Nonfiction และการตั้งเป้าหมายตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทุกคนที่เป็นผู้ก่อตั้งยังเกิดปีกระต่ายอีกด้วย

Rabbit’s Tale ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2009 ผู้ก่อตั้ง คือ คุณปอมและคุณแม็ค โดยมีคุณบีเป็นที่ปรึกษา และร่วมงานในเวลาต่อมา ในระยะแรกของการก่อตั้งได้ใช้โรงจอดรถของโรงพิมพ์เก่าของคุณแม็คเป็นสำนักงาน และย้ายสำนักงานในปีที่ 3 ซึ่งเป็นที่อยู่ในปัจจุบัน (ชิดลม) และวางแผนจะย้ายบริษัทเพื่อขยายการเติบโตอีกรอบกลางปีนี้

“Break the norm, Build the tale”

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Rabbit’s Tale นี้ ประกอบไปด้วย

  • พนักงาน พนักงานและสถานที่ทำงานสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และได้ทำในสิ่งที่รัก
  • ลูกค้า: สร้างความเชื่อใจให้ลูกค้ามากที่สุด
  • ความยั่งยืน: การสร้างและการเจริญเติบโต การฟูมฟัก

และที่สำคัญคือ การสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

กลยุทธ์การตลาดและการโฆษณาสำหรับ Rabbit’s Tale

Tone of voice

  • Digital life: วิถีชีวิตมนุษย์มีพลวัตรเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากไม่มีรถเป็นมีรถ ทำให้ไปมาหาสู่ถึงกันได้ เปรียบเสมือนกับ Digital life เข้ามามีส่วนในวิถีชีวิตตั้งแต่ตื่นนอน ไปเรียน ไปทำงาน จนกระทั่งเข้านอน จะเห็นได้จากสิ่งแรกที่ทุกคนทำตอนตื่นนอนตอนเช้า คือ เปิด Smartphone เพื่อ Login Social media ทำให้ชีวิตสะดวก เชื่อมโยงการติดต่อสื่อสาร และประหยัดเวลา
  • Balance between effectiveness and creativity: Digital marketing ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้เลยระหว่างความมีประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะต้องสมดุลกันผลงาน Digital marketing แต่ละชิ้นจึงจะมีคุณค่าและประโยชน์ ไม่ใช่ทำงานเพื่อ scrap Award เพียงอย่างเดียว

Budgeting

Competitive price ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงและงบประมาณที่จำกัด Rabbit’s Tale สามารถบริหารจัดการและปรับกลยุทธ์ได้ ยกตัวอย่างกรณีการสร้างสรรค์ Skip ads น้ำจับเลี้ยงสมุนไพรตราเก๊กหล่อ กับคู่แข่งขันอย่าง เย็น เย็น และจับใจ

Communication

  • เพิ่ม challenges/ลด barriers: หลากหลายช่องทาง เช่น โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, Twitter, YouTube, etc.), video marketing, website/content marketing, search engine marketing (Google, Yahoo!,), blogger/influencer marketing, e-mail marketing, Application marketing, Chinese marketing เช่น Alibaba, Aliexpress, etc.
  • Gadget: พัฒนาสื่อให้ทันสมัยเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยใช้สมาร์ทโฟน

Value added

สร้างผลงาน Digital marketing แต่ละชิ้นจึงให้มีคุณค่าและประโยชน์ ต่อยอดผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำจับเลี้ยงสมุนไพรตราเก๊กหล่อ Skip ads แล้วมีคน tweet และ re-tweet ต่อ และเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือ แนวทางใหม่ๆ ให้สามารถนำเสนอได้ เช่น มีอะไรถามอาม่า บน Twitter ของ เก๊กหล่อ เป็นต้น

Micro marketing

การทำกาตลาดทุกวันนี้ต้องครอบคลุมทุกมิติ เมื่อก่อนผู้บริโภคบริโภคเฉพาะ Mass media เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วารสาร นับตั้งแต่มีระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นต้นมา Micro media เช่น  Facebook, Instagram, Twitter, YouTube, E-book, E-journal, forum, etc. เริ่มมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในสังคมเป็นวงกว้างมากขึ้น

Success Stories

เก๊กหล่อ อาม่าท้าให้กด Skip ads แต่ถ้าดูต่ออาม่าจะบอกเคล็ดลับสูตรน้ำจับเลี้ยงแท้

Success story – YouTube 307,950 views, Facebook 30,263 Likes, 82% คนดูต่อโดยไม่ skip ads

หมู-ไก่ หมักพร้อมปรุงตราซีพี สร้างเมนูเป็นเรื่องราว Menu Story อธิบายขั้นตอนตำรับการปรุงอาหารเมนูยอดฮิต “ไก่กรอบ-ทอดสะพาน”, “ข้าวต้มหมู สู้เขานะ” โดยใช้วัตถุดิบหมู-ไก่ หมักพร้อมปรุงตราซีพี

Srichand for men

Canon Redefine ก.ไก่ สร้างมุมมองใหม่ๆ จากช่างภาพด้วยการเปิดโอกาสให้นำเสนอสิ่งใหม่ๆ เริ่มต้นด้วยแบบเรียน ก ไก่ – ฮ นกฮูก https://life.canon.co.th/redefine01

84f958d3-757b-4e94-a4d2-79f506b49ed6

จากผลงานทุกอย่างที่ทาง Rabbit’s Tale ทำขึ้นมา บีย้ำว่าทุกสิ่งไม่ได้คิดเพียงแค่การสร้างและจบไปแค่ทีเดียว แต่ Rabbit’s Tale จะมอบเป็นมรดกตกทอดกับแบรนด์เพื่อไปใช้และพัฒนาในครั้งต่อๆ ไปได้อีกด้วย


หลังจากให้ Rabbit’s Tale ได้แนะนำเกี่ยวกับบริษัทไปแล้ว คราวนี้ก็เป็นทาง thumbsup ได้ถามคำถามเพื่อให้รู้ถึงมุมมองของ Rabbit’s Tale กับสภาวะและสภาพการตลาดของวงการนี้กันบ้าง

ความท้าทายในการสร้าง Rabbit’s Tale ในยุคที่เอเยนซี่รายเล็กๆ กำลังสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กัน

Rabbit’s Tale มองในเรื่องนี้ว่า จะมีการแข่งขันกันสูงขึ้น โดยอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับกระแส เช่น Video marketing ต้องปรับรูปแบบหรือเทคโนโลยีเป็น Short form video marketing (cost-effective, fast, short) ซึ่งมองว่าถ้าเอเยนซี่ไม่ปรับตัวกับการแข่งขันนี้ก็อาจต้องปิดตัวลงก็เป็นได้

ผู้บริโภคยุคนี้ส่งผลกับการทำงานด้านดิจิทัลอย่างไร

Rabbit’s Tale ให้มุมมองในการตอบเป็น 2 มุมมอง ด้านแรกคือ Supplier ซึ่งแยกเป็นกลุ่มแรก entrepreneur คือ retail trader เช่น Office mate หรือบริษัทด้าน Telco ที่ใช้การทำการตลาดดิจิทัลเป็นหลัก ซึ่งจำหน่าย Hardware อย่างตัวโทรศัพท์เป็นหลัก กลุ่มที่สอง คือ Other companies ที่ใช้การทำการตลาดดิจิทัลเป็นส่วนประกอบบังคับ และกลุ่มสุดท้าย คือ SME ที่ตลาดกำลังโต เช่น Srichand เป็นต้น

ส่วนในมุมมองของ Customer เกี่ยวข้องกับ Hardware(wireless, mobile), Software (social media, instant messenger, search engine), Connectivity (informative, suddenly) ที่มีประโยชน์และสามารถเข้าถึงได้ตลอด

มุมมองต่อวงการดิจิทัล และดิจิทัลเอเยนซี่ของไทย

Business barrier ยังต่ำใครก็สามารถเข้ามาทำได้ในธุรกิจดิจิทัลเอเจนซี่ ในมุมมองของ Rabbit’s Tale ไม่คิดว่าบริษัทดังกล่าวเป็นคู่แข่ง แต่จะดำเนินธุรกิจอยู่ในวงการ และทำได้ดีแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทางเอเจนซี่มีความมั่นใจในศักยภาพและพลังของแรงบันดาลใจร่วมกันของพนักงาน ถ้าเปรียบเทียบการอยู่บริษัทเอเจนซี่ใหญ่ก็เหมือนกับขับรถบน Highway คนเดียว ซึ่งขับได้เร็ว ถนนดี ขับง่าย ไปถึงเร็ว แต่ Rabbit’s Tale เหมือนขับรถขึ้นเขา แต่มีเพื่อนร่วมทางคอยกรุยทาง ถางหญ้าไปด้วย บางครั้งทางมีหลุมมีบ่อ ขับยาก แต่เมื่อหันหลังกลับไปจะพบว่าทีมเราอยู่สูงกว่าอีกทาง ทำให้มีพลังและเกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน ผลงานจะออกมาดี และลูกค้าจะรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของ Rabbit’s Tale

อีกมุมมองหนึ่งการที่มีคู่แข่งทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงกลไกตลาด หลังจากทำความรู้จักและเรียนรู้ระบบการทำงานของเอเจนซี่แล้ว ลูกค้าจะสามารถแยกเอเจนซี่ที่ดีกับไม่ดีและตัดสินใจเลือกเอเจนซี่ได้ คนที่ถูกเลือกก็จะประสบความสำเร็จและเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม

มองอนาคตธุรกิจเอเยนซี่ขนาดเล็กและใหญ่ไว้อย่างไร คิดว่าจะเกิดการควบรวมกันหรือแตกบริษัทที่น่าสนใจหรือไม่

มุมมองแรกมีแนวโน้มขยายธุรกิจหรือ Upsizing เพื่อแข่งกับตลาดหลัก ประสบความสำเร็จและเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม

ในทางตรงกันข้าม มุมมองที่สองมีแนวโน้มที่จะ Downsizing เช่น Boutique agencies ที่มีความคล่องตัวในการบริหารหรือควบรวมกิจการ (Acquire) ขึ้นอยู่ว่าอยู่ในอุตสาหกรรมไหน เช่น IT, Telecommunication จึงมองว่า Local digital agencies มีทางเลือกมากกว่า agencies ข้ามชาติ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ (Feasibility) ที่จะถูก Acquire โดยธุรกิจที่ใหญ่กว่า หรือเอเจนซี่ที่ใหญ่กว่า ทั้งในธุรกิจ Advertising agencies เหมือนกันหรือข้ามธุรกิจ แต่ข้อดีของ Agency ข้ามชาติ เช่น Club agencies ที่มีชื่อเลียง มีองความรู้ มี Headquarter ดูแล และมีความสามารถในการ Recruit พนักงานที่มีคุณภาพ

มองสถานการณ์ธุรกิจ in-house advertising agency ในประเทศไทยอย่างไร

เป็นสิ่งที่บอกให้พนักงานตระหนัก และหา Value added, Third eye หรือ Specialized ให้ผลิตภัณฑ์ เช่น marketing consultant, create production, new way of approach, วาง platform ให้ลูกค้า access ได้โดยตรงเหมือน Google แล้วลูกค้าจะเป็นคนเลือกเอง

7 เดือนที่เหลือในปี 2559Rabbit’s Tale จะเป็นอย่างไร

Rabbit’s Tale อยู่ในช่วงหลังฝุ่นตลบผ่านคู่แข่งขันมามากมาย และจะพัฒนาตัวเองให้ specialized มากขึ้น และกลายเป็น Digital trustable partner ให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นที่จะได้มาร่วมงานกันกับเรา

 
Source: thumbsup

The post เปิดบ้าน Rabbit’s Tale คุยกับ 4 ผู้บริหารและแนวทางการสร้างดิจิทัลเอเยนซี่ที่น่าจับตาที่สุด ณ เวลานี้ appeared first on thumbsup.

คู่มือสำหรับนักการตลาดออนไลน์โดย Facebook – Cross-Border Business Handbook ประจำปี 2016

$
0
0

Cross-Border-Business-Handbook

หลายบริษัทต้องทำแผนการตลาดโปรโมตสินค้าและบริการในต่างประเทศ และ Facebook ก็เป็นสื่อช่องทางหนึ่งที่สำคัญที่ทางนักการตลาดสามารถนำมาใช้ได้ เพราะสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และความสนใจได้ตามความต้องการ ล่าสุด Facebook แจกเอกสารประจำปีที่ประกอบด้วยข้อมูลต่างๆ สำคัญๆ ในการทำการตลาดบน Facebook ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละประเทศ ไปดูรายละเอียดกันเลยดีกว่า


เอกสารคู่มือชุดนี้ประกอบด้วย

  • Insights : การรู้ Insights ของแต่ละประเทศ ว่ามีพฤติกรรมการใช้งานบน Facebook เป็นอย่างไร ก่อนจะทำการวางแผนกลยทธ์ได้อย่างถูกต้อง โดยมีข้อมูลของประเทศที่ใช้งาน Facebook เป็นหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล แคนนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อังกฤษ และสหรัฐฯThailand
  • Checklist: เป็นเสมือนตัวตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่าคุณจะไม่พลาดจุดใดไป ตั้งแต่การเลือกใช้เครื่องมือ, ทดสอบ creative content ของคุณที่แตกต่างและปรับแต่งให้เข้ากับแต่ละประเทศ ไปจนถึงทำความเข้าใจพฤติกรรมของแต่ละประเทศก่อนเปิดตัวแคมเปญแล้วหรือยัง
  • Targeting: รูปแบบการวางกลุ่มเป้าหมาย audience ลองมาทบทวนกันอีกครั้ง ว่าเรานำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้อย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง รวมถึงการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของเราเช่น Lookalike
  • How people see ads : สรุปข้อมูลรูปแบบการเห็นโฆษณา และแนะนำว่าเหมาะกับการใช้งานประเภทไหน อัพเดตล่าสุด พร้อมทิป เทคนิคการลงโฆษณาในแต่ละแบบอีกด้วยนะคะ เช่น Video Ads, Photo Ads, Lead Ads, Carousel Ads, Canvas, Slideshow เป็นต้นตัวอย่าง Slideshow Ads
    Screen Shot 2559-05-30 at 12.11.37 AM
  • ตารางสรุปขนาดของโฆษณา ขนาดไฟล์ และ spec ของไฟล์ ทั้งบน Facebook และ Instagram! ไว้ในตารางเดียวกัน เป็น one-page-summary ที่ดูทีเดียวแล้วเห็นภาพทั้งหมดScreen Shot 2559-05-30 at 12.11.45 AM
  • Case Study : ทฤษฎีเท่านั้นยังไม่พอ ต้องปิดท้ายด้วยกรณีศึกษา ในเอกสารชุดนี้มีกรณีศึกษาการลงโฆษณาบน Facebook อันประกอบด้วย ธุรกิจสายสินค้าอุปโภคบริโภค, เกม, ยานยนต์, ท่องเที่ยว, บันเทิง, อีคอมเมิร์ซ

Screen Shot 2559-05-30 at 12.12.12 AM

พร้อมแล้วดาวน์โหลดไฟล์ได้ที่ลิงค์นี้

ขอขอบคุณการแบ่งปันข้อมูลดีๆ จาก Facebook Marketing Partner บริษัท Computerlogy

เพิ่มเพื่อนเพิ่ม @thumbsupth เป็นเพื่อนผ่าน LINE@ ได้ที่นี่

 
Source: thumbsup

The post คู่มือสำหรับนักการตลาดออนไลน์โดย Facebook – Cross-Border Business Handbook ประจำปี 2016 appeared first on thumbsup.


ชวนเที่ยวงาน E-Biz Expo 2016 งานนิทรรศการและสัมมนาธุรกิจดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของไทย

$
0
0

ebiz

ธุรกิจดิจิทัล หรือ E-Business ในบ้านเราเรียกได้ว่ามีความคึกคักเป็นอย่างมากจากความพร้อมของระบบนิเวศน์ของทั้งตัวเจ้าของกิจการที่หันมาสนใจและมีความเข้าใจในเรื่องนี้ พร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนไปของเทคโนโลยีและเพื่อตอบสนองให้กับผู้บริโภคที่เข้าถึงออนไลน์มากขึ้นในยุคนี้ที่ใครก็เข้าถึงได้

งานสัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจดิจิทัลถูกจัดขึ้นมาอย่างมากมาย แต่สิ่งที่เราเห็นก็จะพบว่าเป็นการสัมมนาแยกหัวข้อ อยากจะเข้าร่วมก็ต้องเลือกเข้าร่วมเป็นรายครั้ง แล้วจะดีกว่าไหมหากว่ามีงานที่รวมการสัมมนาด้านธุรกิจออนไลน์ที่ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของไทยจัดขึ้น ซึ่ง e-Biz Expo 2016 คืองานที่เราพูดถึงและจะมาแนะนำกันครับ

e-Biz Expo 2016 สุดยอดงานนิทรรศการและสัมมนาทางด้านธุรกิจออนไลน์อย่างครบวงจรครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ครอบคลุมธุรกิจดิจิทัลรอบด้าน โดยจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ภายใต้ธีม Digital in your Hand : Gateway To ASEAN e-Commerce & Digital Business

งานนี้มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่

  • Exhibition งานแสดงนิทรรศการด้านธุรกิจดิจิทัลที่มีทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น e-Commerce, e-Logistic, e-Payment, การทำการตลาดดิจิทัล และการทำ e-commerce ระหว่างประเทศ ภายใต้พื้นที่จัดงานกว่า 5,000 ตารางเมตร
  • International Conference งานสัมมนาที่รวมเหล่า Speaker ที่อยู่ในวงการ e-Business ไม่ว่าจะเป็น e-Commerce, e-Logistic, e-Payment และ การตลาดดิจิทัลทั้งจากในไทยและในระดับเอเชีย โดยจากรายชื่อด้านล่างเป็นชื่อธุรกิจที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี และถือเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะมารวมตัวกันได้ในงานเดียว แต่ใน e-Biz Expo 2016 สามารถนำมาให้ผู้ที่สนใจได้ฟังแนวความคิด, แนวโน้ม และทิศทางของธุรกิจดิจิทัลจากผู้ที่เชี่ยวชาญได้ในงานเดียว อาทิเช่น Kerry Express, Ascend Group, Alibaba, TARAD.com, LINE, Facebook, Google, Ready Planet, Amazon, Central Online, Zalora เป็นต้น

ebiz1

เราขอหยิบหัวข้อที่น่าสนใจที่เหล่า Speaker จะขึ้นมาพูดในงานมานำเสนอดังนี้

  • ผ่าเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทยปี 2016 ทำอย่างไรให้ธุรกิจเปรี้ยง โดย คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ หลังขายหุ้น แห่ง com
  • e-Logistic หัวใจหลักอีคอมเมิร์ซ ส่งสินค้าฉับไว ปลอดภัย ชนะใจลูกค้า โดย Alex Ng นายใหญ่ Kerry Express (Thailand)
  • ระบบ e-Payment กับอนาคต e-Commerce ไทย โดยคุณปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา แห่ง True Money และ เครือ Ascend
  • สร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าคนพิเศษผ่านแชทแอพพลิเคชั่น โดยคุณอริยะ พนมยงค์ แห่ง LINE Thailand
  • เจาะลึกโซเชียลมีเดียยุคทองของการค้าบนโลกออนไลน์ โดยคุณ รฐิยา อิสระชัยกุล จาก Facebook
  • โอกาสของ SMEs ไทยกับในยุคดิจิตอลด้วย e-Marketplace ระดับโลก โดย Jerry Wu Zhe – Director Alibaba.com Thailand Market

และยังมีอีกมากกว่า 20 sessions ให้ฟัง

นอกจาก 2 ส่วนหลักแล้ว ภายในงานยังมี Business Matching Program ที่เปิดโอกาสให้หาคู่ค้าเพื่อทำธุรกิจ, การแจกรางวัล Best e-Commerce Website Award และ Digital Workshop ให้เลือกดูและชมกันอย่างใกล้ชิด

จากที่เราพูดกันมา เราจะเห็นว่า E-Biz Expo 2016 งานนี้สามารถรวมทุกสิ่งอย่างทางด้านธุรกิจดิจิทัลที่ครบเครื่องและรอบด้านที่สุดจริงๆ ในเวลานี้

ebiz

e-Biz Expo 2016 จัด 3 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 11 มิถุนายน 2559 ที่ Plenary Hall 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เดินทางมาร่วมงานได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า MRT

มาถึงเรื่องสำคัญคือเรื่องราคาบัตร งานนี้มีบัตรราคา 3,500 บาท สามารถใช้เข้างานได้ตลอดทั้ง 3 วัน ซึ่งถ้าเทียบกับ Content ของงานแล้ว ราคานี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ ลำพัง Session เดียวหากไปฟังที่อื่นก็หลายพันบาทแล้ว แต่คุณสามารถฟังได้มากกว่าตามที่คุณต้องการ

ผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรเข้าร่วมงานได้ที่ ZipEvent http://www.zipeventapp.com/e/e-Biz-Expo-2016 รวมถึงสามารถติดตามรายละเอียดและตารางการสัมมนาได้ที่ http://www.e-bizexpo.com/

พิเศษสำหรับ แฟนๆ Thumpsup รับส่วนลด 50% ผ่าน Code: EBIZTHUMBSUP ภายในวันที่ 6 มิ.ย. 2559 นี้
และทุกที่นั่ง มีสิทธิรับ iPhone SE ฟรี

โอกาสที่จะได้เข้าร่วมงานที่รวบรวมทุกอย่างในที่เดียวไม่ใช่เรื่องง่าย รีบจับจองบัตรแล้วไปพบกันที่งาน E-Biz Expo 2016 กันครับ

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post ชวนเที่ยวงาน E-Biz Expo 2016 งานนิทรรศการและสัมมนาธุรกิจดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของไทย appeared first on thumbsup.

เปิดบ้าน Starcom Mediavest Group มีเดียเอเยนซี่ภายใต้เครือยักษ์ใหญ่แห่ง Publicis

$
0
0


IMG_1081

จากที่เราได้สัมภาษณ์เอเยนซี่หลายบริษัทในทุกเดือนที่ผ่านมา มาคราวนี้ถึงคราวกลุ่ม Publicis หนึ่งในกลุ่มเอเยนซี่ Top 5 ของโลกกันบ้าง เราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้บริหารหญิงคนเก่งและน่ารักอย่างคุณพัชรี เพิ่มวงศ์อัศวะ​ (ปุ้ย) Digital Group Head แห่ง Starcom Mediavest ไปพูดคุยกับเธอกันเลยดีกว่า

เปิดบ้าน Starcom Mediavest กันหน่อย? ในอาณาจักรแห่งนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง

Starcom + Mediavest เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มธุรกิจเอเยนซี่ใหญ่ Publicis Groupe ซึ่งในนี้ก็ยังมีบริษัทมีเดียอื่นๆ ในเครืออย่าง ZenithOptimedia และบริษัทครีเอทีฟในเครือเช่น LeoBurnett, Saatchi&Saatchi, Publicis etc.

โดยที่ผ่านมาเราก็มีผลงานที่โดดเด่นเช่น ได้รางวัล Agency of The Year จาก Campaign Asia Magazine และรางวัลจากการประกวดผลงานโฆษณา ทั้งในและนอกประเทศ  นอกจากนี้ RECMA ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยที่จัดอันดับ Media Agency ด้าน BIlling & Ranking  เราก็อยู่ใน Top 4  และที่สำคัญ SMG ได้คะแนนสูงสุดในแง่ Qualitative Evaluation ของมีเดียเอเยนซี่ในตลาดไทย

โดยกลุ่มของเรา อยู่ในไทยมาเกือบ 20 ปีแล้วค่ะ มีพนักงานที่ได้รับการเทรนด์และมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี อย่างบุคลากรกว่า 80% ที่นี่ได้รับ Google Certified, Facebook Blueprint และ Twitter Flight School

ปัจจุบันเรามีโซลูชั่นด้านดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบตัวอย่างเช่น

  1. Starcom Mediavest จะดูเรื่องมีเดีย วิจัย การค้นหา insight วางกลยุทธ์ต่างๆ ให้กับลูกค้า
  2. LiquidThread มีความเชี่ยวชาญด้าน Online & Offline Content
  3. SMG Social มีความเชี่ยวชาญด้าน Community Management และ Social Influencer
  4. Performics จะเชี่ยวชาญด้าน Biddable Media หรือ Performance Media ต่างๆ
  5. เรามีเทคโนโลยีแพลต์ฟอร์มต่างๆ ได้แก่
    1. Programmatic Buy อย่าง Audience On Demand
    2. Performance Media วัดผลโดย Discoverability Index
    3. Social Tools ซึ่งเป็น tools ของเราเองเพื่อวัด engagement ของ Social Media Platform
    4. Data&Analytics

ปีนี้ทุกอย่างไปเร็วมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเราคือต้องทันกับพวกเทคโนโลยี อย่างตอนนี้จะมีเครื่องมือต่างๆ มากมายที่ทางบริษัทที่เมืองนอกส่งมาให้เริ่มใช้ อย่างที่เริ่มไปแล้วเช่น BenchTools, Content@Scale และ Audience On Demand ที่เป็น Programmatic Buy เนื่องจากตอนนี้ในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญ ทุกเจ้าจะมีแพลตฟอร์มเป็นของตนเอง ใครที่เริ่มก่อนหรือทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดทำให้แม่นยำถูกต้องได้มากกว่าและมีบุคลากรที่ใช้เครื่องมือที่เพื่อวิเคราะห์ได้แม่นยำกว่าก็จะได้เปรียบ ซึ่งของเราจะมีเครื่องมือจากทาง Global support ที่เข็มแข็งมาก อย่าง Multi-screen/ Neutral Screen Rating เราพัฒนา Tools ของเราในแต่ละประเทศเพื่อทำการวัดผลร่วมกันกับ Facebook ทำให้เราสามารถวัดผลแบบ cross screen ระหว่าง TV กับ Online ได้เป็นรายแรกๆและ ยังมีการทำงานกับบุคคลภายนอกโดยร่วมมือกันแบบพันธมิตรเป็น Exclusive Tool กับเรา เช่น Content @Scale ก็เป็นพันธมิตรเกี่ยวกับการใช้ Tools เพื่อกระจาย Content แบบ Real-time แบบ Exclusive สำหรับเครื่องมือปกติทั่วไปอย่างเช่น Double click, Sizmek แบบนั้นก็ยังคงมีใช้อยู่ แต่เราจะเพิ่มเติมการใช้ด้วย Programmatic ของเราเองเพื่อให้การวิเคราะห์สามารถนำ dataมาใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด

ในช่วงที่การแข่งขันของมีเดียเอเยนซี่ค่อนข้างสูง ถ้าให้พูดถึง Starcom Mediavest คุณคิดว่าอะไรคือจุดเด่น?

เราได้มีการกำหนดแผน PLAYBOOK 2017 หรือยุทธศาสตร 2017 ที่ให้ความสำคัญในด้าน Precision Marketing , Content And Innovation Catalyst  ซึ่งทำให้เรามี focus ที่ชัดเจนในการทำงาน

ทาง Starcom Mediavest เองเป็น Global Network Agency ที่มีครบทางด้าน Innovation และ Technology Tools ต่างๆที่มาจาก Global Support ซึ่ง Tools เหล่านี้ต้องผ่านการ Verify มาหลายขั้นตอนว่าเป็น Tools ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดและมีการวัดผลที่แม่นยำจริง จึงทำให้การวางแผนสื่อของเราจะมี Tools ที่มาช่วยให้เราสามารถเข้าใจ Consumer Insight ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เพราะเทรนด์ของผู้บริโภคตอนนี้เปลี่ยนรวดเร็วมาก การเข้าใจ Insight และการใช้ Tools เพื่อวางแผนสื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคจึงเป็นจุดแข็งของเรา 

แต่การใช้ Tools เองก็ป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเพราะทีมงานของเราเองต้องเข้าใจถึงเทรนด์ที่เกิดขึ้นจริงควบคู่ไปกับการ Analyze Data เราเลยมี Specialist ในด้านต่างๆแบบครบวงจร และมีทีม Communication ทีทำงานร่วมกับแผนกต่างๆเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด และเนื่องจากเรามีบริษัทในเครือที่เป็น Creative Agency อย่าง LeoBurnett หรือ Publicis และ Saatchi&Saatchi ทำให้การเสนอแผนงานต่างๆสามารถเสนอไปแบบครบตั้งแต่การคิด Creative Idea และการวางสื่อที่สร้าง Engagement ตรงกลุ่มเป้าหมาย หรือการ Optimize Media ให้เกิด Conversion ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

เทรนด์เรื่องการวิเคราะห์ Data มาแรง มองในส่วนนี้ว่าอย่างไร

ตอนนี้ทุก agency เองจะต้องเปลี่ยนจากการวางแผนโดยใช้แค่ข้อมูลจาก Publisher แต่ต้องวิเคราะห์ journey ให้ครบ loop ว่าจาก Publisher ต่างๆแล้วเกิด Result หรือ Action อะไรกับ Advertiser บ้าง ซึ่งในส่วนนี้เราก็มี Performance Specialize ที่มี Skill ในส่วนของ Performance และ Data analytic  โดยในส่วนของการเริ่มต้นทำ Data analytic เราจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบของลูกค้าเพื่อจะได้ทำการวิเคราะห์ และ เก็บข้อมูลได้ตรงกับสิ่งที่จะสะท้อนออกมาเป็น KPI และ Data ที่เราทำการจัดเก็บแบบ Customize ให้กับลูกค้าแต่ละราย จะได้ให้สามารถได้ Data ที่เราจะสามารถเก็บไว้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการวางสื่อให้กับลูกค้าได้ โดยที่ไม่ได้ใช้แค่ Data ที่กระจัดกระจายในแต่ละ Publisher แต่เป็นการวิเคราะห์ Data แบบเป็น Unique Data มากขึ้น

 

มีอะไรที่กำลังมาแรงอีก

  • สงคราม content : YT vs FB.. ทำให้ content เยอะมากมายไปหมด  เราต้องจัดระเบียบและหาวิธีเช็คว่า Content ไหนที่จะนำมาใช้กับ Brand   ผู้บริโภคจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะบอกถึงความต้องการของ Content ว่าจะโดนเขาหรือไม่
  • เรื่องของ Video neutral เรื่องของ Multi-screen เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ปีที่แล้วและเริ่มใช้จริงกันแล้วในปีนี้ เรื่องของการทำ Reach ในส่วน ของ TVC ตอนนี้ก็ต้องทำเป็นแบบ Multi-screen  ซึ่งเราก็จะเห็นจาก YouTube ก็จะมี YouTube+ หรือ Facebook ก็จะมี Facebook TRP (Target Rating Point) มาคิดประเมินรวมกัน เพราะฉะนั้นเวลาวางแผนก็จะไม่ได้วางแผนแยกระหว่าง TV กับ ออนไลน์แล้วแต่จะวางแผนแบบ Multi-screen แต่ Creative ที่จะพูดอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเดียวกัน Youtube เองก็ออก Bumper Ad 6 วินาทีเพื่อแก้ปัญหาการสร้างความเบื่อหน่ายเวลาที่ Ad ไปรบกวนเวลาของ User ในขณะที่ต้องการจะดู VDO อย่างอื่นใน Online ทำให้เราสามารถที่จะสร้าง Reach โดยไม่ Annoy user ได้มากขึ้น
  • อีกส่วนคือ VR อย่าง Virtual Reality อย่างที่ซัมซุงที่ออกในส่วนของ Galaxy S7 ก็มีพาร์ทเนอร์กับ Facebook มีการเชิญ Mark Zuckerberg มาในงานเปิดตัวและมีเทคโนโลยีรองรับและใช้งานง่าย กว่า google glass ที่ตอนนั้นคนใช้ยังไม่เยอะมาก แต่ปีนี้ technology นี้น่าจะมีการใช้กันมากขึ้น
  • Influencer เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกบริษัทต้องใช้ แต่ต้องไม่หลอกลวงผู้บริโภค ถ้าขายของต้องบอกเลยว่าขายจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าแกล้งเนียนลองเข้าไปให้ผู้บริโภคคิดเองว่าอันนี้ขายหรือหลอกเขาหรือเปล่า และการใช้ Influencer หรือการทำสื่อ Social จะกลายเป็น official มากขึ้นโดยถ้าจะทำแคมเปญกับ Pantip ก็จะทำแบบ Official Sponsor ไปเลย เนื่องจากการทำการตลาดแบบ seeding ก็จะไม่คุ้มกับแบรนด์อยู่แล้วดังนั้นเราจึงไม่แนะนำการทำการตลาดแบบที่ได้แค่จำนวน view หรือ จำนวน visitor  แต่เราจะต้องทำการตลาดแบบศึกษาจากพฤติกรรมผู้บริโภคในขณะนั้น หรือ trend ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเพื่อสร้าง engagement มากกว่า

มีแพลตฟอร์มไหนทิ่คิดว่าน่าสนใจและต้องจับตาเป็นพิเศษไหม

Platform ปกติที่มีคนใช้กันเยอะอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น Social ผ่าน Facebook / VDO ผ่าน Youtube หรือ Google Search คือสิ่งที่เราต้องทำกันปกติอยู่แล้ว แต่ Platform ใหม่ๆ อย่างเช่น LINE ไม่ว่าจะเป็น LINE TV หรือ Series content ที่ลองเล่นกับ LINE เรามองว่าจริงๆ น่าสนใจแต่อาจจะยังเน้นหนักไปที่กลุ่มวัยรุ่น Line Man หรือ Line Gift คืออีกส่วนที่เราสามารถจะเข้าถึง Consumer ได้แบบสามารถให้เค้าลอง Sampling ของเราได้เลย อีกอย่างคือ Sticker LINE ที่เราอาจจะไม่ได้มองเห็น KPI ของยอดขายอย่างชัดเจน แต่มันก็เป็น social media ตัวหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ของเราไปอยู่ในการสนทนาบนไลน์เวลาเขาส่งหากันอยู่แล้วมันก็จะเป็นการย้ำในแบรนด์ จริงๆ แล้วเรารู้กันอยู่ว่าการทำ LINE official บนไลน์ถึงแม้อัตราของการ Block จากลูกค้าจะสูง แต่ก็ยังเหลืออีกกลุ่มที่ยังเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่สนใจอยู่ดีและด้วยระบบที่เราสามารถทำ Audience Profiling ด้วย Business Connect ก็ทำให้เนื้อหาที่จะส่งไปเข้าถึงกลุ่ม Audience ที่สนใจในแต่ละเนื้อหาแบบ Customize ได้มากขึ้น

การทำ Audience Data Tracking ต่างๆจะทำกันมากขึ้นโดยไม่ได้แยกแต่ละ Platform แต่จะทำกันแบบ Across Platform มากขึ้นดังนั้นไม่ว่าจะ Platform ไหนที่สร้าง Conversion จริงเราจะสามารถรู้ได้ด้วยการใช้ Technolgy เพื่อ Track ตั้งแต่จาก Platform ต่างๆจนถึง Action ต่างๆที่เกิดขึ้นบน website

Starcom Mediavest ช่วยดูเรื่องคอนเท็นท์ที่โปรโมทผ่านไลน์ด้วยหรือไม่

ทีม Liquid Thread ที่เป็น Specialist ด้าน Content ของเราจะมีการทำงานร่วมกับ Line หรือ Content Provider อื่นๆ เพื่อทำ Content tie-in ใน series ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Free TV , Cable TV หรือแม้กระทั่งทำเป็น series พิเศษสำหรับลูกค้าเฉพาะรายเป็นทั้ง series ที่ออกอากาศทางทีวีหรือ series ที่เป็น Online VDO

 

คุณลักษณะของตำแหน่งงานในสายดิจิทัลของ Starcom

ตอนนี้แบ่งลักษณะออกเป็น ส่วนไม่ได้มองว่ารับแยกออนไลน์กับออฟไลน์แล้ว ในส่วนแรก Planner เองก็จะเป็น Hybrid planner มากขึ้นเพื่อจะสามารถแนะนำลูกค้าแบบครบวงจร 360 องศาจริงๆ ไม่ใช่แยกแพลนระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์อีกต่อไป ในส่วนที่สองทางฝั่งดิจิทัลเอง ก็จะต้องเพิ่มความเป็นเป็น Specialize skill มากขึ้นโดยลักษณะคนที่เราดูแลในแต่ละ function นั้น คนนึงคือต้องรู้ทั้งหมด แต่มีความสามารถ Specialize skill ในแต่ละส่วนที่แตกต่างกันออกไป คนทำงานที่นี่จึงไม่ได้ทำงานแยกฝ่ายกันแต่ต้องทำงานร่วมกันทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรู้ในทุกส่วนเพื่อจะเข้าใจการทำงานแบบ full process แบบ Horizontal แต่ทุกคนจะมีความ Specialize ในหน้าที่ของตัวเองแบบ Vertical เพื่อนำมาใช้กับการวางแผนงานให้กับลูกค้า และดำเนินการโดยรู้ว่าควรจะปรับเปลี่ยนยังไงให้เข้ากับผลที่เกิดขึ้นจริงเพราะแผนงานที่วางไว้กับผลที่เกิดขึ้นอาจมีปัจจัยอื่นๆหลายๆอย่างที่ทีมงานต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา และนั่นเป็นเสน่ห์ของสื่อดิจิทัลที่ทำให้ลูกค้าหลายๆเลือกที่จะใช้สื่อดิจิทัลเป็นสื่อหลัก หรือเป็นสื่อที่ต้องมีตลอดเวลาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยแต่ละ Digital touchpoint ในชีวิตประจำวัน

คำแนะนำสำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่อยากทำงานกับเอเยนซี่

คนรุ่นใหม่เขามักมองว่าอยากทำงานที่เป็นอิสระ ซึ่ง Agency ของเราเองอยากที่บอกเราไม่ต้องการคนที่ทำงานเป็นกิจวัตรซ้ำๆ โดยหน่วยงานของเราค่อนข้างยืดหยุ่นในเรื่องนี้ หรือหากใครที่ทำงานอยู่แผนกนี้แต่เขาเหมาะกับอีกแผนกนึงมากกว่าก็สามารถโยกย้ายได้ เพราะอย่างที่บอกว่าเรามี Specialist  skill รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดด้านไหนค่อยไปมุ่งในด้านนั้น อย่างในตอนนี้เริ่มมีบางมหาวิทยาลัยนำเรื่องดิจิทัลเพิ่มเข้าไปให้เรียน ดังนั้นในอนาคตจริงๆ ทุกคนในวงการจะต้องมีพื้นฐาน Digital ที่เพิ่มเข้ามาซึ่งเด็กรุ่นใหม่นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องรู้เรื่องเทคโนโลยีกันอยู่แล้ว ส่วนแผนก Digital ก็จะเชี่ยวชาญ Specialize เป็นแต่ละส่วนเพื่อทำการ implement และ optimize งานให้มีประสิทธิภาพที่สุด ก็อยากให้ทุกคนลองเข้ามาก่อนแล้วค่อยมาค้นหาตัวเองเพราะเราไม่กำหนดว่าเมื่อคุณเข้ามาแล้วคุณต้องทำแผนกนั้นไปตลอด และอีกสิ่งที่โดดเด่นของที่นี้คือเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรเนื่องจากเราจะอยู่กันแบบพี่น้องครอบครัว ทำงานแบบช่วยเหลือกันจึงทำให้การทำงานมีความสนุกสนานมากเพราะเราจะทำงานเป็นทีมงานไม่ใช่แค่เป็นทีมงานในองค์กร แต่จะเป็นทีมงานหรือเป็น partner กับลูกค้าด้วยเช่นเดียวกัน

 

 
Source: thumbsup

The post เปิดบ้าน Starcom Mediavest Group มีเดียเอเยนซี่ภายใต้เครือยักษ์ใหญ่แห่ง Publicis appeared first on thumbsup.

ข้อสรุปเกี่ยวกับคำถามที่ว่า “จริงหรือไม่ที่คนสมัยนี้สมาธิสั้น จึงควรจะทำ Content ให้สั้นเข้าไว้?”

$
0
0

goldenfish

เมื่อปลายเดือนก่อน ผมลองตั้งคำถามไว้ว่า “จริงหรือไม่ที่คนสมัยนี้สมาธิสั้น จึงควรจะทำ Content ให้สั้นเข้าไว้?” ปรากฏว่ามีเพื่อนๆ thumbsupers ให้ความสนใจราวๆ 20 ท่าน ได้มาพูดคุยกัน เพื่อหาข้อสรุปกัน ผมจึงขอเอามาใส่ไว้ในที่นี้เพื่อเป็นการตอบคำถามที่เคย Crowdsource ออกไปนะครับ [สรุปสั้นๆ ได้ว่า ที่จริงแล้ว ความยาว และความสั้น เป็นเพียงตัวแปรหนึ่งในการดึงความสนใจเท่านั้น แต่ทุกคนมีความเห็นและตรรกะที่น่าสนใจหลายอย่างเลยครับ เช่น ตัวผู้พูด Content นั้น, และคุณภาพของ Content นั้นๆ ด้วย]

ทวนของเก่า: ผมเคยคิดและเชื่อว่า คนเราสมัยนี้สมาธิสั้นลง เพราะพวก smartphone ทำให้เรามีพฤติกรรมการเสพ Content แบบ Scan บวกกับฝรั่งเขาวิจัยและบอกมาว่าคนเรายุคนี้สนใจกับอะไรได้แค่ 8 วินาที หรือจะเปรียบให้เห็นภาพคือ สั้นพอๆ กับปลาทอง ดังนั้นเรานักการตลาดและนักประชาสัมพันธ์ทุกคนจึงควรฉกฉวยความสนใจของคนดูหรือผู้บริโภคให้ได้ภายใน 8 วินาที ว่าแต่มันจริงหรือ?

มานั่งคิดสะระตะแล้ว แต่ผมมีข้อถกเถียงในใจอย่างหนึ่งว่า เหตุผลที่คนที่เขาไม่สนใจ และให้เวลาเราแค่ 8 วินาที เป็นเพราะ Content เรามันห่วย และไม่ต่างอะไรกับ Brand Spam หรือเปล่า? ผมเคยเจอเด็กมาสมัครงาน ผมถามเล่นๆ ว่า ทำ Content แบบไหนคนบน Social ถึงจะชอบ น้องตอบผมมาว่าทำภาพสวยๆ 1 รูปแล้วมีคำประกอบสั้นๆ พอ คนจะมีปฎิสัมพันธ์มากขึ้น

ผมถามกลับไปว่าแล้วทำไมเรานั่งดูรายการวู้ดดี้ได้ยาว? เรานั่งดูละครหลังข่าว หนัง Civil War ได้เป็นชั่วโมง ดังนั้นมันก็พิสูจน์ได้แล้วสิว่าคนเรามีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้นานอยู่ หาก Content นั้นมันดีจริง น้องคนนั้นตอบต่อไม่ได้ และผมเองก็ไม่แน่ใจ อยากรู้ความคิดเห็นของพวกเราครับว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยว่าในวันที่คนสมาธิสั้น เราจึงควรจะทำ Content ให้สั้นลง หรือไม่? เพราะอะไร?

นี่คือความคิดเห็นของเพื่อนๆ thumbsupers ครับ ขออนุญาตปรับคำให้เข้าใจง่าย และสะกดถูกต้อง พร้อมระบุชื่อเจ้าของความเห็นไว้นะครับ ผมแบ่งเป็น 3 กลุ่มนะครับ กลุ่มที่ 1 วิเคราะห์เจาะลึก และให้ความเห็นว่าแล้วแต่ปัจจัย กลุ่มที่ 2 มองว่าแล้วแต่ความเหมาะสมในบริบทนั้นๆ กลุ่มที่ 3 เห็นด้วยว่าต้องสั้น และให้เหตุผลประกอบ

กลุ่มที่ 1 วิเคราะห์เจาะลึก และให้ความเห็นว่าแล้วแต่ปัจจัย

Geng Sittipong Sirimaskasem “ผมคิดว่าหัวใจอยู่ที่ 3 อย่างครับ.. คือ

1. การ Get Attention ตัวนี้จะเป็นการพาดหัวด้วยข้อความที่น่าสนใจหรือรูปที่ดึงดูดนี่แล้วแต่ ซึ่งตัวนี้ผมว่า user ให้เวลาแค่ 8 วินาที อย่างที่คุณว่า

2. Content ทีนี้ถ้าคนสนใจแล้วก็จะมาอ่าน content กัน ผมชอบที่คุณถามน้องคนนั้นว่า “ทำไมเราดู Civil War ได้ยาวๆ?” ถ้าเปรียบเทียบกัน trailer หนังก็เหมือนพาดหัวให้ได้ Attention พอคนสนใจถึงยอมเดินเข้ามาดูอีก 2 ชม. ทีนี้ไอ้ 2 ชม. นี้มันก็ต้องมีลูกเล่นอีก.. จะเสนอให้ตื่นเต้นตลอดเรื่องก็จะเหนื่อยไป จะเนิบนานไปคนก็อาจจะเดินออก.. ไม่ต่างจากการเขียน Content ดังนั้นหนัง/ Content จะยาวจะสั้นไม่สำคัญแล้วครับ แต่สำคัญว่าเราดึงเค้าให้อยู่กับเราได้นานขนาดไหน .. หนังบางเรื่อง 3ชม. Content บางตัวยาวมาก ก็ยังดูยังอ่านเลย

3. สุดท้ายคือ Branding /Credit ของเจ้าของ Content เอาเข้าจริงๆ ตัวนี้สำคัญมาก ขึ้นชื่อมาว่าเป็น Captain America อาจจะไม่ต้องดู Trailer คนก็เข้าโรงแล้ว.. หรืออย่าง HBR ที่นำเสนอเนื้อหามีสาระน่าเชื่อถือ บางทีหัวข้อไม่ตื่นเต้นมาก หลายคนก็ยังจะอ่านยาวๆ ได้ทุกวัน”

Kung Poolpokar “ออนไลน์มีค่าสถิติบ่งบอกความสนใจเพื่อนำมาช่วยวิเคราะห์ได้มากกว่าโลกยุคออฟไลน์ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนเราจะเลือกเสพสิ่งที่ตนเองสนใจ และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราสนใจอย่างแท้จริงได้มากกว่า นานกว่าเรื่องอื่น เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในแต่ละช่วงเวลา ในขณะที่น้องคนนั้นตอบน่าจะเป็นเรื่องของการทำให้เกิดแอคชั่นตามพฤติกรรมคนส่วนใหญ่ที่รับสื่อออนไลน์ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ การทำ Content ทางโซเชี่ยล ทุกวันนี้ จึงมีการวัดผลทดสอบได้ก่อนดันด้วยโฆษณา ปกติก็ทำกันแบบนี้อยู่แล้วนี่คะ สำหรับมืออาชีพ และถ้าเป็น Content บนเว็บ ก็มี Analytics ช่วยวิเคราะห์ไง สมองปลาทอง หมายถึง การจดจำ ไม่ใช่การรับรู้นี่คะ”

Jirapa Vorasinkul “ปัจจัยของ Content ที่สามารถดึงให้เราอ่านได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยาวหรือความสั้นของ content ซะทีเดียวค่ะ (อันนั้นเป็นผลพลอยได้ หากสั้นแล้วให้อะไรกับเราก็ถือว่าดีไป) แต่สิ่งที่ดึงให้เราให้เวลากับ content นั้นๆ ได้เกิน 8 วินาที หรือ ได้ภายใน 8 วินาทีแรก… น่าจะเป็น

1. Content นั้นถูกพูดโดยใคร? – การที่คนนั่งดูรายการวู้ดดี้ได้ยาว อาจเพราะคนรู้ว่า Content ที่วู้ดดี้พูด จะให้ความชัดเจน ขุดคุ้ย รู้ลึกเรื่องคนในวงการบันเทิงกลับมา ดังนั้นต่อให้ไม่ว่าวู้ดดี้จะพูด Content อะไร ยาวแค่ไหน คนที่ชอบก็ยินดีจะเสพย์ ในขณะเดียวกันถ้า Content นี้ถูกพูดโดยคนอื่น อาจจะไม่มีน้ำหนักที่ทำให้คนสนใจและไถผ่านไป หรือแม้กระทั่งโพสต์นี้หากไม่ใช่ thumbsup ถาม เราก็คงไม่อ่าน หรืออ่านไปก็อาจไม่เข้ามาตอบ ดังนั้นปัจจัยที่ว่า Content ถูกพูดโดยใคร จึงเป็นสิ่งที่ดึงเราให้อ่าน Content ได้ใน 8 วินาทีแรกค่ะ

2. Topic content คืออะไร? – อันนี้เหมือนเป็นท่อน hook ของเพลง ถ้าจั่วหัวมา hook เราแล้ว เนื้อหาจะสั้นจะยาว เราก็พร้อมที่จะอ่านรายละเอียดต่อๆ ไป แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่า Content นี้มาจากใคร (แล้วค่อยตามไปหาที่มาที่ไป ถ้าน่าสนใจก็ follow ซะเลย ^^)

3. ภาพประกอบดึงดูด และสัมพันธ์กับ Content – ปัจจัยสุดท้ายที่ดึงให้เราสนใจ content ได้ภายใน 8 วินาที คงเป็นภาพสวยๆ อย่างที่คนที่มาสมัครงานเข้าใจ แต่จะอ่านต่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า Topic และ Content ไปกับภาพหรือเปล่า? ซึ่งถ้าหากมีความเวิ่นเว้อ ไม่มีประเด็น ภาพสวยๆ อาจถูกแคปไว้เป็นการอ้างอิง ว่าภาพสวยดีทุกครั้งที่ไถมาเจอ แต่คงไม่ให้เวลาเกิน 8 วินาทีก็เป็นได้ค่ะ”

กลุ่มที่ 2 มองว่าแล้วแต่ความเหมาะสมในบริบทนั้นๆ

Atthaporn Ojazzy Chanprakon “Content สั้นลงทำให้บริโภคสะดวกอยู่ครับ อย่างไรก็ตาม คนจะจดจ่อกับ Content หรือไม่ ผมว่าต้องพิจารณาบริบทอื่นๆ ร่วมด้วยครับ เช่น คนที่ดูเป็นกลุ่มเป้าหมายของ Content หรือไม่ ถ้าใช่ก็มาดูชนิดของ Content ตัว Content ว่าเล่าเรื่องอย่างไร ใช่อย่างที่กลุ่มเป้าหมายสนใจหรือไม่ วิธีเล่าสอดคล้องกับธรรมชาติของช่องทางนั้นหรือเปล่า จังหวะและเวลาในการนำเสนอเป็นอย่างไร ฯลฯ สรุปแล้วความยาวความสั้นเป็นเพียงตัวแปรหนึ่งเท่านั้นครับ :)”

Kornkorranat Wiratsin “ไม่จำเป็นต้องสั้น แต่ต้องตอบตอบโจทย์ให้ได้ว่า Content นั้น Brand นั้น จะช่วยเหลือผู้เหลือผู้บริโภคได้อย่างไร เป็นประโยชน์ต่อเขารึปล่าว (ในช่วงเวลานั้น)”

Mike Luangtrirat “ในมุมมองผม ผมว่า 8 วินาที อาจเป็นช่วงเวลาในการดึงความสนใจนะครับ หากแต่ Content นั้นๆ มีคุณค่าเหมาะกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ก็น่าจะทำให้เขาสามารถให้เวลากับมันมากขึ้นครับ สิ่งสำคัญอาจอยู่ที่การพาดหัว / เลือกรูปที่ดี / หรือการดึงจุดเด่นของวิดีโอทั้งเรื่องมาให้คนสนใจในแว๊บแรกๆ ซึ่งนั่นอาจจะต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ดูแลครับ ส่วน Content จะสั้นลงหรือยาวขึ้น อันนี้ผมว่าอยู่ที่ว่าเราจะออกแบบให้เป็นแบบไหน กับกลุ่มไหนครับ”

Napat Siriwattanakosol “แปดวินาทีเป็นเรื่องความสนใจของคน แต่ Content ที่ดี คือเนื้อหาที่เหมาะสม เข้าถึงคนถูกกลุ่ม ในเวลาที่ใช่ Content เป็นได้ทั้งภาพ ตัวอักษร สัญลักษณ์ และในรูปแบบอื่น และมีเนื้อหาและคุณค่าที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์”
Ayanami Rei “ส่วนตัวผมว่าคนเราอยู่ในยุคที่มีข้อมูลเยอะมากเกินไป จนไม่สามารถเพ่งความสนใจได้หมด คนเราเลย “เลือก” ที่จะสนใจในสิ่งที่ตนสนใจเท่านั้น และพร้อมที่จะเพ่งความสนใจลงไป สำหรับเรื่องอื่นๆ ก็เหลือเพียงแค่ผ่านตาแวบๆ จนกว่าจะเจออะไรที่สนใจ ก็พร้อมที่จะเพ่งความสนใจนานมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเนื้อหาจึงต้องดึงความสนใจออกมาให้ได้ หรือทำให้ผู้รับสารสร้างความอยากรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในเนื้อหานั้นๆ”
Jib Marn Pin “คนเรามีหลายจอและมีหลายเวลา พฤติกรรมแต่ละจอและแต่ละเวลาต่างกัน เมืองไทย 8 วินาที อาจจะมีผลมากเพราะว่า คนติดบนถนนเยอะ เวลาเดินทางเข้าออกเมือง รวมทั้ง WIFI ฟรี ตามพื้นที่สาธารณะ ร้านกาแฟร้านอาหาร โรงแรม ยังมีน้อยมาก ทำให้คนลังเลใจที่จะดู Content ที่ยาวกว่านั้น”
Sakdidej Suksapa “กำลังคิดถึงบทสนทนาน่ะครับ ในชีวิตถ้าเปรียบเป็นการพูดคุย Content คือเรื่องที่จะเล่า แล้วเราเจอคนที่เพิ่งรู้จักกันเราจะพูดอะไรกับเค้า แล้วทำให้สนใจนานที่สุดดีนะ”
Kung Poolpokar “เราเป็นคนใช้โซเชียลเพื่อรับข่าวและขยายเครือข่ายเพื่อการทำงานและพัฒนาตนเอง น้อยมากที่กด Like ให้ใคร และ ไม่เข้าใจด้วยว่าคนเราจะอยากแสดงออกอะไรกับทุกสิ่งอย่างไปทำไม เพราะเราเคยพิมพ์พลาดกดไป 3 ตัวอักษรแบบไม่เป็นภาษา กลับมาดูอีกทียังได้ตั้งหลายไลค์ อยู่ในขั้นอะไรมาที่ Newsfeed ตัวเองก็ Like  คนแบบนี้มีเยอะแยะไป ถ้าเป็นการใช้โฆษณานี่นับว่าเสียค่าคลิกเปล่าโดยแท้”
Sayan Nakvijit “ผมคิดว่า สั้นหรือยาวล้วนมีความหมายครับ ทุกๆ วันนี้มี Content หลั่งไหลมาให้เสพเยอะมาก สั้นแล้วเจ๋งคนก็ชอบและแชร์ ยาวแล้วใช่คนก็ชอบและแชร์ อยู่ที่ใครทำแล้วเข้าเป้า”
Ponchat Han-anurak “โฆษณาล่าสุดของสเนลไวท์ยาว 5 นาที ผมก็ดูจบนะครับ เป็นเพราะ Storytelling มันโอเลย นักแสดงก็ลากมาจาก [ซีรี่ย์] ไดอารี่ตุ๊ดซี่อีก ทำให้มันดึงเราให้อยู่กับโฆษณานั้นได้ยาว”

Somying L Jingabell “ในช่วง 8 วินาที น่าจะเป็นวินาทีทองในการดึงความสนใจมากกว่า ถ้า 8 วิฯ ของเราได้ผล คนก็อยู่ดู Content เราได้ต่อ แต่อย่าลืมว่า Content เราต้องดึงคนดูให้อยู่ด้วย ไม่ใช่ดีแค่ 8 วินาทีแรก”

กลุ่มที่ 3 เห็นด้วยว่าต้องสั้น

Winyu Kinghiranwatana “ความสั้นยาวของ Content ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ชมสมาธิสั้นหรือยาว แต่ขึ้นกับว่า ผู้ชมควบคุมการดู Content ได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าคุณทำ Content ที่ผู้ชมควบคุมการดูได้เองมาก Content ที่สั้นกระชับ ก็จะได้เปรียบ (สังเกตว่า ที่บอกว่า Content 8 วินาที ส่วนใหญ่ในหัวคนพูด จะคิดถึง Online content ซึ่งผู้ชมสามารถกดปิด หรือเลื่อนหน้าจอหนีได้เร็วมาก) หรืออย่าง Print Ad ที่แต่ไหนแต่ไรมา ก็ต้องใช้ภาพหรือข้อความปังๆ มาตลอดทุกยุคทุกสมัย

“ถามว่า เพราะคนสมัยก่อนสมาธิสั้นหรือเปล่า ก็ไม่น่าใช่ แต่เพราะคนสามารถพลิกหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร (เพื่อหนี Ad) โดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น และดังนั้น ที่คนดูวู้ดดี้หรือ Civil war ได้นานๆ จึงไม่ใช่เพราะมีสมาธิยาว แต่เพราะไม่สามารถ “กรอ” สิ่งที่ดูให้ข้ามตอนที่ตัวเองไม่อยากดูได้นั่นเอง (ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนสมัยนี้ ถ้าคนสมัยก่อนสามารถ “กรอ” ทีวีหรือหนังได้ ผมว่าพวกเขาก็จะอยาก “กรอ” เหมือนกัน)

“สรุปคือ Content สมัยนี้ต้องสั้น ก็เพราะคนดูควบคุมการรับ Content ของตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นเอง”

Ekkachai Charoenpatanamongkol “8 วิ คือโอกาส ที่จะทำให้คนเสพตัดสินใจว่าจะอ่านต่อหรือไม่อ่าน แต่ถ้าทำ Content ให้จบใน 8 วิได้โดยยังตรงเป้าหมายอยู่ถือว่าเทพมาก”
Hugo Mania “รู้สึก Moment of truth ตัวเลขล่าสุด ต้นปีจาก Neuroscience ของ Nielsen ลดลงเหลือ 5 วินาที แล้วด้วยครับ”
และทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นของเพื่อนๆ thumbsupers นะครับ ผมไม่ตัดสินดีกว่า ขอบคุณนะครับ!
 
Source: thumbsup

The post ข้อสรุปเกี่ยวกับคำถามที่ว่า “จริงหรือไม่ที่คนสมัยนี้สมาธิสั้น จึงควรจะทำ Content ให้สั้นเข้าไว้?” appeared first on thumbsup.

ปรากฏการณ์ Ensogo crisis โอกาสของแบรนด์บนภาวะวิกฤติของผู้บริโภค

$
0
0

ท่ามกลางความเงียบกริบของ Ensogo หลังมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เสียงที่ได้ยินดังขึ้นคือฝั่งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการซื้อดีลไปแล้ว แต่ในความโชคร้ายของผู้บริโภคยังมีหลายแบรนด์ออกมาโอบอุ้มผู้บริโภค ถึงจะต้องเข้าเนื้อตัวเองก็เถอะ เราจึงอยากเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าปรากฏการณ์ เพราะมันอาจจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ความเสียหายจากธุรกิจหนึ่งกลายเป็นโอกาสให้อีกหลายๆ แบรนด์ลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้น 

ensogo-thailand-office-closed

หลังมีข่าว Ensogo ปิดกิจการในแถบอาเซียนแบบสายฟ้าแล่บ นอกจากจะต้องเห็นใจพนักงานของ Ensogo ที่ถูกเลย์ออฟแล้ว ผู้บริโภคคือกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เพราะยังมีอีกหลายคนที่ซื้อดีลไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ใช้ และในตอนนี้ก็เท่ากับว่าเงินที่จ่ายไปกลายเป็นแค่กระดาษที่ไม่มีมูลค่า ดุจสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ไม่ถูกรางวัล และทาง Ensogo เองก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงหรือแก้ปัญหาให้ทันท่วงทีอย่างทีควรจะเป็น

ความรู้สึกของคนที่ซื้อดีลในเวลานั้นคงไม่ต่างอะไรกับการถูกลอยแพ และสิ่งที่ตามมาก็คือ กระทู้พันทิปและความโกลาหล ที่เราเห็นตลอดทั้งวันหลังจากการเห็นภาพการปิดบริษัท

Screen Shot 2559-06-22 at 10.56.32 PM

แต่ในวิกฤติของ Ensogo ก็ยังเป็นโอกาสของแบรนด์อื่น เพราะตลอดวันนี้มีประกาศจากร้านอาหารหลายๆ เจ้าที่ช่วยให้ผู้บริโภคอุ่นใจมากขึ้น ถึงแม้จะซื้อดีลกับบริษัทที่ปิดกิจการแบบสายฟ้าแล่บ แต่ดีลที่ซื้อไปยังคงใช้งานได้ตามปกติ โดยที่ทางร้านจะไม่ได้เงินคือนจาก Ensogo ตามที่ตกลงกันไว้ นั่นคือส่วนที่แบรนด์เหล่านี้ต้องแบกรับ

Screen Shot 2559-06-22 at 11.03.02 PM

นอกจากร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ ก็ยังมีอีกหลายๆ แบรนด์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ออกมาใช้จังหวะนี้ในการเรียกคะแนนนิยมเหมือนกัน

อัปเดตล่าสุด คืนวันที่ 22 มิถุนายน หน้าเว็บไซต์ยังเข้าไปใช้งานได้ตามปกติ ส่วนหน้าแฟนเพจของ Facebook ก็ยังมีอยู่ไม่ได้ปิดไปไหน แต่ไร้การแถลง และโดนถล่มจนเรทติ้งเหลือแค่ 1.2 ดาวเท่านั้น และไม่มีการตอบคำถามของลูกค้าที่เข้ามาทวงถามการชดเชยผลกระทบ ซึ่งก็คาดว่าอาจจะไม่มีพนักงานมานั่งทำหน้าที่แล้ว

Screen Shot 2559-06-22 at 10.59.07 PM

เราคงไม่สรุปว่าร้านค้าที่ “เคย” ร่วมทำธุรกิจกับ Ensogo และต้องมารับมือและแบกรับสถานการณ์นี้ว่าถูกหรือผิดในการตัดสินใจในสิ่งที่แบรนด์ทำแต่อย่างใด เพราะการร่วมทำธุรกิจในลักษณะนี้มีความเสี่ยงในการแบกรับต้นทุนที่ทำเพื่อการประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้คนเข้ามาที่ร้านอยู่แล้วเป็นทุนเดิม และสถานการณ์ของแต่ละแบรนด์แต่ละเจ้านั้นไม่เหมือนกัน

แต่เราต้องขอมองในมุมที่สถานการณ์เกิดขึ้นว่า เป็นโอกาสของแบรนด์ที่มองเห็นช่องทางในการเข้าทำการตลาดแบบทันทีทันใดในจังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่การรักษาและคงสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าพึงได้รับเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่เขาได้คือการเยียวยาให้ลูกค้าพร้อมกับการได้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ

หากจะเรียกวิกฤติที่เกิดขึ้นว่าเป็น การฉวยโอกาสทางธุรกิจที่มีทั้งสองหน้า ก็คงไม่ผิดนัก เพราะมันอยู่ที่ว่าแบรนด์จะเลือกฉวยโอกาสกับลูกค้าในด้านไหนมากกว่ากัน…

 
Source: thumbsup

The post ปรากฏการณ์ Ensogo crisis โอกาสของแบรนด์บนภาวะวิกฤติของผู้บริโภค appeared first on thumbsup.

Samsung Galaxy ขยับไปอีกก้าว กับแคมเปญ Push the Boundary ที่เข้าใจ Gen Y มากกว่าที่เคย

$
0
0

1

ถือได้ว่าเป็นการฉีกแนวการทำแคมเปญสื่อสารจากแบรนด์ยักษ์อย่าง Samsung ทีเดียวที่ล่าสุดได้ปล่อยหนังโฆษณาแบรนด์ Samsung Galaxy ตัวใหม่ออกมาให้ได้ดูกัน ซึ่งใครที่ได้เห็นก็คงจะรู้สึกเหมือนกันว่ามันดูแปลกตา หลุดจากแนวทางเดิมของ Samsung ที่เราคุ้นเคยกัน ที่มาที่ไปเป็นยังไงลองมาดูกันครับ

งานโฆษณาชิ้นล่าสุดที่ว่านี้เริ่มมาจากการที่แบรนด์ Samsung ได้หันกลับมาวิเคราะห์ผ่านประสบการณ์ของตัวเองที่อยู่กับผู้บริโภคมายาวนาน และได้สังเกตเห็นว่าคนรุ่นใหม่หรือ Gen Y มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก แต่คน Gen Y มักจะมีความสับสนอยู่ในตัวซึ่งเกิดมาจาก”เสียง” 2 เสียงที่มีผลต่อการตัดสินใจของเขาอยู่เสมอ เสียงแรกก็คือเสียงของผู้อื่นที่มักจะเต็มไปด้วยความสงสัย คำวิพากษ์วิจารณ์ และการบั่นทอนกำลังใจ ในขณะที่อีกเสียงคือเสียงจากข้างในตัวเองที่บอกว่าอย่ายอมแพ้ จงพยายามต่อสู้กับความท้าทายและเดินไปข้างหน้าเพื่อค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เสมอ

ในขณะเดียวกัน เป็นเวลาหลายปีที่ Samsung ได้ปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถือ ด้วยนวัตกรรมที่หลายคนไม่คาดคิด หนึ่งในรุ่นที่สามารถสั่นคลอนยักษ์ใหญ่ของวงการโทรศัพท์มือถือ คือ Samsung Galaxy มีจุดเด่นในเรื่องดีไซน์ลํ้า พร้อมเทคโนโลยีล่าสุดตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ วันนี้ Samsung Galaxy จึงพร้อมแล้วที่จะบอกเล่าความเป็นตัวตน ความเชื่อ พร้อมแชร์แนวความคิดที่จะสร้างแรงผลักดันให้คนรุ่นใหม่ยุคนี้ จนกลายเป็นแคมเปญ “Push the Boundary”

ใจความสำคัญของวีดีโอตัวนี้ คือการบอกกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Gen Y ว่า ให้ฟังเสียงตัวเอง เพราะ Samsung เชื่อว่าผู้ที่ฟังเสียงและเชื่อในตัวเองจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด และออกไปทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริงได้ ซึ่ง Samsung เองก็เป็นแบรนด์ที่มีรากฐานของแนวคิดที่ท้าทายกับกฎเกณฑ์เดิม ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ดังที่เราได้เห็นผ่านผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง Samsung Galaxy S7 ที่สามารถกันน้ำได้ ที่เดิมทีนั้นคนมองว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ากับน้ำนั้นไม่ควรอยู่ด้วยกัน แต่ Samsung ก็พยายามหาหนทางเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด จนกลายมาเป็นสมาร์ทโฟนที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ในน้ำได้อย่างเต็มอรรถรส หรือว่าจะเป็น Samsung Galaxy Note เองที่ฉีกภาพลักษณ์ของการใช้ปากกาที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนรุ่นเก่า ให้ประสบการณ์ที่ได้จากการใช้ปากกาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ต้องบอกว่าการตัดสินใจพลิกแนวทางการสร้างแบรนด์โดยอิงจากเสียงในหัวของ Gen Y ในครั้งนี้ ประกอบกับการถ่ายทอดแนวคิดของแบรนด์ที่กล้าจะท้าทายข้อจำกัดเดิม ๆ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอนั้น ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งของ Samsung ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมายเลข 1 ของตลาด แต่กลับไม่ยอมอยู่กับที่ และหันมาทำการบ้านอย่างหนักเพื่อพัฒนาการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y ที่เป็นคนที่มีศักยภาพในตัวสูง และให้กำลังใจกับคนกลุ่มนี้เพื่อไม่ให้ยอมแพ้ต่อเสียงรอบข้างใด ๆ และก้าวไปข้างหน้าเพื่อค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เสมอ

น่าติดตามครับว่าต่อจากนี้เราจะได้เห็นอะไร Samsung Galaxy อีก แต่ที่แน่ ๆ แคมเปญ Push the Boundary น่าจะถูกใจชาว Gen Y ไม่น้อยเลยทีเดียว

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

The post Samsung Galaxy ขยับไปอีกก้าว กับแคมเปญ Push the Boundary ที่เข้าใจ Gen Y มากกว่าที่เคย appeared first on thumbsup.

Viewing all 2237 articles
Browse latest View live