Quantcast
Channel: Thumbsup
Viewing all 2237 articles
Browse latest View live

Exclusive Interview: เจาะลึก ก้าวต่อไปของอินทัช กับนายทัพใหม่ ฟิลิป เชียง ชอง แทน

$
0
0

คุณฟิลิป-2

เมื่อพูดถึงอินทัช โฮลดิ้งส์ หลายคนคงรู้จักกันดีว่าเป็นผู้นำด้านการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอลคอนเทนต์ ซึ่งถือหุ้นหลักทั้งใน บริษัท เอไอเอส ไทยคม ซีเอส ล็อกซอินโฟ และอื่นๆ อีกมากมาย และล่าสุดอินทัช เปิดตัวนายทัพคนใหม่ คุณฟิลิป เชียง ชอง แทน วันนี้กองบรรณาธิการ มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารท่านนี้โดยตรง ไปทำความรู้จักกับผู้บริหารท่านนี้มากขึ้น และก้าวต่อไปของอินทัช ภายใต้การนำทัพของผู้บริหารท่านนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

กว่า 27 ปีในธุรกิจบริษัทข้ามชาติในไทยและสหรัฐฯ

เมื่อเอ่ยถึงชื่อคุณ ฟิลิป ในแวดวงธุรกิจสื่อสารและไฟแนนซ์ ต้องบอกว่าชื่อนี้หลายคนคงคุ้นเคย เพราะคลุกคลีอยู่ในบริษัทข้ามชาติในไทยและสหรัฐฯ มากกว่า 27 ปีเต็ม เช่น บริษัท เอทีแอนที เบลล์แล็ปส์ และ จีอี แคปปิตอล ประเทศไทย

หนึ่งในบทบาทสำคัญคือการควบรวมและขยายธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลรายย่อย และธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ หลังจากที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อกิจการจากจีอี เอไอจี และเอชเอสบีซี โดยเขาดำรงตำแหน่ง Head of Retail and Consumer Banking ดูแลรับผิดชอบธุรกิจธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยและคอนซูเมอร์ นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารในคณะกรรมการธนาคาร และเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อีกรวม 6 แห่ง และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

อินทัชในปัจจุบัน กับสิ่งที่คุณฟิลิปเข้ามารับผิดชอบ

สำหรับผมการดูแลบริษัทใน Portfolio เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันเป็นเรื่องสำคัญ การดูแลบริษัทใน Portfolio นั้นถือเป็น 40-50% ของงานที่ทำอยู่ โดยเฉพาะกับบริษัท เอไอเอส  ซึ่งตอนนี้ลงทุนไปใน 4G ทั้ง 1800 MHz และ 900 MHz ต้องทำให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวนั้นคุ้มค่าในการประมูลความถี่ และได้ประโยชน์คุ้มค่าในระยะยาว

ส่วนที่ 2 ที่จะมาดูคือการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ แน่นอนว่าธุรกิจหลักอย่าง เอไอเอส ก็ยังต้องเติบโตต่อไป แต่เราก็มองหาธุรกิจเสริมทัพมากขึ้น  อาทิ High Shopping ที่ดำเนินการมาประมาณ 6 เดือนแล้ว และยังมีการดูแลในเรื่องของการลงทุนในผู้ประกอบการใหม่ (Startup) และไม่ใช่เพียงแค่การลงทุน แต่เราจะช่วยผู้ประกอบการในเชิงการตลาดและเครือข่ายทางธุรกิจ โดย Synergy กับบริษัทต่างๆ ในเครือ

และส่วนที่ 3 ที่ทำคือ เนื่องจากเราเป็นบริษัทไทย ดังนั้นเรามุ่งเน้นที่จะพัฒนาเพื่อทำให้คนไทยและประเทศไทยเราดีขึ้น ด้วยการทำกิจกรรม CSR เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กับสังคมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ธุรกิจหลักที่เราดำเนินอยู่ คือ ธุรกิจด้านการสื่อสาร ซึ่งเป็นโครงข่ายพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนได้เชื่อมโยง ใกล้ชิดกันมากขึ้น ครั้งหนึ่งผมจำได้เลยว่าตอนที่มาเมืองไทยใหม่ๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน ผมหิ้วมือถือของอเมริกาเข้ามา ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ดูดี และเท่มากในเวลานั้น แม้โทรศัพท์จะใหม่ แต่ด้วยคลื่นโทรศัพท์เมืองไทยตอนนั้นใช้คนละคลื่นความถี่กัน ถึงจะดูดีแค่ไหนก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ เรียกว่าต่างกันเยอะมากครับ เอไอเอสอยู่คู่วงการธุรกิจนี้มานาน และภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงการโทรคมนาคมไทยให้ก้าวไปด้วยกัน  ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า เราจะต้องดำเนินธุรกิจด้วยสินค้าที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ดีขึ้น เราจะพัฒนาโครงข่ายให้เข้าถึงทุกครัวเรือนของไทยและได้การสื่อสารที่เร็วขึ้นในราคาที่ถูกลง

ผมถือหลักการบริหาร 3 อย่างคือ การสื่อสารในองค์กรต้องชัดเจน และเน้นย้ำว่า ต้องมองจากมุมลูกค้ากลับเข้ามาเป็นหลัก ไม่ใช่มองจากมุมของบริษัทออกไป และที่สำคัญไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

คุณฟิลิปคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ถูกมองว่าเป็นเพียงโครงข่าย Infrastructure แต่บริการเสริม Valued Added Service ต่างๆ ถูกผู้ให้บริการบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการ

ผมมองว่ามันเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ทุกอย่างเปลี่ยนถ่ายโอนย้าย หรือถูก Transform ไปในรูปแบบต่างๆ มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ช่วงหลังๆ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะมีออนไลน์เข้ามา อย่างโทรศัพท์แต่ก่อนนาทีนึงๆ ก็แพง ตอนนี้ก็ปรับลดลงมาเยอะ มีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ต้นทุนถูกลง พฤติกรรมคนก็เปลี่ยนการใช้งานจาก Voice Call เป็น OTT Voice ผ่านเครือข่ายเดต้า เราในฐานะผู้ให้บริการก็ปรับตัวตามเทคโนโลยี เป็น Data business และนำจุดแข็งที่เรามีผสมผสานกับจุดแข็งบริการต่างๆ ในมุมพาร์ทเนอร์ หรือการลงทุน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลัก คือเน้นการนำเสนอคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

อินทัช เข้ามามีส่วนสนับสนุนนโยบายภาครัฐ และเศรษฐกิจของประเทศ Digital Economy อย่างไร

อย่างที่กล่าวไว้ครับ เราดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคม การสนับสนุนด้วยโครงข่าย Infrastructure คือส่วนหนึ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะด้วยโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ หรือดาวเทียม เพื่อมาช่วยบริการต่างๆ ของภาครัฐที่ต้องการ Bandwidth ที่สูงขึ้น ผมจึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจของกลุ่มอินทัช จะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนอนาคตของสังคมไทย และเราก็มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนแผนงานของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้ลูกค้าและคนไทยทั้งประเทศสามารถเข้าถึง เชื่อมต่อ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิตอลอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ วัตถุประสงค์หลักที่เราก่อตั้ง อินเว้นท์ (InVent) ขึ้นมา ก็เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพรายใหม่ๆในตลาด เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และบริการใหม่ในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจ Startup ให้เกิดการขยายธุรกิจและการสร้างตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีทีมงานที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อค้นคว้าและวิจัยโดยเฉพาะทางด้าน Content distribution

ในแง่การแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ไทยเราอยู่ ณ จุดไหนในเชิงของเทคโนโลยี

บ้านเราถ้าไปดูกันดีๆ ผู้ใช้สมาร์ทโฟนไม่ได้น้อยเลยนะครับและเล่นเน็ตความเร็วสูงกันทั้งนั้น โครงข่ายในเมืองและหลายจังหวัดก็ดีมาก ขึ้นเหนือลงใต้มีหมด ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้รุ่น Low end ก็ยังคงมีอยู่ และกำลังเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เน็ตความเร็วสูง ซึ่งผมมองว่าดีกว่าอีกหลายประเทศ อย่างอินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปปินส์ยังมีข้อจำกัดในเรื่องโครงข่าย แต่บ้านเรายังมีตลาดให้เติบโตได้อีกระยะยาว

ก้าวต่อไปของอินทัช

เรากำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างครับ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตอนนี้ได้ทั้งหมด  ในส่วนของการลงทุนในบริษัทผู้ประกอบการใหม่นั้น มีคุยกับหลายบริษัท เรามองเป็นธุรกิจและเราทำอย่างจริงจังครับ ไม่ได้เล็งเห็นว่าเป็นเทรนด์ ล่าสุดเราลงทุนใน Wongnai ผู้พัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหารและไลฟ์สไตล์อันดับหนึ่งของไทย ส่วนเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเรา คือ ดูแลทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พาร์ทเนอร์ สังคมและพนักงานของเราทุกคนได้ก้าวและเติบโตไปด้วยกันครับ

 
Source: thumbsup

The post Exclusive Interview: เจาะลึก ก้าวต่อไปของอินทัช กับนายทัพใหม่ ฟิลิป เชียง ชอง แทน appeared first on thumbsup.


“อาหารคือหลักฐานของความรัก” แคมเปญผูกสายใยครอบครัวบนโต๊ะอาหาร

$
0
0

Knorr-Flavour-of-Home-2

ในภาวะเร่งรีบของสังคมในยุคปัจจุบัน หลายต่อหลายคนค่อยๆ เปลี่ยนความเคยชินแต่ละวัน ให้ง่าย เร็ว เพื่อตอบโจทย์เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด จนบางครั้งลืมความสุขในการทานข้าวกับครอบครัว “ที่บ้าน” ไปแล้วด้วยซ้ำไป แคมเปญที่จะพูดถึงนี้ จะทำให้ภาพทุกอย่างกลับมา…

Flavour of Home คือแคมเปญที่พยายามจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ให้กับสังคม ที่อยากให้ทุกคนกลับมาคิดถึงอาหารที่บ้าน และทานอาหารร่วมกันในครอบครัวมากขึ้น ซึ่งแบรนด์ระดับโลกเอง ก็มีการนำ Key Message เดียวกันนี้มาใช้เช่นกัน ซึ่งของไทยเองก่อนหน้าหากใครยังจำกันได้ แคมเปญนี้ถูกพูดถึงมาแล้วในชื่อ “เมื่อปิ่นโตออกเดินทาง” กับเรื่องราวการส่งความรักผ่านการทำอาหารของคุณแม่ให้คุณลูก

คราวนี้ทางคนอร์ได้ทำเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นมุมมองที่คนทานไม่เคยเห็น และคนทำไม่เคยได้สัมผัส ผ่านเรื่องราวของ Life Swap ที่ให้เห็นว่า หากลองสลับบทบาทกันเราจะค้นพบมุมมองและเข้าใจอะไรมากขึ้น โดยเพิ่มความพิเศษด้วยแขกคนสำคัญคือครอบครัว คุณกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ซึ่งการเลือกครั้งนี้น่าสนใจมากสำหรับคนอร์

ในเรื่อง มีความพยายามที่จะเล่าถึงมุมมองต่ออีกฝ่าย ที่ทั้งฝ่ายสามีคือคุณกอล์ฟ และภรรยาอย่างคุณเบลล์ ส่วนตัวศิลปินฮิพฮอพอย่างคุณกอล์ฟนั้น มีมุมมองในชีวิตที่ ทั้งเรื่องอาชีพ เรื่องครอบครัวและภรรยา ที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกัน มุมมองของคุณเบลล์ ภรรยาคุณกอล์ฟที่มีต่อเขา ก็น่าสนใจมากเช่นกัน จากมุมมองคนภายนอกมักจะเห็นภาพที่ทั้งคู่มีความรักให้แก่กันและกัน แต่ในอีกมุมทั้งคู่ก็มีสิ่งที่ไม่เข้าใจกันอยู่อีกมาก

 

เมื่อเราได้จับคนทั้งสองคนมาลองสลับบทบาทกันดู เราก็ได้เห็นมุมมองความรักของครอบครัวของทั้งคู่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยที่ทางคนอร์เองก็นำเอาแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วม และมีบทบาทอย่างชัดเจน กับการเป็นส่วนผสมของอาหารที่ทำด้วยความรัก

ทางคนอร์เองน่าจะมีมุ่งเน้นให้ภายหลังการชมวิดีโอสั้นๆ นี้ จะทำให้ครอบครัวรักกันมากยิ่งขึ้น คนทำอาหารได้กำลังที่ดีจากคนกิน ทำให้อยากที่จะทำอาหารให้กินมากขึ้นในทุกๆ วัน ในขณะเดียวกันคนกินก็รู้สึกได้ถึงความรักที่คนทำมอบให้ ให้คำขอบคุณ หรือบอกรักเขาในทุกวันได้ง่ายๆ เพียงแค่กลับมากินข้าวด้วยกันที่บ้านให้หมดจาน ตามคำนิยามของแคมเปญ “อาหารคือหลักฐานของความรัก” นั่นเอง

ในมุมมองของเรา หากจะให้นึกถึงสิ่งที่แคมเปญนี้ใช้เพื่อความสำเร็จ ก็คงเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจริง บอกเล่าออกมาผ่านวิดีโอ ที่ให้เห็นมุมมองที่คนกินไม่เคยเห็น และคนทำอาหารไม่เคยได้สัมผัส ซึ่ง Life Swap ที่ให้เห็นว่า ถ้าเราลองสลับบทบาทกันเราจะค้นพบมุมมองและเข้าใจอะไรมากขึ้น

และเราเชื่อเหลือเกินครับ ว่าหลังการดูคลิปเรื่องราวของคุณกอล์ฟและครอบครัว คุณเองก็คงอยากจะลองลงมือทำกับข้าวเพื่อส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้คนที่คุณรักและใกล้ชิดบ้างไม่มากก็น้อย

บทความนี้เป็น advertorial

 

 
Source: thumbsup

The post “อาหารคือหลักฐานของความรัก” แคมเปญผูกสายใยครอบครัวบนโต๊ะอาหาร appeared first on thumbsup.

“ซิกน่า”เปิดตัวแบรนด์วิดีโอผ่านช่องทางออนไลน์ เผยบริการที่เหนือความคาดหมาย สร้างจากอินไซต์จริงของลูกค้า

$
0
0

Screen Shot 2559-07-10 at 10.25.31 PM

การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานของคนในปัจจุบัน แบรนด์ต่างๆ จึงไม่สามารถหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ โดยวันนี้ “ซิกน่า ประกันภัย” แบรนด์ประกันยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดประกันภัย ด้วยการเปิดตัวแบรนด์วิดีโอครั้งแรกในไทย ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของลูกค้าที่ได้รับบริการที่เหนือความคาดหมาย มาดูกันเลย

แบรนด์วิดีโอชิ้นนี้ผลิตออกมาเพื่อชูภาพลักษณ์ความห่วงใยและคอยอยู่เคียงข้างลูกค้าของแบรนด์ “ซิกน่า ประกันภัย” แบรนด์สัญชาติอเมริกันที่มีเครือข่ายระดับโลก

สำหรับบ้านเรา หลังจากการเข้ามาให้บริการตั้งแต่ปี 2550 วันนี้ “ซิกน่า” ได้เปิดตัวแบรนด์วิดีโอเป็นครั้งแรกผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยเนื้อหาที่เผยความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าคนไทยเล่าผ่านเรื่องราวเรียบง่ายแต่ตรงประเด็นของคุณพ่อนักสถาปนิกที่กำลังจะกลับไปฉลองวันเกิดร่วมกับครอบครัว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น

 

จากเรื่องราวที่สร้างขึ้นจากอินไซต์ของลูกค้า จะเห็นได้ว่า “ซิกน่า” มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ยามเดินทาง ซึ่งจะให้ความคุ้มครองผู้ถือกรมธรรม์และสมาชิกในครอบครัวในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือการเคลื่อนย้ายฉุกเฉินทางการแพทย์ ขณะที่เดินทางห่างจากที่พักอาศัยปัจจุบันมากกว่า 150 กม.ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นบริการพิเศษจาก บมจ.ซิกน่า ประกันภัย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของซิกน่า บริษัทประกันสุขภาพระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีลูกค้ากว่า 90 ล้านคนใน 30 ประเทศทั่วโลก

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ซิกน่า ประกันภัย ได้ที่ https://goo.gl/qejXLa หรือ ศูนย์บริการลูกค้าซิกน่า โทร.1758

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

The post “ซิกน่า” เปิดตัวแบรนด์วิดีโอผ่านช่องทางออนไลน์ เผยบริการที่เหนือความคาดหมาย สร้างจากอินไซต์จริงของลูกค้า appeared first on thumbsup.

Samsung Galaxy Note ฉีกวิถีการทำหนังโฆษณา ตอกย้ำความไม่ธรรมดาของแบรนด์ให้โดนใจคนรุ่นใหม่

$
0
0

11

หลังจากที่ thumbsup เราเพิ่งจะได้เขียนถึง Samsung กับการพลิกวิธีคิดในการสร้างแบรนด์ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ดูเหมือนว่า Samsung จะยังคงเร่งเครื่องเดินหน้าสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ในแบบที่แตกต่างและโดนใจกว่าที่เคย ล่าสุดได้เปิดตัวโฆษณาใหม่ออกมาพร้อมกับวิธีคิดและเทคนิคที่เหนือชั้นพร้อมกับการแนะนำสินค้ายอดนิยมอย่าง Samsung Galaxy Note ได้อย่างมีสไตล์

“สมาร์ทโฟนไม่ธรรมดาและจะไม่ธรรมดาตลอดไป” คือชื่อของโฆษณาล่าสุดที่เปิดตัวมาได้อย่างแหวกแนวจากสิ่งที่ Samsung เคยทำมาอย่างสิ้นเชิง หากใครได้มีโอกาสดูโฆษณาตัวนี้จะพบว่าเป็นการเล่าเรื่องผ่านหนังวิดีโอเรื่องเดียวแต่มี 2 เวอร์ชันที่นำเสนอมุมมองที่แตกต่างกัน โดยเวอร์ชันแรกจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ Gen  Y (People) ในขณะที่อีกเวอร์ชันจะเล่าผ่านมุมมองของตัวโทรศัพท์ (Smartphone) ซึ่งเรียกได้ว่าจังหวะการเดินเรื่อง, สถานการณ์ในชีวิตจริงที่ถูกหยิบขึ้นมา หรือแม้แต่ภาษาที่ใช้นั้นมีความใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่มาก ๆ ทำให้ใครที่ได้ดูสามารถรู้สึกได้ว่าหนังโฆษณาชิ้นนี้นั้นแม้จะถูกสร้างอย่างพิถีพิถัน แต่กลับเข้าถึงผู้ชมได้อย่างเป็นธรรมชาติ

12

แต่จุดที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของงานโฆษณาครั้งนี้เป็นการจับเอาหนัง 2 เวอร์ชันมาผสมเข้าด้วยการเป็นเรื่องเดียวแล้วเล่าเรื่องผ่าน 2 มุมมองไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งการที่จะชมหนังเรื่องนี้ให้ได้อรรถรสเต็มที่นั้น แน่นอนว่าคุณผู้ชมต้องอาศัยหูฟังมาช่วยอีกแรง

13

หนังโฆษณาชุด”สมาร์ทโฟนไม่ธรรมดาและจะไม่ธรรมดาตลอดไป”นี้ ถือได้ว่าเป็นการเจาะลึกลงไปถึงความคิดของผู้ใช้อย่างเข้าถึงจริง ๆ ทำให้การเล่าเรื่องผ่านสถานการณ์และบทนั้นมีพลังและถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน ความทรงพลังของปากกา Samsung Galaxy Note ก็เข้ามาช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความฝันและความมุ่งมั่นเหล่านี้ให้สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดไปได้พร้อม ๆ กับการที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสนุกและเต็มที่ในทุก ๆ ขณะ

14

งานนี้ต้องบอกว่า Samsung ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดีอีกแล้ว โดยเฉพาะในความกล้าที่จะฉีกจากกรอบความสำเร็จเดิมๆ ของตัวเองโดยเอากลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เป็นที่ตั้ง สมแล้วกับการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังไงเรามาติดตามกันต่อนะครับว่า Samsung จะปล่อยไม้เด็ดอะไรออกมาอีก

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

The post Samsung Galaxy Note ฉีกวิถีการทำหนังโฆษณา ตอกย้ำความไม่ธรรมดาของแบรนด์ให้โดนใจคนรุ่นใหม่ appeared first on thumbsup.

กลับมาอีกครั้งกับงานสัมมนาดิจิทัลยิ่งใหญ่ทีสุดแห่งปีที่นักการตลาดห้ามพลาด DAAT DAY 2016!

$
0
0

Screen Shot 2559-07-26 at 3.35.52 PM

สมาคมโฆษณาดิจิทัล(ประเทศไทย) หรือ DAAT ร่วมกับพันธมิตรในวงการ Line Thailand และ JOOX เตรียมจัดงานสัมมนาดิจิทัลครั้งใหญ่แห่งปี DAAT DAY 2016 ในวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2559 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์, เซ็นทาราแกรนด์ @ เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 22

งานนี้จัดเต็มถ่ายทอดความรู้ และอัปเดทเทรนด์ประจำปีที่จะเป็นประโยชน์ต่อวงการ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ อาทิ

  • Dan Inamoto, ผู้ร่วมก่อตั้งดิจิทัลเอเจนซีระดับโลก AKQA, Japan office
  • อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการคนแรก Line ประเทศไทย
  • ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย

และภายในงานจะมีการประกาศตัวเลขยอดการใช้งบประมาณโฆษณาดิจิทัลปีล่าสุดที่เก็บโดยสมาคมฯและบริษัท TNS (Thailand) นอกจากนี้ในช่วงบ่ายยังมีการแบ่งห้องสัมมนาย่อย ออกเป็น3 หัวข้อ สำหรับ Media , Creative และ content ที่มีเนื้อหาสัมมนาอัดแน่น โดยมี speaker รับเชิญจาก Party Japan, comScore, AOL, Opera, Workpoint, Trasher Bangkok และอีกมากมาย

เยี่ยมชมสินค้าและบริการจากบูธผู้ประกอบการ และพลาดไม่ได้กับไฮไลท์จากบูธของ Line ใน zone exhibition ที่เปิดให้เข้าฟรี โดยสามารถมาลงทะเบียนได้ที่หน้างาน ปิดท้ายด้วย After party จาก JOOX ที่จะมาร่วมสร้างสีสันให้กับงานนี้

วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาบรรยายในงาน อาทิ Hiroki Nakamura, Creative Director&Founder ,Party Tokyo Ace Singh, Director Southeast Asia ,comScore Inc. Carl Costa, Regional Head, AOL Kenneth Sim , General Manager, Innity Thailand Nathida Ratthanawut , Founder Marketing Oops Oranuch Lerdsuwankij, Co-Founder Thumbsup Media Vichai Matakul, Creative Director , Salmon House

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสามารถซื้อบัตรได้แล้วที่นี่ หรือ www.daatday.com บุคคลทั่วไป ราคาใบละ 3,000 บาท ( Early bird ถึง 31 ก.ค) และราคา 3,500 บาท (หลัง 31 ก.ค) โดยราคานี้รวมของว่างและอาหารกลางวันแล้ว

พิเศษสำหรับผู้อ่าน thumbsup! รับส่วนลดเพิ่มอีก 15% ทันทีกับ Promocode : thumbsup

 
Source: thumbsup

The post กลับมาอีกครั้งกับงานสัมมนาดิจิทัลยิ่งใหญ่ทีสุดแห่งปีที่นักการตลาดห้ามพลาด DAAT DAY 2016! appeared first on thumbsup.

อยากรู้ไหม…แรงบันดาลใจหาได้ที่ไหน?

$
0
0

ครั้งแรกที่ร้านหนังสือ เป็นมากกว่าร้านหนังสือ แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ก้าวเข้ามาสู่พื้นที่ของ  “THINK SPACE B2S”

เคยไหมเวลาคิดอะไร ไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน โปรเจคสำคัญ หรือแม้กระทั่งเรื่องจุกจิกที่สร้างความรำคาญใจ ท่านผู้อ่านมีวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไรบ้าง…หากมีสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่แห่งความคิด รวบรวมหลากหลาย Lifestyle Space ในที่เดียว ที่สามารถเข้าไปใช้เวลาได้ทั้งวันเพื่อหาแรงบันดาลใจในการคิดงาน ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือพบปะผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์เดียวกันเพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียคงจะดีไม่น้อย

เหมือนในโฆษณาด้านบนนี้ ทำให้เราพบว่าแรงบันดาลใจมีอยู่ทุกที่ อาจมาจากที่ที่เราคาดไม่ถึงเลยก็ได้หากเราไม่หยุดค้นหามัน และคงดีไม่น้อยที่เราจะพบสิ่งที่เป็นมากกว่าแรงบันดาลใจ เหมือนชายหนุ่มในโฆษณาชุดนี้นี้ ในสถานที่ที่เรียกได้ว่า “where idea inspire” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ THINK SPACE B2S นำ inside ของนักสร้างสรรค์มากมาย มาบอกเล่าที่มาของผลงานชิ้นเยี่ยมของเขา ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุด เวลาที่คิดอะไรไม่ออก…ต้องทำยังไง? ใครจะรู้ว่าจิ๊กซอว์แห่งความสำเร็จของการสร้างสรรค์ อาจมาจากใครบางคนในบางสถานที่ก็ได้โดยที่เราอาจนึกไม่ถึงเลยทีเดียว ลองชมกันได้ที่นี่เลย

Screen Shot 2559-08-02 at 12.03.29 AM

Screen Shot 2559-08-02 at 12.22.16 AMScreen Shot 2559-08-02 at 12.23.56 AM

Screen Shot 2559-08-02 at 12.24.06 AM

Screen Shot 2559-08-02 at 12.24.13 AM

Screen Shot 2559-08-02 at 12.24.25 AM

Screen Shot 2559-08-02 at 12.24.35 AM

อินกันเลยทีเดียว เชื่อว่าใครหลายคนอาจได้ inspiration มาจากคนบางคน หรือสิ่งของบางอย่างใกล้ตัวคุณ คราวนี้เราอยากพาคุณไปเจาะลึกพื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจแห่งนี้กันครับ กับ THINK SPACE B2S

เมื่อพูดถึงบ้านหลังที่สามแล้ว นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน หลายคนคงนึกถึงร้านกาแฟหรือสถานที่ที่ให้เราสามารถนั่งทำงานได้ยาวนาน อ่านหนังสือ หรือสร้างสรรค์ไอเดียต่างๆ วันนี้ทาง Thumbsup มีอีกสถานที่จะมาแนะนำให้เพื่อนๆผู้เสพไอเดียกัน นั่นก็คือ “Think Space B2S” หรือ “พื้นที่ความคิด ที่สร้างแรงบันดาลใจ” แถมยังอยู่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลอีสต์วิลล์ ห้างใหม่สุดไฉไล ติดถนนเลียบด่วนรามอินทราอีกด้วย

Screen Shot 2559-07-26 at 9.58.58 PM

เป็นที่ทราบกันดีว่าไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มีความกระตือรือร้น ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมถึงเปิดรับประสบการณ์ใหม่อยู่ตลอดเวลา ทาง B2S ได้เล็งเห็นเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงพลิกโฉมร้านหนังสือให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาแรง บันดาลใจ ชื่นชอบในประสบการณ์ใหม่ๆ โดยจับมือกับเซ็นทรัลพัฒนา เกิดเป็น Think Space B2S แห่งนี้ขึ้นมา

หลาย ท่านคงได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสสถานที่แห่งนี้มาแล้ว ด้วยพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร อยู่ในโซน Foodville ของห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมภูเขาหนังสือมากกว่าแสนเล่ม ใหญ่ที่สุดในอาเซียนเลยทีเดียว แต่ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ร้านหนังสือทั่วไป เพราะมีการคัดสรรสินค้าและบริการแบ่งตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นหลัก มีการจัดวางสินค้าในรูปแบบใหม่ที่สร้างอารมณ์และอรรถรสในการเลือกซื้อแตก ต่างจากที่อื่น

โดย Think Space B2S ได้จับมือกับ KLEIN DYTHAM ARCHITECTURE (KDa) ซึ่งเป็นบริษัทดีไซเนอร์ด้านการออกแบบคอนเซ็ปต์ ร้านค้า สถาปัตยกรรมต่างๆ ในระดับโลก เช่น HOME-FOR-ALL อาคารเอนกประสงค์สำหรับเยาวชน, BMW Group ที่ Tokyo Bay, Daikanyama T-site อาคารคอมเพล็กซ์, Shonan T-site อาคาร Book store ที่ญี่ปุ่น และที่นี่มีการใช้ไม้จริงเป็นโครงสร้างหลัก รวมถึงตกแต่งด้วยต้นไม้จริงในพื้นที่ร้าน ประกอบกับใช้แสงธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้รู้สึกสบายตา อีกทั้ง Think Space B2S ยังได้ร่วมกับ M&A Architecture บริษัทดีไซน์และออกแบบสถาปัตยกรรมของไทยเราเอง เพื่อเนรมิตสถานที่แห่งนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Screen Shot 2559-07-26 at 9.59.17 PM

ภายในแบ่งพื้นที่เป็น 5 สเปซแห่งแรงบันดาลใจ ในพื้นที่ 2 ชั้นครึ่งที่เปิดโล่ง อันได้แก่

  • Lifestyle Book Space
    เป็น โซนภูเขาหนังสือทั้งไทยและต่างประเทศมากกว่าแสนเล่ม แบ่งย่อยไปอีก 12 ไลฟ์สไตล์โซน อันได้แก่ Travel, Leisure, Craft, Smart, Wisdom, Fiction, Cookery, Entertainment etc., Art & Design, Study, Work และ Family

Screen Shot 2559-07-26 at 9.59.26 PM

  • Art x Idea Space
    เอาใจสายอาร์ตโดยเฉพาะ โซนนี้จะมีผลงานของศิลปินชาวไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีพื้นที่จัดวางสินค้าดีไซน์ที่ได้รับรางวัลไม่ว่าจะเป็นด้าน Furniture Design, Design Stationary และ Office Accessories เป็นต้น

B2S_artzone

  • Entertainment Space
    เป็น โซนสำหรับหนังและเพลงที่พิเศษกว่าใครเพราะมี Music Room ที่รวบรวมหนังและเพลงทุกประเภททั้งไทยและต่างประเทศที่หายาก! มีร้านเครื่องเสียงพรีเมี่ยมอย่าง B&O Play by Bang & Olufsen รวมถึงเฟรมสำหรับผู้รักดนตรีร่วมสมัย จากอนาล็อค สู่ดิจิตัล มีแผ่นเสียงและเครื่องเล่นไวนิล เอาใจสายสุนทรีย์โดยเฉพาะ

B2S_entertainmentzone

  • Play x Learn Space
    เป็น โซนที่รวบรวมโรงเรียนสอนทักษะเพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก ที่จะช่วยเสริมจินตนาการให้แก่ลูกน้อย ประกอบไปด้วย 8 สถาบัน ได้แก่ Clayworks, Chefutown, Babies Genius, Kinderprep by Ivy Bound International School, I Genius, Helen Doron English, Yamaha Music School และ A Little Something เป็นต้น เรียกได้ว่าขณะที่พ่อแม่รับชมสิ่งที่น่าสนใจภายใน Think Space B2S แล้ว คุณหนูๆยังได้เสริมประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับวัยของพวกเขาอีกด้วย

Screen Shot 2559-07-26 at 9.59.41 PM

  • Networking Space
    โซน สุดท้ายที่เป็นพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนไอเดียต่างๆ เอาใจเหล่าบรรดา startup ใช้เริ่มต้นสร้างแนวคิดทางธุรกิจ ซึ่งโซนนี้จะอยู่บริเวณชั้น 2 ของร้าน และเป็นไฮไลท์ของ “Lifestyle Third Place” เพราะมีพื้นที่อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า เช่น Co-Working Space เป็นพื้นที่รองรับผู้ที่เข้ามานั่งทำงาน สร้างสรรค์หรือเจรจาธุรกิจได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังจับมือกับ AIS ที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตฟรีในพื้นที่อีกด้วย แถมยังมีโซนร้านอาหารไว้รองรับผู้ที่มาใช้บริการอย่างร้าน COVER II COVER Eat & Drink ที่เป็นโปรเจคร่วมกันระหว่าง Think Space B2S และ เชฟพล ตัณฑเสถียร รวมถึงร้าน cafe จากบาริสต้าชื่อดังอย่าง Amatissimo ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูและหนังสือทำอาหารในร้าน B2S ให้ผู้อ่านได้ลิ้มรสอาหารที่ออกมาจากหนังสือกันเลยทีเดียว

B2S_networkingzone

นอก จาก Think Space B2S จะใช้เนเชอรัล วู๊ดส์ เป็นโครงสร้างหลักเพราะต้องการให้มีรูปแบบใกล้ชิดธรรมชาติแล้ว ผู้เขียนได้สังเกตว่าที่นี่ใช้ต้นไม้จริงในการตกแต่งพื้นที่ในร้าน มีการใช้แสงธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ แทนหลอดไฟนีออน จึงทำให้รู้สึกสบายตา อยู่ในร้านได้ทั้งวันกับหนังสือเล่มโปรดโดยไม่รู้สึกปวดสายตา

Screen Shot 2559-07-26 at 9.59.57 PM

การ พัฒนาร้านหนังสือให้กลายเป็น Curatorial Lifestyle Bookstore ครั้งนี้ของ B2S นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อให้เป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้อง กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน หลักหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่เพียงเข้ามาในพื้นที่ทำกิจกรรมหลากหลายรูป แบบได้ที่นี่

หาก ท่านพูดอ่านกำลังมองหาสถานที่ในการนัดพบปะสังสรรค์ เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดีย ค้นหาแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว หรือกำลังมองหาร้านหนังสือที่เป็น “มากกว่าร้านหนังสือทั่วไป” นี่จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัยได้เป็นอย่างดี รับรองว่าจะตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่ เหมือนที่ผู้เขียนได้เข้าไปชมด้วยตาตัวเองในวันนี้เลยทีเดียว

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post อยากรู้ไหม…แรงบันดาลใจหาได้ที่ไหน? appeared first on thumbsup.

สาเหตุที่ Pokemon เป็น App ในโทรศัพท์ปุ๊บ สะเทือนแผ่นดินสมาร์ทโฟน

$
0
0

ความแรงของ Pokemon Go ที่สร้างความสั่นสะเทือนในวงการเกมและวงการโมบายล์ ทำให้ทุกคนหันมาสนใจเกมนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงความต้องการของคนหลายๆ ประเทศที่อยากจะเล่นบ้าง โดยเฉพาะไทยที่นับวันรอกันอย่างใจจดใจจ่อ วันนี้เรามีอีกมุมที่ไม่ใช่เรื่องของเกม แต่เป็นเรื่องการตลาด และกลยุทธ์ แบรนด์ต้องเตรียมรับมือกับความฮิตของเกมนี้อย่างไร และทำไมเราถึงต้องสนใจเรื่องนี้


editorial note: บทความนี้คือบทความพิเศษ (ที่เราเรียกว่า Guest Post) จากคุณอ๋อง ผรินทร์ สงฆ์ประชา ที่ส่งบทความนี้เขาส่งมาให้ กองบรรณาธิการ thumbsup อัพโหลดขึ้นให้ชาว thumbsup โดยเฉพาะ บทความนี้ ไม่สะท้อนแนวคิดของกองบรรณาธิการ thumbsup เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวของคุณอ๋อง 

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผู้เขียน ซึ่งมี thumbsup เป็น ผู้เผยแพร่เดียวที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ หากต้องการนำบทความไปใช้กรุณาให้เกียรติด้วยการอ้างอิงชื่อผู้เขียนและลิงก์ กลับมายังบทความต้นฉบับ


สาเหตุที่ Pokemon เป็น App ในโทรศัพท์ปุ๊บสะเทือนแผ่นดินสมาร์ทโฟนมี 3 ข้อ 

-1-มีราก มีที่มา

โปเกม่อน ปิกาจู๊ ไม่ใช่ของใหม่ 

นับตั้งแต่เกมแรก 1996 ก็ 20 ปีแล้ว 

ซีรี่เกม Pokemon ทะลุล้านตลับมาหลายรอบ 

มีฐานแฟนเดิมเหนียวแน่น 

-2-น่ารัก เข้าถึงทั้งชายหญิง 

เป็นตัวละครที่น่ารัก เสียงร้องปิก๊า ปิก๊า” นี่

อายุเท่าไหร่ฟังแล้วก็น่ารัก 

(ผมดูกะเค้าด้วยทางช่อง 9) 

-3-เป็น O2O

อันนี้สำคัญที่อยากจะคุยถึงวันนี้ 

Online 2 Offline จะเป็นกลยุทธ์หลัก

หลังยุคออนไลน์เฟื่องในอีกไม่นาน 

(ผมเชียร์กระแสนี้อยู่

เกม Pokemon มีมากกว่า 7 ซีรี่ 16 ไตเติ้ล 

ออกเป็นเกมในจออย่างเดียว 

ก็ดังระดับนึง 

.

.

พอ Pokemon Go (PG)

ที่ผสมทั้งโลกจริงและโลกจอ

เข้าด้วยกัน เกิดประสบการณ์ใหม่ 

ใกล้ตัวผู้เล่นมาขึ้น

.

.

.

แผ่นดินสะเทือน !! 

ดูสถิติการค้นหา ใน Google ตั้งแต่ปี 2004 

Image 1

ถ้าเอาเวลาดีที่สุดของแต่ละกระแสมาวัดกันนะ 

ถ้ากระแสแรงๆ ในบ้านเราเช่น 

ขอใจแลกเบอร์โทร ได้ “92″ คะแนน

EXO “96″

ลูกเทพ “59”

Pokemon เป็น “100” แซงโค้งมาเลย

และพุ่งจาก 16 เป็น 100 ในเดือนเดียว

อย่าลืมว่า Pokemon Go ยังไม่เข้าไทย

แรงขนาดนี้จับยังไงดี??  

.

.

.

______________________________

ก่อนจะฉวยโอกาสได้ 

มาดูวิธีทำเงินที่เป็นไปได้ก่อน 

Image 2

ผมแบ่งตารางออกเป็น 4 ช่องคือ 

—1— Pokemon & Online

In Game Purchase/ Advertising. อันนี้ปกติ

—2— Pokemon & Offline

Character Business Strategy คือ

ธุรกิจที่เอาตัว Pokemon มาทำเป็นสินค้า 

เช่นตุ๊กตากล่องดินสอฯลฯ

ธุรกิจ SME จับตรงนี้มาเล่นโปรโมชั่นได้ง่าย 

เช่น เป็นของแถม สะสม stamp และตุ๊กตาเป็นต้น 

(ตรงนี้ไม่เหมือนกับ Angry Bird 

คือ ช่วงที่ฮ๊อตที่สุด ดันไม่มีของออกมาขาย)  

แต่ Pokemon นี่มีตลอด เดินหาย่านสำเพ็ง

ก็หาได้ไม่ยาก แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ลองไปหา Pikachu ของเริ่มขาดบ้างแล้ว 

—3— Partner & Online

Benefit Exchange Strategy เช่น

สมมติสะสมแต้มจาก App A เอาไปแลกของใน Pokemon Go 

แล้วทั้ง App A กับ PG ก็แบ่งกำไรคนละครึ่ง 

แต่อันนี้ต้องแล้วแต่ทาง True ด้วย

ว่าจะเปิด Platform ให้ทำอย่างนี้หรือไม่

—4—Partner & Offline

Magnet Model มีให้เห็นในเมืองนอก 

คือ การ Generate Pokemon หายาก

ในโลเคชั่นร้านค้า ที่อยากให้คนไปจับเยอะๆ 

และยังขยายไป Game Experience Strategy ได้ คือ

ถ้าใครเคยดู Pokemon จะรู้ว่า 

Pokemon Trainer (ผู้ใช้ Pokemon) จะใช้

Pokeball (โทรศัพท์มือถือ) ในการจับ

Pokemon จะพัฒนาได้จากการสู้ใน 

Pokemon Gym (ตำแหน่งร้าน ที่จะเป็นยิมฝึกฝน

และเมื่อต่อสู้ได้ชนะ Pokemon Trainer

จะได้ Badge ของ Gym นั้นๆ มา

เพื่อแสดงถึง Level ของ Trainer แต่ละคน

ตรงนี้ในปัจจุบัน ยังไม่เปิดให้บริการ 

แต่ถ้ากระแสดีขนาดนี้ ก็น่าคาดว่าน่าจะมีตามมา 

สรุปง่ายๆ คือ ร้านค้า

สามารถเป็นแหล่งที่เกิด Pokemon เพื่อดึงคนเข้าร้าน 

และสามารถยกระดับเป็น Pokemon Gym แจก Badge 

เพื่อให้ลูกค้าซื้อ หรือทำอะไรบางอย่าง แลกกับ Badge ของ Gym ด้วย 

—5— Traffic and Data Strategy

ตรงนี้คือประเด็นหลักที่ True อยากเอามาทำ 

เพื่อเพิ่มการใช้ Data ได้โดยตรง

และนอกจากนี้เชื่อว่า พฤติกรรม Location, Traffic 

จะเป็นข้อมูลมูลค่าสูง ที่ True เอาไปขยายผล

ต่อเป็น Promotion อื่นๆ ต่อยอดได้อีก

 ______________________________

ข้อควรระวัง ในการฉวยโอกาส 

สินค้าปลอม

ทุกครั้งที่เกิด Character Boom

จะมีของปลอมแนบเนียนวางจำหน่ายด้วย 

ร้านค้า SME อาจต้องระวังจุดนี้ด้วย 

การซื้อของแท้มาแจกแลกสแตมป์ไม่ผิด 

แต่แจกของปลอมอาจโดนทีมจับ มารีดเงินได้ 

ต้องระวังให้ดี 

.

.

การใช้กราฟิก

การเอาโลโก้รูป/ชื่อตัวละครคำอธิบาย

ที่ไปหาโหลดจาก Internet แล้วใช้ทางการค้า

ผิดทั้งหมด!! เพราะไม่ได้รับอนุญาต

ในการใช้ทรัพยสินทางปัญญาเหล่านั้น 

รูปและโลโก้ในบทความนี้

ไม่ได้ทำเพื่อการค้าโดยตรง 

จึงพอเลี่ยงบาลีได้ 

*** ทางแก้ 

ซื้อสินค้าลิขสิทธิ์มา แล้วถ่ายรูป

โลโก้รูป/ชื่อตัวละคร คำอธิบายต่างๆ 

แล้วเอารูปถ่ายไปใช้ ในเว็บ หรือหน้าร้าน 

สามารถทำได้ 

เพราะเราไม่ได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรง

แต่เราเอารูปถ่ายสินค้าที่ซื้อมาถูกต้อง 

.

.

การโกงแบบน่าเกลียด แต่ไม่ผิดกฏหมาย

คือ ทำกราฟิกเลียนแบบโปเกม่อนมาทำเนียน

มาเกาะกระแส ถ้านึกไม่ออก ลองนึกถึง

ช่วงบอลโลก

ห้ามใช้คำว่า “World Cup” ใช้คำว่า “World Champ” แทน

ห้ามใช้ภาพตัวละคร… ก็วาดตัวละครเลียนแบบมาใช้เอง

ห้ามใช้คำว่า Pokemon ก็ใช้คำว่า Polemon ก็ได้

น่าเกลียด…แต่ไม่ผิดกฏหมาย และมีกลุ่มตลาดระดับล่างๆ ที่ดูความต่างไม่ออก

(แต่เล่นแบบนี้เสียศักดิ์ศรีแบรนด์เรานะ)

.

มันไม่ถูกต้องครับ

เพิ่มเติมเนื้อหา 03/08/2016 22:35 

 ______________________________

กระแสนี้จะอยู่นานแค่ไหน

ถ้าในสภาพตอนนี้” …คาดว่ากระแสนี้จะอยู่ไม่นาน” 

เพราะสองสามสาเหตุ 

  1. Game Play เกมนี้ Game Play ไม่สนุก สนุกแค่ตอนได้ออกไปจับในสถานที่จริง เกมที่อยู่ได้นานๆ นั้นจะต้องเล่นสนุก คาดว่าทางผู้พัฒนา คงกำลังปรับปรุงกันอยู่ 
  2. กราฟิก ต้องพัฒนา ถ้าได้แค่ Polygon 3D ดูสักพักไม่สวยคนก็เลิกเล่น
  3. ผลกระทบ ญี่ปุ่น เมกา ยังมีเคสระนาว นึกถึงบ้านเรา เด็กแว็นซ์ซ้อนท้าย ส่ายหาโปเกม่อน จะเกิดอะไรขึ้น พอเกิดเคสมากๆ เกมจะกลายเป็นแพะ และอาจจะโดนแบนได้ง่ายๆ 

หมายเหตุ 1

ทั้งหมดนี้เป็นการรวบรวมจากสิ่งที่เคยเห็นมาเมื่อมีกระแสหลักๆ เข้ามาเท่านั้น แน่นอนว่าคงไม่ได้เห็นทุกอย่างมาทั้งหมด  

ทั้งหมดเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการทำการตลาด

หมายเหตุ 2

Pokemon Go มี Niactic เป็นผู้พัฒนา โดยมี Pokemon Co. เป็นผู้ให้สิทธิ์ Nintendo มีเอี่ยวเล็กๆ ผ่านทางหุ้น 25% ที่ถืออยู่ในบริษัท Pokemon Co. จึงเป็นเหตุให้หุ้น Nintendo พุ่งพรวด ตอน PG ออกวางตลาด

แต่พอคนรู้ความจริงว่า Nintendo มีส่วนเล็กๆ เท่านั้น หุ้นก็ร่วงกระแทกลงมา 

เกี่ยวกับผู้เขียน

Image 3

ผรินทร์ สงฆ์ประชา (อ๋อง)

ผู้บุกเบิก E-commerce ในธุรกิจค้าปลีก มีประสบการณ์ใน Ecosystem ทั้ง 4 คือ การตลาดออนไลน์ บริหารสินค้า ชำระเงิน และการขนส่ง ปัจจุบันมุ่งมั่นกับกลยุทธ์ Omni Channel เพื่อประสานโลกออนไลน์และโลกความเป็นจริงเข้าด้วยกันในระดับภูมิภาค

 
Source: thumbsup

The post สาเหตุที่ Pokemon เป็น App ในโทรศัพท์ปุ๊บ สะเทือนแผ่นดินสมาร์ทโฟน appeared first on thumbsup.

[Infographic] สรุปกระแส Pokemon GO บนโซเชียลมีเดียทั่วไทย ตัวไหนหายาก? ตัวไหนถูกพูดเยอะ? หาได้ที่ไหน? ไปดูกันเร็ว!

$
0
0

pokemon_trend

วันนี้ถ้าเราเห็นใครยืนจับกลุ่มกันอยู่แล้วก้มหน้าก้มตามองจอโทรศัพท์ในย่านชุมชนต่างๆ คงไม่แปลกใจ เพราะเดาได้ว่ากำลังจับ “โปเกมอน” อยู่ ทั้งเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่คนทำงานอย่างเราๆ ก็เล่นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ตัวเกมมีความท้าทายที่ผู้ชายก็ชอบ และมีคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนที่ผู้หญิงเห็นแล้วก็หลงรัก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะครองใจหลายๆ คน

เมื่อมันเป็นกระแสก็ย่อมมีคนพูดถึงกันบนโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก วันนี้เรามี Infographic สุด Exclusive มาเผยเพร่ให้กับ thumbsup เป็นที่แรก กับ “สรุปกระแส Pokemon GO ในเมืองไทย” บนสื่อโซเชียลมีเดีย ประกอบไปด้วย

  • สถานที่ที่ Lure คึกคักสุดทั่วประเทศ
  • 8 ห้างฮิตปล่อย Lure ฟรี
  • รายงาน 7 โปเกมอนหายาก โผล่ตามสถานที่ต่างๆ
  • 10 อันดับโปเกมอนที่คนพูดถึงเยอะสุด
  • อันดับทีมที่คนพูดถึงเยอะสุด และถูกพูดว่าอะไร

ขอขอบคุณเดต้าจากบริษัท Computerlogy และ Infographic สวยๆ โดย Infographic Thailand

Article infographic

ที่มา 

Computerlogy

บริษัทคอมพิวเตอร์โลจี ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟแวร์เพื่อเชื่อมต่อกับระบบโซเชียลมีเดียต่างๆ บนเทคโนโลยี Big data โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในบริษัทแรกของไทยที่ได้รับ Badge Facebook Marketing Partner มีความเชี่ยวชาญในหมวด Community Management อีกด้วย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์หลักคือ SocialEnable ระบบบริหารจัดการโซเชียลมีเดีย และ TH3RE ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหา Consumer Insights บนโลกออนไลน์

Infographic Thailand
แบรนด์ผู้ผลิต Infographic อันดับ 1 ของไทย รับปรึกษาและวางแผน Content Marketing กว่า 200 แบรนด์ที่ไว้วางใจทำงานกับเรา 

 
Source: thumbsup

The post [Infographic] สรุปกระแส Pokemon GO บนโซเชียลมีเดียทั่วไทย ตัวไหนหายาก? ตัวไหนถูกพูดเยอะ? หาได้ที่ไหน? ไปดูกันเร็ว! appeared first on thumbsup.


PR กับ Marketing แตกต่างกันอย่างไร และเราควรปรับปรุงมันอย่างไรในยุคดิจิทัล (ตอนที่ 1)

$
0
0

27214281 - word pr on newspaper. wooden letters

ผมเป็นพวกขี้รำคาญ เวลาเสิร์ชหานิยามความแตกต่างระหว่าง PR กับ Marketing ในบ้านเราส่วนใหญ่จะเจอแต่บทความเก่าทั้งที่สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการ PR และ Marketing เขาก็ปรับและอัปเดตนิยามกันใหม่หมดแล้ว วันนี้ขอมาอัปเดตนิยามรับยุคดิจิทัลกันหน่อย

นิยามของ PR

สมาคม Public Relations Society of America (PRSA) ระบุว่า การประชาสัมพันธ์คือ “กระบวนการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์แก่องค์กร และสาธารณชนของพวกเขา” (แปลมาจาก “Public relations is a strategic communication process that builds mutually beneficial relationships between organizations and their publics.” – ผู้แปล)

นิยามของ Marketing

สมาคม American Marketing Association (AMA) ระบุว่า “การตลาดคือ กิจกรรม กลุ่มของสถาบัน และกระบวนการสร้าง สื่อสาร ส่งมอบ และแลกเปลี่ยนข้อเสนอที่มีคุณค่าแก่ลูกค้า ลูกค้าองค์กร พันธมิตร และสังคมโดยรวม” (แปลมาจาก Marketing is the activity, set of institutions, and processes for creating, communicating, delivering, and exchanging offerings that have value for customers, clients, partners, and society at large. – ผู้แปล)

ข้างบนนี้คือความหมายแบบกว้างสุดๆ แต่ถ้าพยายามเจาะลงมาหา “นิยามเสริม” ในมุมมองของคนทำงาน นี่คือความคิดเห็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจครับ

ผมคิดว่า PR เป็นส่วนหนึ่งของ marketing นะ ถ้าจะเทียบว่าต่างกันอย่างไร น่าจะเทียบ PR กับ Advertising มากกว่า / PR ใช้ตอนมีเรื่องอยากพูด แต่พูดเองไม่ได้ เพราะคนไม่ฟัง หรือดูไม่ดี เลยต้องไปให้คนอื่นช่วยพูดถึง ซึ่งแต่ก่อนคือสื่อนั่นแหล่ะ เดี๋ยวนี้ก็มาใช้คนบ้าง เซเลปบ้าง ฯลฯ / ส่วน Advertising ก็พูดเองเลยไง / หลังจากเริ่มมีมาทับกันบ้าง แต่ส่วนตัวผมว่า Advertising ที่จริงใจก็ควรให้คนรู้ไปเลยนะ ว่านี่คือโฆษณา
– ศิวัตร เชาวรียวงษ์ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอ็ม อินเตอร์แอคชั่น จำกัด

Marketing เป็นศาสตร์แห่งการทำให้คนมาเป็นลูกค้า ซึ่งการที่จะทำให้คนมาเป็นลูกค้าได้ เข้าใจลูกค้าในทุกๆ แง่มุม แล้วหลังจากนั้น ก็จะต้องสร้าง “คุณค่า” ที่ลูกค้าต้องการ แลกกับอะไรบางอย่างที่ลูกค้ามี เช่น เวลา เงิน ฯลฯ ดังนั้น ใน Marketing ก็จะมีศาสตร์แห่งการสร้างคุณค่า หรือ เรียกกันว่า Product / Service Development ทีนี้เมื่อมี คุณค่าก็มีคำถามต่อว่า คุณค่าเหล่านั้น คนจะรู้จัก
> อยากซื้อ อยากแชร์ อยากใช้ อยากบอกต่อได้อย่างไร​ (Communications)
> จะไปรับคุณค่านั้นที่ไหน (Convenience หรือ Channel) และ
> จะยอมแลกคุณค่านั้นที่มูลค่าเท่าไหร่ (Cost)
> จะรักษาให้เค้ารักเราและอยู่กับเรานานๆ ได้อย่างไร (CRM)ทีนี้ไอ้ตรงทำให้คนรู้จัก (Communications) มันมีอยู่หลายหลาก แต่ที่ควบรวมมาครบๆ เพื่อทำ Communication มันจะถูกแบ่งออกเป็น Advertising (Digital + Traditional) / Personal Selling (เอาคนไปขายกับลูกค้าตรงๆ) / Events / Direct Marketing / และ PRซึ่ง PR นั่นเองคือศาสตร์แห่งการทำให้ สื่อ รัฐบาล คนดัง หรือ ชาวบ้านพูดให้ (โดยไม่จ่ายเงิน) ซึ่ง PR นั่นถูกพัฒนามาจากคำว่า Public Relation แปลว่า ความสัมพันธ์กับมวลชน (หรือประชาสัมพันธ์) PR ก็จะต้องมีการสร้าง Strategy ในการสื่อสารว่า เราจะทำอย่างไร ให้สังคม หรือมวลชนพูดถึงเรา ง่ายๆ ก็เช่น จัด Press Conference เชิญสื่อมาพูดถึงเรา หรือ พาคนไปโน่น ไปนี่เพื่อเล่าเรื่องบางอย่างออกมา ตามเป้าหมายหลักของการ Communication นั่นเอง ซึ่งถ้า Communication ทุกส่วนพูดเรื่องเดียวกันหมด จะเรียกว่า IMC นั่นเอง
ทีนี้ถ้าเราวางแผนในการทำ Marketing ให้มันมีระยะยาว ซ้ำๆ เน้นย้ำ ให้ลูกค้านึกถึงเราได้ตามที่เราต้องการ อันนั้นจะเป็นศาสตร์ต่อมาคือ Branding ครับ ซึ่ง Marketing + Branding ที่แทบจะแยกกันไม่ออกแล้วครับ
– สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล นักกลยุทธการตลาด การตลาดดิจิตอล และ การตลาดออนไลน์

ผมว่ามันคือคนละอย่างกันเลยโดยสิ้นเชิง เพราะ PR ไม่ต้องคิดหลายเรื่องที่ Marketing ต้องคิด เช่น ขายอะไร ขนาดสินค้า จำนวน SKU ขายด้วยอะไร พนักงานขาย ราคาเท่าไหร่ แต่ละขนาดราคาเท่าไหร่ ช่องทางการจัดจำหน่าย marketing มันกว้างกว่ามากๆ ผมว่า การเอามาเทียบกัน เหมือนกับเอารถกระบะไปเทียบกับ โต๊ะกินข้าว แต่ถ้าเทียบระหว่าง PR กับ การสร้าง Brand อาจสมน้ำสมเนื้อกว่า
– ตราชู กาญจนสถิตย์ ผู้อำนวยการสื่อสารการตลาดจากบุญรอด เทรดดิ้ง

PR มี KPI อยู่ที่ภาพลักษณ์ของสิ่งที่ต้องการ PR ให้เป็นอย่างที่ต้องการในสายตาของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เช่น ถ้าต้องการ PR ให้กระเป๋าแบรนด์หนึ่งเป็นแบรนด์ไฮโซจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มไฮโซเห็นว่าเป็นกระเป๋าไฮโซ หรือถ้าบริษัทต้องการให้เห็นภาพลักษณ์ว่าเป็นบริษัทอินเตอร์มีมาตรฐานจะทำอย่างไร หรือกรณีสถาบันการศึกษาที่ต้องการให้เห็นว่าเป็นสถาบันที่เน้นไฮเทคจะทำอย่างไรให้คนเห็นภาพนั้น โดยที่วัตถุประสงค์หรือ KPI คือ perception ของคนต่อสิ่งที่ต้องการทำ PR สำหรับเราแล้วถ้ามองตามศัพท์เลย Public Relation คือหวังผลที่ความสัมพันธ์กับคนหมู่มากไม่ได้เน้นกระตุ้นความอยากได้อยากเป็นเจ้าของโดยตรง แต่ถ้าการที่มี Perception แบบนี้แล้วอยากซื้อหรืออยากเป็นเจ้าของก็เป็นผลพลอยได้ที่ตามมาเท่านั้นMarketing มี KPI อยู่ที่ความสำเร็จตามงานนั้นๆ ขององค์กรที่ต้องการทำ marketing เช่น ถ้าเป็นบริษัทขายของความสำเร็จก็อาจจะอยู่ที่ยอดขายที่สูงขึ้น หรือถ้าเป็นสถาบันการศึกษาที่ต้องการรับนักศึกษาเพิ่มหรือเปิดสาขาใหม่ความสำเร็จก็อาจจะอยู่ที่การที่มีนักศึกษาสมัครเข้ามาเรียนมากขึ้นหรือมาสมัครในสาขาใหม่นั้นเพิ่มขึ้น ซึ่ง KPI จะออกแนวรูปธรรมจับต้องได้มากกว่าการ PR ที่เล่นกับ Perception ของคน
– ผศ.ดร. มัลลิกา บุญมี, มหาวิทยาลัยขอนแก่น

PR นำเสนอสิ่งที่บริษัททำหรืออยากนำเสนอ เพื่อให้คนข้างนอกรับรู้ ในรูปแบบที่ลูกค้าฟังแล้วรู้สึกดี รู้สึกได้ประโยชน์ อยากมาเป็นลูกค้าบริษัท Marketing วางแผนกลยุทธการดำเนินงานของบริษัท เพื่อให้ได้แผนที่ดีที่สุด ส่วนตัวมองว่านิยามไม่ตายตัว เพราะ Marketingปัจจุบัน มักเชื่อมกับการสื่อสารแก่คนนอก และ PR ในบางจุด คือการรับหน้าที่ถ่ายทอดสารจากผู้ใหญ่ในบริษัท (เทียบกองทัพโบราณ PR คือ adjutant marketing คือ strategist)
– พิรัตน์ โลกาพัฒนา (หมอแมว)

PR is centred on maintaining and enhancing a person’s, brand’s or company’s reputation. Marketing is centred on selling products and services. Of course, PR can be used to enhance marketing efforts, for example, through improving trust between customers or prospects and a brand. And vice versa, the right kind of marketing activities can positively impact a PR campaign. When marketing and PR strategies and tactics are aligned, so much more can be achieved than when undertaken in silos.
– Alana Fisher-Chejoski – Practice Director – Digital (APJ) Wipro Digital

Marketing คือกระบวนการที่จะส่งมอบสินค้า หรือบริการสู่ผู้บริโภค นับตั้งแต่การพัฒนาสินค้า การขาย บริการหลังการขาย การวิจัยตลาด การสร้างความน่าติดตาม ในขณะที่ PR จะเน้นเรื่อง ‘คน’ การทำให้ชื่อบริษัท และชื่อองค์กรปรากฏในสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในกระบวนการทำงาน PR จะถูกบูรณาการรวมเข้าไปในแผนการตลาด และการสื่อสารโดยรวม PR จะเป็นคนขัดเกลาและสร้าง Key Message ขององค์กรเพื่อให้สาธารณชน (ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า, ว่าที่ลูกค้า, นักลงทุน, พนักงาน, คู่ค้า, ผู้จัดจำหน่าย, สื่อ, นักข่าว, social networks, รัฐบาล) เข้าใจในทางเดียวกัน และที่สำคัญมันต้องถูกค้นหาผ่าน Digital technologies ได้
– Heidi Cohen – President, Riverside Marketing Strategies

เป้าหมายของ Marketing คือสร้างหรือนำพาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดให้คนซื้อ ตามแนวคิด 4P Product, Price, Promotion และ Place ตรงส่วน Product นั้นครอบคลุม R&D Price ครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตลาด Place คือเรื่องของทำเล และการจัดจำหน่าย ส่วน Promotion คือทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่การวิจัยการตลาด สู่การโฆษณา โปรโมชั่นส่วนลดส่วนเป้าหมายของ PR คือการสร้างความสัมพันธ์กับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่คนที่เป็นลูกค้า หรือว่าที่ลูกค้าเท่านั้น PR จะทำให้ทุกอย่างราบรื่น มันจะสร้างให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการให้เกิดความร่วมมือที่ง่ายต่อการทำการตลาด และเติบโตต่อไปในที่สุด อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารแบรนด์อย่าง Al Ries ได้เคยกล่าวไว้ว่า “PR เป็นคนจุดไฟ Marketing เป็นคนกระพือเปลวไฟ”
– Sally Falkow – Press-Feed

ในศตวรรษที่ 20 เมื่อเราทำแคมเปญในวิธีที่ Ford เคยสร้าง line ประกอบรถ มันจึงจำเป็นที่จะต้องแยก PR, Marketing, MarCom ให้ชัด แต่ในศตวรรษที่ 21 เราจำเป็นที่จะต้องสร้างนิยามใหม่ของกิจกรรม (ทั้ง PR, Marketing, MarCom) ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยการปรับปรุงการแบ่งแยกฝ่ายและแผนกภายในบริษัท, กระบวนการ, แนวปฎิบัติ, ข้อความ, และสื่อที่เกี่ยวข้องในภาพรวม เช่น ฝ่ายไอที (ไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาดฝ่ายเดียว) จะมาดูแลการปรับสมรรถภาพเว็บไซต์ ฝ่าย Customer Service (ไม่ใช่แค่ PR ฝ่ายเดียว) จะมาดู Social Media และ Corporate Communications (ไม่ใช่ MarCom ฝ่ายเดียว) จะมาดูแลการผลิต online video
– Greg Jarboe – SEO-PR

ไม่ควรจะมีความแตกต่าง รูปแบบของการสื่อสารควรจะรวมเข้าด้วยกัน รวมถึงวิธีที่คุณจะตอบโทรศัพท์ ส่งอีเมล โพสต์ Twitter และ Facebook ฯลฯ การสื่อสารควรนำเอาเครื่องมือที่มีทั้งหมดเข้ามาใช้ Customer Service ก็ควรพิจารณาให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร เพราะว่าถ้า customer service ห่วย ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเลยที่จะสำคัญ
– B.L. Ochman – What’s Next Blog

PR เป็นศาสตร์ประยุกต์ที่สามารถเข้าไปมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม และนโยบาย เมื่อเราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นคนหรือกลุ่มชุมชนต่างๆ ด้วยการสร้าง เปลี่ยน หรือเสริมความคิดเห็น และทัศนคติ
– Harold Burson, ผู้ก่อตั้ง Burson-Marsteller

อ่านความคิดเห็นอื่นๆ ทั้งหมด (ที่น่าสนใจไม่น้อย) เกี่ยวกับ PR และ Marketing ได้ใน Facebook Comment ในลิงก์นี้ครับ

อ่านมาสักพักแล้ว คิดว่าทุกคนคงพอเข้าใจแล้วว่า PR  กับ Marketing ต่างกันอย่างไร แต่ถึงกระนั้น เราทุกคนก็ทราบดีว่า PR และ Marketing เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน  เราไม่สามารถเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำอย่างหนึ่งน้อยๆ ทำอีกอย่างมากๆ

คิดง่ายๆ ว่าถ้าคุณจะขายของ (ด้วย Marketing) และทำให้คนรักแบรนด์ (ด้วย PR) ถ้าสินค้าไม่มีคุณภาพ บริษัทของคุณก็จะไม่มีทางได้รับความชื่นชอบจากสาธารณชน แต่ถ้าหากสาธารณชนไม่รู้สึกรักแบรนด์ของคุณ คุณก็อาจขายของได้ยากกว่าแบรนด์ที่มีคนรัก หรือขายได้ในราคาที่ไม่สูงนัก และส่งผลถึงอนาคตของบริษัทในที่สุด

แต่การจะทำ PR และ Marketing ให้ได้ผลดีที่สุดนั้น ในยุคปัจจุบันเราจึงจำเป็นต้องดึงเอา Digital technologies เข้ามาช่วยเรา นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าตอนนี้จึงเกิดศาสตร์ต่อยอดที่เรียกกันว่า Digital PR (การทำประชาสัมพันธ์ในยุคดิจิทัล) และ Digital Marketing (การทำการตลาดในยุคดิจิทัล) ขึ้นมานั่นเอง

เดี๋ยวตอนถัดไปผมจะกลับมาเล่าเรื่องระหว่าง Digital PR กับ Digital Marketing ต่อและเจาะลงไปในแง่ของโครงสร้าง แนวทางปฎิบัติ การวัดผลที่เหมาะสมของทั้ง 2 ศาสตร์ในยุคดิจิทัลนะครับ —> อ่านต่อตอนที่ 2

ข้อมูลประกอบข้อเขียน 

สัมภาษณ์นักประชาสัมพันธ์ และนักการตลาดไทยผ่าน Facebook

Marketing Versus PR: What’s the Difference โดย Heidi Cohen

The Difference Between Marketing and PR โดย Alex Honeysett

 
Source: thumbsup

The post PR กับ Marketing แตกต่างกันอย่างไร และเราควรปรับปรุงมันอย่างไรในยุคดิจิทัล (ตอนที่ 1) appeared first on thumbsup.

PR และ Marketing แตกต่างกันอย่างไร และเราควรปรับปรุงมันอย่างไรในยุคดิจิทัล (ตอนที่ 2)

$
0
0

59047741 - public relations (pr) concept. businessman offer pr agency services. double exposed with office in background.

อาทิตย์ก่อนผมได้ออกมาแปลและเรียบเรียงเนื้อหาเรื่อง PR กับ Marketing แตกต่างกันอย่างไร และทิ้งท้ายไว้ว่า เมื่อเรารู้ความต่างของมันแล้ว คราวนี้เราก็จะมาคุยกันว่าการทำ PR และ Marketing ในยุคดิจิทัล (ที่เรียกกันว่า “Digital PR” และ “Digital Marketing”) นั้น ทำอย่างไรถึงจะได้ผลดี วันนี้เลยกลับมาตามสัญญา พร้อมกับเจาะลงไปในแง่ของ 1.) โครงสร้าง 2.) แนวทางปฎิบัติ 3.) การวัดผล ที่เหมาะสมของทั้ง 2 ศาสตร์ในยุคดิจิทัลนะครับ

1. โครงสร้างองค์กรที่สอดรับกับแนวคิด Digital PR และ Digital Marketing

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเขียนลงรายละเอียดว่าโครงสร้างองค์กรของบริษัทที่คิดจะทำ Digital PR และ Digital Marketing นั้นควรจะเป็นอย่างไร เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ผมคิดว่ามันไม่ได้มีสูตรสำเร็จในการจัดตั้งองค์กร แต่มันก็พอจะแบ่งกว้างๆ ได้ 5 แบบ ตามที่ Econsultancy ระบุเอาไว้ในรายงานเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างภายในองค์กรยุคดิจิทัล เรื่องนี้รายละเอียดเยอะมากครับ แนะนำให้ซื้อ Report อ่านกันนะครับ (ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียนะครับ ฮ่าๆ)

Screen Shot 2559-10-02 at 3.58.48 PM

Dispersed structure: โครงสร้างแบบหลวมๆ ที่พนักงานที่มีความรู้ด้านดิจิทัลกระจายตัวอยู่ตามแต่ละแผนกของบริษัทอย่างไม่ค่อยเป็นระบบมากนัก หัวหน้าแผนกแต่ละทีมรู้ว่าดิจิทัลนั้นสำคัญ  เริ่มมีการรับสมัครพนักงานที่มีความรู้เข้ามา แต่ก็ยังไม่ได้ตอบรับกับภาพรวมขององค์กรเท่าไหร่ เช่น แผนก PR มี PR ที่ทำ Traditional PR อยู่แล้ว แล้วเริ่มหาพนักงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้าน Digital influencer เข้ามาอยู่ในทีม (แต่ก็ดันขาดประสบการณ์ เลยมองไม่เห็นภาพรวม ยังวัด KPI กันเป็น PR Value แบบเก่าๆ) หรือแผนก Marketing ที่มีหัวหน้าที่ผ่านงาน Marketing มาโชกโชน แต่ยังไม่แน่ใจว่า Digital Marketing ทำอะไรได้บ้าง ก็เลยหาพนักงานที่เก่ง Digital Marketingมา 1 คน แล้วค่อยๆ เพิ่มงบประมาณด้าน Digital

Screen Shot 2559-10-02 at 3.58.58 PM

The digital center of excellence (CoE): โครงสร้างแบบที่ดึงเอาพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมารวมตัวกันในทีมๆ เดียว มีผู้บริหารระดับ Head of Digital หรือ Chief Digital Officer คอยดูแล เช่น องค์กรเริ่มดึงเอาผู้บริหารที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมายาวนาน มาวางนโยบาย เสร็จแล้วก็โอนคนหรือรับคนเพิ่มมาเป็นลูกน้องของ Head of Digital โดยให้ Head คนนี้ค่อยๆ พัฒนาทีมกลางไป ส่วนทีมอื่นอยากทำ PR หรือ Marketing ก็มาถามทีมนี้ได้เลย ทีมนี้รู้ทุกอย่าง อันนี้เป็นโครงสร้างยอดฮิตในปัจจุบัน

Screen Shot 2559-10-02 at 3.59.57 PM

Hub and spoke model: การรวมตัวกันของทีมงานใหญ่อยู่ตรงส่วนกลาง และกระจายทีมเล็กไปในแต่ละส่วน เช่น มีทีมดิจิทัลทีมใหญ่ส่วนกลางอยู่กรุงเทพฯ และมีทีมเล็กอยู่ต่างจังหวัด โดยตรงส่วนกลางพัฒนาองค์ความรู้ และทำงานร่วมกับทีมเล็กที่จะเข้าใจในแต่ละภูมิภาคมากกว่า เราจะเจอโครงสร้างแบบนี้อยู่ในบริษัทใหญ่ๆ ระดับประเทศ แต่ยังไม่ออกไปเมืองนอก

Screen Shot 2559-10-02 at 4.00.28 PM

Multiple hub and spoke: เป็นขั้นกว่าของ Hub and spoke model แต่มีความซับซ้อนมากขึ้น กล่าวคือมีทีมงานที่เป็น Hub และ Spoke เพิ่มขึ้น เช่น บริษัทอเมริกันแห่งหนึ่ง มีทีมดิจิทัลเป็น CoE วงกลมอันใหญ่สุดอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้นก็แบ่ง Hub ไปแต่ละทวีป เช่น เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ ยุโรป โอเชียนเนีย และ Hub เหล่านี้ก็จะแตกย่อยลงไปในแต่ละประเทศของทวีปนั้นๆ เช่น ในเอเชียก็จะมี ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย

Screen Shot 2559-10-02 at 4.00.55 PM

Fully integrated ‘honeycomb’ structure: โครงสร้างสุดท้ายนี้เป็นโครงสร้างในฝันของทุกบริษัท พนักงานทุกคนมีความรู้ความสามารถ และเข้าใจเทคโนโลยี จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างทีมดิจิทัลขึ้นภายในมาเป็น CoE, Hub, Spoke อะไรอีกต่อไป ทุกทีมทำงานกันโดยมีความเข้าใจเทคโนโลยีดิจิทัลอยู่แล้ว เช่น ในทีม PR ทุกคนรู้หมดว่านักข่าว และ Blogger เป็นใคร ทำงานอย่างไร ใช้ Social Monitoring Tool เป็นทุกคน ทำ Real-time communication เป็นทุกคน แผนก HR มีความรู้ว่าจะต้อง Recruit คนผ่าน LinkedIn ได้เลย ทำ InMail เป็น ไม่ต้องคอยถามพนักงานคนใดคนหนึ่ง

คำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กร: จะเห็นได้ว่าโครงสร้างองค์กรยุคดิจิทัลนั้นไม่ได้ตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น วิสัยทัศน์ ความพร้อม งบประมาณ แต่ขอแนะนำว่าถ้าบริษัทไหนเปิดใหม่ ทำแบบ Honeycomb เลยจะดีที่สุดครับ (ของผมเองทุกคนเป็นแบบนี้) แต่ถ้าบริษัทของคุณเป็นบริษัทที่เปิดมานานแล้ว ทำโครงสร้างแบบ CoE ก็ดีครับ จัดระเบียบง่ายดี

2. แนวปฎิบัติที่สอดรับกับการทำ Digital PR และ Digital Marketing

แนวทางปฎิบัติของ Digital Marketing นั้นค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันในแวดวงธุรกิจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Digital Advertising, Content Marketing, Customer Experience Management, Data & Analytics, Ecommerce, Email & eCRM, Mobile, Search Marketing, Social Strategy, ฯลฯ แต่ Digital PR ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก จึงขอเน้น PR หน่อยนะครับ

Digital PR ไม่ใช่เรื่องการทำ Press release, การปั่นกระแส (spinning story), เชิญนักข่าวมาอีเวนท์, แต่มันคือกระบวนการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์แก่องค์กร และสาธารณชนของพวกเขา การทำงานของ Digital PR เล่นอยู่กับเรื่องของ ‘คน’ จึงต้องวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ และสร้างความสัมพันธ์กับผู้เกี่ยวข้องในโลกดิจิทัล (digital stakeholders) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แบรนด์ที่ดีในใจผู้บริโภค ความพึงพอใจของลูกค้า การบอกต่อในแง่ดี การเพิ่ม conversion rates การเพิ่ม Return on Investment (ROI) ฯลฯ

แต่ถ้าจะระบุให้ชัดเจนว่าแนวทางปฎิบัติประจำวันของ Digital PR เป็นอย่างไร มาดูกันหน่อยว่า PR แบบเดิมทำอย่างไร ขอลองไล่เรียงมาพอสังเขปดังนี้

  • เขียน Press Release เกี่ยวกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือสิ่งใหม่ของบริษัท
  • Pitching เรื่องทางบวกเกี่ยวกับบริษัทให้กับสื่อมวลชน (ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์)
  • สรรหาโอกาสในการไปพูดให้กับผู้บริหารขององค์กร ในอีเวนท์ของอุตสาหกรรมนั้นๆ รวมถึงภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
  • สร้างความสัมพันธ์กับสื่อ และผู้มีอิทธิพลทางความคิดในอุตสาหกรรมนั้นๆ
  • จัดการและอัปเดตข้อมูลข่าวสารของบริษัท
  • สร้าง talking points และสื่อสารกับสื่อเกี่ยวกับวิกฤตของบริษัท
  • อื่นๆ ที่อาจจะไม่อยู่ในสิ่งที่จะต้องทำประจำวัน เช่น การโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชน

แค่นี้จริงๆ ก็เยอะล่ะครับ… ว่าแต่ Digital PR ทำอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมได้บ้าง? ผมขอเอาขอบข่ายงาน PR แบบเดิมมาตั้งอีกที แล้วเติมในสีส้มนะครับ จะได้เห็นภาพชัดขึ้น

  • เขียน Press Release และทำ Content ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือสิ่งใหม่ของบริษัท ทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • Pitching เรื่องทางบวกเกี่ยวกับบริษัทให้กับสื่อมวลชน (ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์) รวมถึงการสื่อสารแบบ Real-time กับ Digital stakeholders คนอื่นที่เข้าถึงโลกออนไลน์ได้ เช่น นักลงทุน นักข่าวในอุตสหกรรมนั้นๆ
  • สรรหาโอกาสในการไปพูดให้กับผู้บริหารขององค์กร ในอีเวนท์ของอุตสาหกรรมนั้นๆ รวมถึงภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสร้าง Personal Branding ของผู้บริหาร และการไปร่วมบทสนทนาออนไลน์ของ Digital stakeholders คนอื่นที่เข้าถึงโลกออนไลน์ได้
  • สร้างความสัมพันธ์กับสื่อ และผู้มีอิทธิพลทางความคิดในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งผู้มีอิทธิพลทางความคิดนั้นมีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ รวมไปถึง Online community ที่สนใจสินค้าและบริการของเราด้วย เช่น ถ้าเราเป็น Toyota ก็ควรจะดูแลกลุ่มคนรักรถของแบรนด์ด้วย
  • จัดการและอัปเดตข้อมูลข่าวสารของบริษัท โดยรวม Social Media, Online Newsroom ไว้ด้วย
  • สร้าง talking points และสื่อสารกับสื่อเกี่ยวกับวิกฤตของบริษัท รวมถึงการทำงานประสานกับทุกแผนกของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ User Experience โดยรวม ไม่ใช่ทำงานเป็นแผนกๆ เหมือนยุคก่อน
  • อื่นๆ ที่อาจจะไม่อยู่ในสิ่งที่จะต้องทำประจำวัน เช่น การโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชน
  • ให้ความสำคัญกับ Audience ของแบรนด์ ด้วยการสร้างฐานแฟนให้กับตัวเองผ่าน Social Media 
  • รู้วิธีในการจัดการชื่อเสียงขององค์กรในยุคดิจิทัล ด้วยการทำ Social Crisis Management, Influencer Marketing, Content Marketing, SEO (Search Engine Optimization), และ SEM (Search Engine Marketing)

คำแนะนำเกี่ยวกับแนวปฎิบัติ Digital PR และ Digital Marketing: สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด PR และ Marketing ยุคแรกกับยุคใหม่ก็คือ มืออาชีพทางด้าน PR และ Marketing ยุคใหม่ นอกจากมีความเข้าใจ ‘คน’ แบบที่ PR ยุคแรกมีแล้ว เรายังควรมีความรู้ความเข้าใจว่า เทคโนโลยีดิจิทัลกระทบการสื่อสาร และชีวิตมนุษย์อย่างไร และเมื่อเข้าใจแล้ว เราจะสามารถมองภาพรวมออก

คำว่าเทคโนโลยีดิจิทัลนั้นกว้าง ไม่ใช่เพียงแค่ Social technologies, Search technologies, Content Creation แต่ยังรวมไปถึงการทำความเข้าใจ Mobile Operating System, Data Analysis, Algorithm ของ Platform ต่างๆ, User Experience ของเว็บ, Smart Device ซึ่งความรู้ความเข้าใจเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมืออาชีพทางด้าน PR และ Marketing ยุคใหม่จะต้องมี Digital lifestyle หรือเป็นคนที่ชื่นชอบและสนุกกับการใช้เทคโนโลยีในการใช้ชีวิต

ไม่เช่นนั้นต่อให้พยายามเรียนรู้แนวปฎิบัติยุคใหม่มากเพียงไร ก็จะไม่ ‘อิน’ กับเทคโนโลยีที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตเราอยู่ดี

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีการสื่อสารของคน พฤติกรรมคนก็เปลี่ยนตาม โครงสร้างองค์กร ตลอดจนแนวปฎิบัติก็ต้องเปลี่ยน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกับการวัดผลด้วย

3. การวัดผล KPI ของ Digital PR และ Digital Marketing

การวัดผลจะเริ่มต้นจากการมี “เป้าหมาย” ที่ชัดเจนก่อน ลองคิดง่ายๆ ว่าเหมือนกับเล่นฟุตบอล ถ้าเราไม่มี Goal เราจะยิงประตูได้อย่างไรล่ะ จริงไหมครับ? แต่ก่อนจะตั้ง KPI ก็ต้องตั้งเป้าหมายกันก่อน นี่คือตัวอย่างของเป้าหมาย และ KPI คร่าวๆ ฝั่ง Digital Marketing นะครับ

  • สร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย (KPI หลายๆ ครั้งจะเป็น Performance ของ Media เทียบกับยอดขาย หรือการ Survey ด้านการจดจำสื่อ)
  • กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจถึงปัญหาและอยากหาข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม (การวัดกราฟ Search Volume, การ Survey ด้านการจดจำสื่อ)
  • อธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการให้ถูกต้อง
  • ส่งเสริมการขาย (KPI ก็จะเป็นยอดขายเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่)
  • ช่วยเหลือลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว (KPI ก็จะเป็นยอดซื้อซ้ำ)
  • ฯลฯ

แต่ถ้าเราลองมาดูเป้าหมาย และ KPI ของฝั่ง Digital PR จะเห็นได้ว่าแตกต่างครับ ของฝั่ง PR จะออกแนวชื่อเสียง 

  • สร้างการรับรู้เชิงบวกของแบรนด์ให้กับสาธารณชนที่เกี่ยวข้อง (KPI เป็น Sentiment value คิดเป็น % ความรู้สึกเชิงบวก กลาง ลบ  // Survey // มีจำนวน social media followers เพิ่มขึ้นหรือไม่?)
  • สิ่งที่ผู้บริหารได้พูดในงานอีเวนท์ถูกสื่อนำไปพูดถึงต่อในทางที่ดีหรือไม่ (KPI เป็น Sentiment value คิดเป็น % ความรู้สึกเชิงบวก กลาง ลบ // จำนวนของบุคคลที่อยู่ในอีเวนท์ที่ได้รับสาร)
  • การได้รับรางวัลจากอีเวนท์ของอุตสาหกรรมนั้นๆ (KPI เป็นจำนวนรางวัล)
  • การได้รับการพูดถึงในเชิงบวกจาก social media followers, นักข่าว, influencers ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในภาพรวม (KPI เป็น Sentiment value คิดเป็น % ความรู้สึกเชิงบวก กลาง ลบ // จำนวน social media followers เพิ่มขึ้นหรือไม่)

PR บางท่านอาจจะบอกว่าเรายังมี KPI อีกแบบที่ใช้กันอยู่ นั่นคือ “PR Value” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการเปรียบเทียบแบบ Advertising Value Equivalency (AVE) นั่นอาจจะเป็น KPI ที่วงการ PR ไทยควรพิจารณาปรับเปลี่ยน เพราะที่มาของการวัดแบบนี้ เกิดจากการวัดขนาดของพื้นที่บนสื่อสิ่งพิมพ์ที่พูดถึงแบรนด์ของเรา เปรียบเทียบกับการซื้อพื้นที่ข่าวนั้นด้วยงบการตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่งในวันที่สื่อสิ่งพิมพ์กำลังเสื่อมถอย และบางส่วนทยอยปิดตัว

คำแนะนำเกี่ยวกับการวัดผลของ Digital PR และ Digital Marketing: มืออาชีพทางด้าน Digital PR และ Digital Marketing ควรพิจารณาถึง KPI ที่ช่วงใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายปีก่อนแล้วค่อนข้างมาก และในยุคที่เราวัดผลกันได้แทบจะทุกอย่าง เราควรจะรู้ว่าตัวเลขอะไรที่เราควรนับ อะไรที่เราไม่ควรนับ

 
Source: thumbsup

The post PR และ Marketing แตกต่างกันอย่างไร และเราควรปรับปรุงมันอย่างไรในยุคดิจิทัล (ตอนที่ 2) appeared first on thumbsup.

Thailand e-Commerce Week สัปดาห์อีคอมเมิร์ซไทย ที่คนไทยไม่ควรพลาด

$
0
0

ชั่วโมงนี้ตลาดความเคลื่อนไหวด้านอีคอมเมิร์ซถือว่ามีความคึกคักเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในประเทศไทยที่ทำบริการจนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนไทยหันมาใช้บริการอีคอมเมิร์ซมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศต้องกระโดดเข้ามาร่วมวง ยิ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากๆ ที่บอกถึงแนวโน้มการเติบโตที่นับวันจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ


ecomm1

ตัวเลขมูลค่าของอีคอมเมิร์ซจากภาพด้านบนโดย ETDA จะเห็นว่าประเทศไทยมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับประเทศในแถบอาเซียน ปัจจัยสำคัญที่มีการเติบโตนี้มีอยู่ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว, นโยบาย Digital Economy และด้านการทำธุรกรรมการเงินที่เราคุ้นหูกันดีว่า Any ID หรือพร้อมเพย์ ที่ทั้งสามอย่างพร้อมดันความก้าวหน้าและเริ่มเห็นผลกันบ้างแล้ว

ecomm2

แต่ที่ผ่านมาหากจะพูดถึงงานที่จะมีการพูดถึงอีคอมเมิร์ซจริงๆ จังๆ ในประเทศไทยเลยนั้นยังไม่มี แต่จะมีเป็นส่วนหนึ่งของงานด้านดิจิทัล จึงเป็นโอกาสอันดีในช่วงจังหวะที่มีการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ จัดงานขึ้นมาเพื่อทำให้ผู้ประกอบการ, เจ้าของแบรนด์, ผู้บริโภค และผู้ที่สนใจ ได้มาเรียนรู้, ต่อยอดทางธุรกิจ และอื่นๆ ได้ในงานเดียว นั่นคือ Thailand e-Commerce Week

ecomweek1

3 วัน 3 หัวข้อ 3 เวที กับวิทยากรมากกว่า 20 ท่าน

Thailand e-Commerce Week ถือเป็นงานแรกที่จะว่าด้วยเรื่องอีคอมเมิร์ซล้วนๆ โดยตลอดทั้ง 3 วัน จะมีหัวข้อใหญ่ 3 หัวข้อ ใน 3 เวที ที่คนที่สนใจหรือแม้แต่คนในวงการอีคอมเมิร์ซไม่ควรพลาดสักวัน

วันแรกของงาน 7 ตุลาคม 2559 มาในหัวข้อ Vision of e-Commerce

วิสัยทัศน์ทางด้านอีคอมเมิร์ซ จากการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แผนการดำเนินการด้านอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยถูกกำหนดหรือมีการวางแผนไว้อย่างไรบ้าง ในวันนี้มีวิทยากรจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง LINE ประเทศไทย, Google ประเทศไทย ที่จะมาแชร์เรื่องการสร้างแบรนด์และแนะนำกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ธุรกิจ SME ไม่ควรพลาด นอกจากนั้นจะมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการนำเอาอีคอมเมิร์ซมาใช้กับธุรกิจ ได้แก่ ร้านอาหารแหลมเกต ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ มาร่วมแชร์ประสบการณ์และวิธีการว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วด้วยออนไลน์

ETDA-Speaker-04ETDA-Speaker-02E  ETDA-Speaker-03A

8 ตุลาคม 2559 กับหัวข้อ Business

เจาะลึกเรื่องธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซจากผู้มากประสบการณ์ทางด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านอีคอมเมิร์ซที่ทำมาอย่างยาวนานอย่าง Tarad.com หรือจะเป็นผู้ให้บริการด้านเปรียบเทียบราคาอย่าง Priceza.com และเข้าถึงความเข้าใจของผู้บริโภคด้วยการใช้ Content โดยบริษัทเอเยนซี่ด้านการทำการประชาสัมพันธ์ในนาม Moonshot พร้อมกับเจ้าของแบรนด์ที่จะมาว่าด้วยเรื่องการปรับตัวจากออฟไลน์เข้าสู่ออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ พร้อมเปิดโอกาสให้ได้พบกับหน่วยงานรัฐ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรม และ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ETDA-Speaker-01A ETDA-Speaker-10

9 ตุลาคม 2559 ในหัวข้อ Consumer

รู้เท่าทันและเข้าใจผู้บริโภค เจาะลึกเรื่องนี้แบบเน้นๆ จาก Facebook, aCommerce ที่จะมาช่วยให้ผู้ขายเข้าใจผู้บริโภคในแง่มุมต่างๆ เพิ่มมากขึ้นด้วยเครื่องมือต่างๆ พร้อมกับการพูดคุยกับผู้ประกอบการหญิงที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาดีนั่นคือ ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ ที่นอกจากจะเป็นโค้ชการแสดงแล้ว ยังมีกิจการออนไลน์และปั้นแบรนด์บนโซเชียลได้สำเร็จ และสัมมนาจากสมาคมอีคอมเมิร์ซประเทศไทย ที่จะมาแนะนำตั้งแต่เริ่มต้นขายของออนไลน์, การทำโฆษณา และการรับมือกับดราม่าว่าหากเกิดขึ้นคุณควรทำอย่างไรบ้าง

ETDA-Speaker-09ETDA-Speaker-05

Business Matching

นอกจากงานสัมมนาแล้ว ยังมีการจัดโซนพื้นที่ในการเจรจาธุรกิจหรือ Business Matching เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในบรรยากาศร้านกาแฟสบายๆ สไตล์ Co-Working Space กับหน่วยงานชั้นนำ ซึ่งแบ่งเป็นโซนต่างๆ ได้แก่

  • โซน Platform : Facebook.com, Alibaba.com, TARAD.com, Google Thailand, LINE Thailand, Thaitrade.com
  • โซน Payment : ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, mPay, Pay Solution, Airpay, Pay4U
  • โซน Logistics : ไปรษณีย์ไทย, Nim Express, Lalamove, Shippop, @All, Sokochan, Nikko Logistics
  • หน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น

ซึ่งเป็นการเปิดกว้างให้สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดต่อธุรกิจ เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินและขยายตัวต่อไปได้ รวมไปถึงผู้ร่วมงานอาจได้ธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดจากการร่วมมือกับคู่ค้าใหม่ก็เป็นได้

ecomm3

จากรายละเอียดเบื้องต้นของงาน Thailand e-Commerce Week ที่เราบอกไปก่อนหน้า ถือได้ว่าเป็นงานที่ผู้ที่อยู่ในวงการออนไลน์หรือเป็นผู้ประกอบการไม่ควรพลาด เพราะตลาดการจัดงานในแต่ละวัน มีเนื้อหาที่จำเป็นและน่าสนใจสำหรับการดำเนินธุรกิจบนออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ ต้องไม่ลืมว่าลูกค้าที่อยู่บนออนไลน์ไม่ได้อยู่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น มันคือตลาดระดับโลก ดังนั้นการเติมความรู้เพื่ออัพเดทว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นและควรทำอย่างไรต่อไปจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งทุกอย่างสามารถหาได้ในงานนี้

ที่สำคัญที่สุด งานนี้ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น!!

Thailand e-Commerce Week จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2559 ที่ Plenary Hall 1 (เพลนารี ฮอลล์ 1) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:00

ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ที่  https://www.zipeventapp.com/e/Thailand-e-Commerce-Week-2016

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/etda.thailand

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post Thailand e-Commerce Week สัปดาห์อีคอมเมิร์ซไทย ที่คนไทยไม่ควรพลาด appeared first on thumbsup.

Creative Thailand 2016, Think Big รวมพลังความคิดสร้างสรรค์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี

$
0
0

creative-thailand

มาค้นพบศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ของประเทศไทย ในงาน Creative Thailand 2016 Think Big : สร้างสรรค์ สร้างชาติ จัดขึ้นพร้อมกับงาน 42nd BIG+BIH October 2016 ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์แสดงสินค้า ไบเทค บางนา รวบรวมนิทรรศการจากหน่วยงานชั้นนำด้านความคิดสร้างสรรค์ระดับประเทศมากมาย ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวเพื่อสร้างบันดาลใจต่อยอดสู่โอกาสใหม่ทางธุรกิจ ไฮไลท์สำคัญที่พลาดไม่ได้ คือกิจกรรมสัมมนาแห่งปีที่รวบรวมวิทยากรชั้นนำในหลากหลายพื้นที่ของธุรกิจสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จในระดบโลก เพื่อสรา้งแรงบันดาลใจไม่รู้จบ

ในการพัฒนาประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่การเป็น “Thailand 4.0” จำเป็นต้องมีการพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่ (New Engines of Growth) โดยอาศัยพื้นฐานจาก “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” ของประเทศที่มีอยู่ 2 ด้าน คือ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม” แล้วนำความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการต่อยอดการพัฒนาให้เกิดเป็น “ความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน” เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยก้าวสู่โมเดล “Thailand 4.0” ตามนโยบายของรัฐบาล

เพื่อตอบสนองนโยบายดังกล่าว ให้ประชาชนและนานาประเทศได้เข้าใจและรับรู้ถึงการก้าวสู่ความเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย ทางภาครัฐและเอกชนจึงได้จัดงาน Creative Thailand ขึ้น ซึ่งเป็นงานมหกรรมความคิดสร้างสรรค์ของไทย ภายใต้สโลแกน “Think BIG: กล้าคิด กล้าทำ สร้างสรรค์ สร้างชาติ” โดยเป็นการบูรณาการทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุม   และนิทรรศการ (องค์การมหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มหาวิทยาลัยต่างๆ หน่วยงานประชารัฐ เป็นต้น

กิจกรรมภายในงาน

ภายใต้แนวคิด Think BIG: กล้าคิด กล้าทำ สร้างสรรค์ สร้างชาติ” จะเป็นการแสดงนิทรรศการจากหน่วนงานต่างๆ ให้ประชาชนได้เข้าใจถึงเส้นทางการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชน โดยมีการรวบรวมสินค้าและบริการจากนักสร้างสรรค์มากมาย วัฒนธรรมไทยสร้างสรรค์ที่หลากหลายจากหลายท้องที่ จุดประกายความกล้า เรียนรู้กระบวนการคิด เปิดโอกาสทางธุรกิจ สร้างแรงบันดาลใจผลักดันเศรษฐกิจไทย ให้เข้มแข็งและยั่งยืน โดยในงานจะได้พบกับสินค้าและบริการของเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากหน่วยงานและบริษัทต่างๆ โดยแบ่งออกเป็นโซนทั้งหมด 5 โซน ดังนี้

Zone 1 : Baht & Brain

  • นิทรรศการ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์สำคัญไฉน?” เพื่อแสดงภาพรวมเป้าหมาย และศักยภาพของประเทศไทยในการขับเคลื่อน Creative Economy เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่

zone_01

Zone 2 : Creative World

  • นิทรรศการตัวอย่างความสำเร็จของเมืองในประเทศต่างๆทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จ

zone_02

Zone 3 : Creative District

  • ถอดรหัส Creative Thai DNA เพื่อนำมาสร้างเป็น Creative District เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับพื้นที่และชุมชนต่างๆทั่วประเทศไทยในการพัฒนาให้เกิดเป็นชุมชนคนสร้างสรรค์

zone_03

Zone 4 : Think Big

zone_04

  1. Future Pavilion: Pavilion อนาคต ซึ่งจะแสดงให้เห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่จะนำมาใช้เพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Soldier Stimulation, Medical Stimulation, Properties Stimulation (รายละเอียดและรูปภาพตามเอกสารแนบ)
  2. 60 Plus Pavilion: Pavilion สังคมสูงวัย 60+ แนวคิดและโอกาสของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอนาคตที่กำลังจะเข้าสู่ Aging Society ยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายที่รอคุณอยู่สำหรับสังคมสูงวัยพร้อมสัมผัส กับประสบการณ์ผู้สูงวัยที่คุณยังไม่เคยเป็นมาก่อน โดยการจำลองร้านอาหารสำหรับผู้สูงอายุในญี่ปุ่นมาเปรียบเทียบกับร้านอาหารทั่วไป ทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้สัมผัสถึงความรู้สึกของผู้สูงอายุว่า ร้านอาหารปกติ(ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับผู้สูงอายุ) เมื่อใช้งานจะเกิดความรู้สึกอย่างไรและเปรียบเทียบกับร้านอาหารที่มีการออกแบบโดยการนำฟังก์ชั่นการใช้งานของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ออกแบบมาอย่างลงตัวเพื่อรองรับการใช้งานของผู้สูงอายุ
  3. Think Big Challenge Pavilion : เวทีสำหรับผู้กล้าที่มีไอเดียอยากหานักลงทุน กิจกรรมสนุก สร้างประสบการณ์สำหรับคนกล้า คนสร้างสรรค์ โอกาสของคุณอยู่ที่นี่ และ Mini Theater แสดงศักยภาพ Digital Contents ประเทศไทย ตัวอย่าง Animation ได้แก่
  • NINE ของ the Monk Studios (11 winning awards /22 Official selections
  • เรื่องสยองสองนาที ของ Alternate & Riff
  • Life of Fire ( Official Selection Annecy, France)
  • ทองหล่อ จาก คุณทองแดง ดิ อินสไปเรชั่น
  • Dead-Line Project รางวัลประยุติ เงากระจ่าง
  • Prince Johney, Official Selection ในงานเทศกาลภาพยนตร์ฝรั่งเศส
  1. Think Big Showcase: ผลงานจากนักสร้างสรรค์ไทย 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่

4.1 Service: นักสร้างสรรค์เกมไทยผู้ได้รับรางวัลในเวทีเกมโลกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • ARAYA (อารยา) เกมผีแบบไทยแท้ 100% ที่ได้รับการโหวตให้สามารถนำขายได้บน Platform Steam ซึ่งเป็นแหล่งขายเกม PC ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก โดยเป็นเกมแบบ Virtual Reality ซึ่งจะแถลงข่าวเปิดตัวในปลายเดือนตุลาคม แต่ทุกท่านสามารถสัมผัสเกมนี้ได้ก่อนใครที่งาน Creative Thailand เท่านั้น
  • Timelie ฝีมือนักศึกษาไทยที่ไปคว้ารางวัล ในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีของนักศึกษาที่ดังที่สุดในโลก อย่าง. Microsoft imagine cup ประเภทเกม โดยเอาชนะตัวแทนประเทศ 10 ทีมสุดท้ายที่มาจากประเทศอังกฤษ เกาหลีใต้ สเปน ฯลฯ ได้ที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา
  • Thapster TV เกมแรกจากประเทศในเอเชียตะวันออกเชียงใต้ที่ขึ้นอันดับ 1 ใน App Store ที่ต่างประเทศได้! Sinoze เป็นบริษัท start up เกมไทยที่ได้รับเงินลงทุนจาก Invent ของไทย
  • Studio Hive ใช้ความคิดสร้างสรรค์รับจ้างวาดภาพประกอบหนังสือการ์ตูน แอนิเมชั่น และเกม รวมถึงออกแบบหุ่นสะสมให้กับบริษัทดังๆ อย่าง Walt Disney และ franchise เด่นๆ อย่าง Starwar, Batman และ marvel คาแรคเตอร์ไทยที่ได้รับรางวัลในเวทีระดับนานาชาติ
  • แกะชูชีพ จาก facebook page “Eat All Day” มิตรรักนักกิน ผู้จะมาชวนให้คุณลืมเหล่า โฆษณาลดน้ำหนัก แล้วมากินกันแบบไม่มีพักทั้งของคาวหวาน Prize : อันดับที่ 2 “ASEAN Character award 2015”
  • “Bloody Bunny” จากตุ๊กตาน่ารักกลายมาเป็นกระต่ายฮีโร่สายโหด ผู้เกลียดความฟรุ๊งฟริ๊ง คำเตือน! ระวังกระต่ายดุ Prize : อันดับที่ 1 “ASEAN Character award 2014”
  • “ติดลม” เป็นควายหนุ่มบ้านนอกนักประดิษฐ์ ที่มีความใฝ่ฝันอยากจะบินด้วยภูมิปัญญา ชาวบ้านผสมกับความรู้เรื่องนวตกรรมใหม่ๆ จาก “เฉวียน” เอี้ยงนกเพื่อนคู่หู Prize : อันดับที่ 2 “ASEAN Character award 2016”

4.2 Lifestyle

  • Talent Thai รวมนักสร้างสรรค์เครื่องเรือน เครื่องใช้ รุ่นใหม่มากที่สุดของประเทศไทย

4.3 Craft

  • จากสินค้าพื้นถิ่นสู่หัตถศิลป์ระดับโลก ISSAN Project

4.4 Food

  • จากสินค้าอาหารธรรมดาในอดีต นำมาใส่ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหวาน ผลไม้แปรรูปต่างๆ ที่ไม่เหมือนใคร เช่น แคบหมูป๊อปคอร์นน้ำมะพร้าวโซดา ข้าวต้มมัดไม่ต้องแช่เย็น เป็นต้น

4.5 Sport

  • จากวัฒนธรรมของมวยไทยที่มีชื่อเสียง สามารถนำมาใส่ความสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่าและนำมาพัฒนาเป็นธุรกิจได้มากมาย ซึ่งจะพบกับตัวอย่างธุรกิจได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้ามวยไทยสำหรับสัตว์เลี้ยง การ์ดมวยไทยสาม มิติ ธุรกิจท่องเที่ยวเกี่ยวกับมวยไทย เป็นต้น
  1. Local Startup (เอกชน)
  • จากสินค้าพื้นบ้าน ใส่ความคิดสร้างสรรค์และภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าไทยสู่ตลาดโลก
  1. One Stop (Creative) Service
  • จุดให้คำปรึกษาครบกระบวนการของรัฐบาล ใครมีไอเดียอยากสร้างธุรกิจ ปรึกษาครบจบทันใจ ขอให้คุณกล้าคิด เราจะช่วยให้คุณกล้าทำ

7. Design Services

  • รวมที่ปรึกษาด้านความคิดสร้างสรรค์ จากสมาคมสร้างสรรค์ทั่วประเทศ ใครอยากออกแบบ อะไรเริ่มต้นได้ง่ายๆที่นี่ หากคุณมีสินค้า แต่อยากเพิ่มความสวยงาม เพิ่มมูลค่า ปรึกษาฟรี! ได้ที่นี่
  1. Banks and Venture Capitals
  • รวมธนาคารและกองทุนสร้างสรรค์ ให้นักสร้างสรรค์ไทยได้พูดคุย ระดมทุนสร้างความฝันให้เป็นจริง ขอให้คุณมีไอเดีย เรามีคนที่พร้อมจะลงทุนไปกับคุณ
  1. University
  • การแสดงนิทรรศการและการออกบูธของสถาบันอุดมศึกษาของไทย ที่สร้างแรงบันดาลใจ
  1. SACICT (ศูนย์ศิลปาชีพ)
  • ที่สุดแห่งความคิดสร้างสรรค์ของชาติ สุดยอดงานหัตถศิลป์ของไทยที่สร้างสรรค์จากวัฒนธรรมสู่สากล
  1. Creative Thailand Stadium
  • แลนด์มาร์คภายในงาน ซึ่งจัดแสดงตัวอย่างสื่อสร้างสรรค์ไทย จากสมาคมต่างๆ

และโซนสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของงานนี้

Zone5 : TALK Symposium

06_CTh_promo

Symposium แรงบันดาลใจจากนักสร้างสรรค์หลากหลายระดับโลก ซึ่งในแต่ละวันจะมีหัวข้อแตกต่างกันไป ตลอดทั้ง 5 วัน 5 หัวข้อ ดังนี้

Screen-Shot-2559-10-17-at-10.15.35-PM

Screen-Shot-2559-10-17-at-10.15.49-PM

Screen-Shot-2559-10-17-at-10.15.56-PM

งานด้านนี้ถือว่าครบเครื่องและไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ใครที่สนใจมีจัดจุใจถึง 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม ถึง 23 ตุลาคม ที่ศูนย์แสดงสินค้า ไบเทค บางนา โดยจัดพร้อมกับงาน 42nd BIG+BIH October 2016

งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่นี่ Creative Thailand Symposium

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

The post Creative Thailand 2016, Think Big รวมพลังความคิดสร้างสรรค์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี appeared first on thumbsup.

“อาหารคือหลักฐานของความรัก” แคมเปญผูกสายใยครอบครัวบนโต๊ะอาหาร

$
0
0

Knorr-Flavour-of-Home-2

ในภาวะเร่งรีบของสังคมในยุคปัจจุบัน หลายต่อหลายคนค่อยๆ เปลี่ยนความเคยชินแต่ละวัน ให้ง่าย เร็ว เพื่อตอบโจทย์เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด จนบางครั้งลืมความสุขในการทานข้าวกับครอบครัว “ที่บ้าน” ไปแล้วด้วยซ้ำไป แคมเปญที่จะพูดถึงนี้ จะทำให้ภาพทุกอย่างกลับมา…

Flavour of Home คือแคมเปญที่พยายามจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ให้กับสังคม ที่อยากให้ทุกคนกลับมาคิดถึงอาหารที่บ้าน และทานอาหารร่วมกันในครอบครัวมากขึ้น ซึ่งแบรนด์ระดับโลกเอง ก็มีการนำ Key Message เดียวกันนี้มาใช้เช่นกัน ซึ่งของไทยเองก่อนหน้าหากใครยังจำกันได้ แคมเปญนี้ถูกพูดถึงมาแล้วในชื่อ “เมื่อปิ่นโตออกเดินทาง” กับเรื่องราวการส่งความรักผ่านการทำอาหารของคุณแม่ให้คุณลูก

คราวนี้ทางคนอร์ได้ทำเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นมุมมองที่คนทานไม่เคยเห็น และคนทำไม่เคยได้สัมผัส ผ่านเรื่องราวของ Life Swap ที่ให้เห็นว่า หากลองสลับบทบาทกันเราจะค้นพบมุมมองและเข้าใจอะไรมากขึ้น โดยเพิ่มความพิเศษด้วยแขกคนสำคัญคือครอบครัว คุณกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ซึ่งการเลือกครั้งนี้น่าสนใจมากสำหรับคนอร์

ในเรื่อง มีความพยายามที่จะเล่าถึงมุมมองต่ออีกฝ่าย ที่ทั้งฝ่ายสามีคือคุณกอล์ฟ และภรรยาอย่างคุณเบลล์ ส่วนตัวศิลปินฮิพฮอพอย่างคุณกอล์ฟนั้น มีมุมมองในชีวิตที่ ทั้งเรื่องอาชีพ เรื่องครอบครัวและภรรยา ที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกัน มุมมองของคุณเบลล์ ภรรยาคุณกอล์ฟที่มีต่อเขา ก็น่าสนใจมากเช่นกัน จากมุมมองคนภายนอกมักจะเห็นภาพที่ทั้งคู่มีความรักให้แก่กันและกัน แต่ในอีกมุมทั้งคู่ก็มีสิ่งที่ไม่เข้าใจกันอยู่อีกมาก

 

เมื่อเราได้จับคนทั้งสองคนมาลองสลับบทบาทกันดู เราก็ได้เห็นมุมมองความรักของครอบครัวของทั้งคู่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยที่ทางคนอร์เองก็นำเอาแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วม และมีบทบาทอย่างชัดเจน กับการเป็นส่วนผสมของอาหารที่ทำด้วยความรัก

ทางคนอร์เองน่าจะมีมุ่งเน้นให้ภายหลังการชมวิดีโอสั้นๆ นี้ จะทำให้ครอบครัวรักกันมากยิ่งขึ้น คนทำอาหารได้กำลังที่ดีจากคนกิน ทำให้อยากที่จะทำอาหารให้กินมากขึ้นในทุกๆ วัน ในขณะเดียวกันคนกินก็รู้สึกได้ถึงความรักที่คนทำมอบให้ ให้คำขอบคุณ หรือบอกรักเขาในทุกวันได้ง่ายๆ เพียงแค่กลับมากินข้าวด้วยกันที่บ้านให้หมดจาน ตามคำนิยามของแคมเปญ “อาหารคือหลักฐานของความรัก” นั่นเอง

ในมุมมองของเรา หากจะให้นึกถึงสิ่งที่แคมเปญนี้ใช้เพื่อความสำเร็จ ก็คงเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจริง บอกเล่าออกมาผ่านวิดีโอ ที่ให้เห็นมุมมองที่คนกินไม่เคยเห็น และคนทำอาหารไม่เคยได้สัมผัส ซึ่ง Life Swap ที่ให้เห็นว่า ถ้าเราลองสลับบทบาทกันเราจะค้นพบมุมมองและเข้าใจอะไรมากขึ้น

และเราเชื่อเหลือเกินครับ ว่าหลังการดูคลิปเรื่องราวของคุณกอล์ฟและครอบครัว คุณเองก็คงอยากจะลองลงมือทำกับข้าวเพื่อส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้คนที่คุณรักและใกล้ชิดบ้างไม่มากก็น้อย

บทความนี้เป็น advertorial

 

 
Source: thumbsup

The post “อาหารคือหลักฐานของความรัก” แคมเปญผูกสายใยครอบครัวบนโต๊ะอาหาร appeared first on thumbsup.

เมื่อ “น็อตหลุด”จนกลายเป็นเรียลไทม์คอนเทนต์ “กราบรถ…”

$
0
0

เย็นวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน บนโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปดาราวัยรุ่นคนหนึ่งด่าทอผู้ขี่จักรยานยนต์ท่านหนึ่งและมีการพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาว่าให้กราบรถ… (ตัวฉันในภาษาตรงไปตรงมา) โดยรายละเอียดของเรื่องเราคงไม่พูดถึง แต่สิ่งที่เราจะมาพูดก็คือ “ความไว” ของคนออนไลน์ในเรื่องความเป็น Creative เพราะเพียงไม่นาน ก็มีเนื้อหาที่เอามาล้อเรื่องนี้กันอย่างมากมาย

เจ้าแรกเลยคงหนีไม่พ้น รถสีเหลือง ที่เพจ MINI-TH รีบชิงพื้นที่ก่อนใครเพราะเป็นรถที่ถูกตั้งเป็นโจทย์ให้เข้าไปกราบ

จากนั้นก็เริ่มมีการ์ตูนออกมาล้อเลียนหลายเจ้า แถมยังไปล้อกับคนที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กันก่อนหน้านี้ (ไม่ขอเอ่ยชื่อ แต่คงนึกกันออกนะครับ)

แต่ที่แน่ๆ การทำเรียลไทม์คอนเทนต์ ก็ยังคงต้องอยู่ในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องคิดเป็นมาตรฐานทุกครั้ง

แม้แต่งานขายของ ก็มาเร็ว…

ที่ขาดไม่ได้ก็คือ วงใน ที่มาแบบ รวมร้านของ Mini อร่อยจนต้องกราบ https://www.wongnai.com/listings/restaurant-with-mini-menu

มินิกราบ

อ่านบทสัมภาษณ์ คุยกับทีมดูแล Content และ Social แห่ง Wongnai ผู้สร้างกระแส Real-Time Content บนโลกโซเชียลและออนไลน์

จริงๆ มีอีกหลายรูป แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง เราเลยขอไม่หยิบมานะครับ ลองค้นหาได้ง่ายๆ ด้วยคำว่า กราบ รถ ก็จะเจออีกหลายรูป

แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่มีคน “สนุกจนเกินเลย” ก็คือมีคนเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Wikipedia ของคุณน็อต ซึ่งความเห็นส่วนตัวของเราก็คือเรืองที่ไม่ควร เพราะมันเป็นแค่ความสนุกเพียงอย่างเดียว คงไม่มีใครที่อยากจะถูกแก้ข้อมูล โดยปัจจุบันถูกล็อกการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่มองได้จากเหตุการณ์นี้คือ พื้นฐานความไวและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ยังคงเร็วและคงความตลกอยู่เป็นหลัก, การที่แบรนด์ ที่รีบเข้ามาเก็บเรื่องนี้ก่อนใคร (แม้จะไม่ใช่แบรนด์ตรง แต่เป็นเพจ Fanclub ของรถ) ทุกสิ่งอย่างอยู่ที่เรื่องที่จะเล่า แต่อีกอย่างที่เราเห็นคือความกระชับ ที่เราเห็นประโยคที่เด็ดขาด ไม่ต้องยืดยาว แต่โดนปังเดียวจบ

แบรนด์ไหนที่คิดจะเล่นเรื่องนี้ ดูแล้วอาจจะต้องอยู่เฉยๆ ดีกว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ดูแล้วอาจจะสร้างงานให้เข้าตัวแบรนด์มากกว่าชื่อเสียง

ส่วนเรื่องราวจริงๆ ของเรื่องรถสีเหลืองจะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีการหงายการ์ดอะไรออกมา อยู่ที่เจ้าตัวเองละครับงานนี้…

 
Source: thumbsup

The post เมื่อ “น็อตหลุด” จนกลายเป็นเรียลไทม์คอนเทนต์ “กราบรถ…” appeared first on thumbsup.

ยกระดับการชำระเงิน ทั้งสะดวก ทั้งปลอดภัย กับ “Samsung Pay”

$
0
0

samsung-pay-galaxy-olympic-experience

ปัจจุบันการจับจ่ายใช้สอยบนอุปกรณ์พกพาเป็นที่นิยมและมีความแพร่หลายมากขึ้นในทุกขณะ เหตุผลหลักคือผู้คนเริ่มมีความมั่นใจในธุรกรรมบนโลกออนไลน์ที่มากขึ้น พร้อมกับเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสำหรับการชำระเงินเองก็มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้น จึงทำให้การซื้อของผ่านโทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นเรื่องที่เห็นกันได้อย่างชินตา อย่างไรก็ดี เวลาที่ไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้า เรายังต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อทำธุรกรรมอยู่ด้วยความเคยชิน แต่ถ้าเราจะเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวมาช่วยในเรื่องนี้ จะทำให้คุณไม่ต้องพกบัตรพลาสติกในกระเป๋า…มันจะดีแค่ไหน?

อันที่จริงแล้วการใช้โทรศัพท์มือถือในการชำระเงินไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเริ่มมี ถ้าย้อนกลับไปเรามีระบบการสร้างกระเป๋าเงิน หรือ Wallet ผ่านแอปพลิเคชัน เราสามารถเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินจำลอง และชำระค่าสินค้าหรือบริการได้จริงที่จุดรับชำระ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือร้านค้าต่างๆ อย่างไรก็ตามรูปแบบดังกล่าวยังคงเป็นรูปแบบของเดบิต หรือการใส่เงินเข้าไปในระบบก่อน จึงสามารถที่จะใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการได้ ซึ่งแตกต่างจากบัตรเครดิตอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้เรื่องของความปลอดภัย ก็ยังถือเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ให้บริการต้องตระหนัก เพราะหลายงานสำรวจพบว่าสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือช่องทางออนไลน์ ก็เพราะกังวลเรื่องของความปลอดภัยนั่นเอง

และเมื่อผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก อย่าง Google และ Apple ออกโรงเปิดระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ที่ชื่อว่า Android Pay และ Apple Pay โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสื่อกลาง เพื่อให้คนไม่จำเป็นที่จะต้องควักบัตรพลาสติกออกมาชำระเงิน ก็ทำให้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการพกบัตรเครดิตจำลองอยู่บนโทรศัพท์มือถือ ที่ถือได้ว่ากลายเป็นอวัยวะอีกชิ้นที่ติดตัวทุกๆ คนอยู่ตลอดเวลา

Samsung ในฐานะผู้นำด้านการผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ก็กระโดดลงมาในสังเวียนนี้ด้วยเช่นกัน โดยเปิดให้บริการ “Samsung Pay” ที่ผู้ใช้สามารถใช้สมาร์ทโฟนของตัวเอง เพิ่มบัตรเครดิตของธนาคารที่ร่วมบริการ และใช้งานแทนบัตรพลาสติกในกระเป๋าได้ทันที แน่นอนว่าการเข้ามาแข่งกับผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการอย่าง Google และ Apple นั้น Samsung ก็ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นการยากที่จะยกระดับของบริการให้เหนือกว่าบริษัททั้งสอง

3-usp-samsung-pay

ปัจจุบันสิ่งที่ยังเป็นข้อจำกัดของทั้ง Apple Pay และ Android Pay ก็คือการใช้งานกับเครื่องรูดบัตร หรือที่เราเรียกกันติดปากกว่าเครื่อง EDC (Electronic Data Capture) ซึ่งจะต้องรองรับระบบ NFC เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติเครื่องรูดบัตรประเภท NFC (เช่น VISA Paywave) นั้นมีจำนวนน้อยมาก เพียง 5-6% ของเครื่องรูดบัตรในเมืองไทยทั้งหมด นั่นทำให้บริการทั้งสองยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนักในประเทศเรา

แต่สิ่งที่ Samsung ทำก็คือการนำเทคโนโลยี MST หรือ Magnetic Secure Transmission ที่จะทำให้สามารถใช้จ่ายบัตรเครดิตสำหรับเครื่อง EDC ที่เป็นแบบเครื่องอ่านแถบแม่เหล็กแบบเดิมได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง นั่นหมายถึงเครื่องรูดบัตรแทบจะทั้งหมดจะสามารถรองรับบริการ Samsung Pay ได้ทั้งสิ้น (เครื่องอ่านบัตรประเภทชิพ ปกติจะรองรับการใช้แถบแม่เหล็กได้เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว) โดยที่ทาง Samsung ยกจุดเด่นของบริการ Samsung Pay สามเรื่องหลักๆ ก็คือ “ง่าย” “ปลอดภัย” และ “สะดวก” คือ

“ง่าย” – การใช้งาน Samsung Pay บนสมาร์ทโฟนของ Samsung รุ่นที่รองรับนั้นง่ายมากๆ ครับ เพียงแค่เรียกบัตรโดยลากนิ้วขึ้นจากจอด้านล่าง เลือกบัตรที่ต้องการใช้ชำระสินค้า (ในเครื่องสามารถบรรจุบัตรเครดิตสูงถึง 12 ใบ) และแตะนิ้วเพื่อยืนยันตัวตน ก็สามารถนำสมาร์ทโฟนไปแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชำระเงินได้แล้วครับ

“ปลอดภัย” – นอกจากจะใช้นิ้วมือเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของบัตรเครดิตนั้นแล้ว (ซึ่งถึงคุณถูกขโมยบัตรไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกนำบัตรเครดิตไปใช้) Samsung Pay ยังทำงานอยู่บน Samsung Knox แพลตฟอร์มด้านความปลอดภัย ที่ทำให้คุณไร้กังวลแม้ว่าโทรศัพท์จะหาย คุณจะอุ่นใจได้ว่าไม่มีใครสามารถนำบัตรเครดิตของคุณไปใช้ได้ แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม

และ “สะดวก” – อย่างที่บอกไปครับ Samsung Pay รองรับเทคโนโลยี MST และ NFC นั่นทำให้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรูดบัตรแบบใด ก็สามารถที่จะใช้งานได้ ทำให้สะดวก ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องพกบัตรพลาสติกอีกต่อไป

samsung-model-bankสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการใช้งาน Samsung Pay นั้น เพียงคุณใช้สมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ เช่น Samsung Galaxy S7, S7 edge, S6 edge+, Note5, A7 และ A5 เวอร์ชัน 2016 (A9 Pro จะใช้ได้เร็วๆ นี้) รวมทั้งเป็นเจ้าของบัตรเครดิตธนาคารที่ร่วมรายการ เช่น ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารซิตี้แบงค์, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงศรีฯ และธนาคารกรุงเทพ (สองธนาคารหลังจะใช้ได้ในวันที่ 1 และ 15 ธันวาคมนี้ ตามลำดับ)

คุณสามารถตรวจสอบร้านค้าที่ร่วมรายการ และโปรโมชั่นการใช้งาน Samsung Pay ได้ และข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.samsung.com/th/samsungpay/

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

The post ยกระดับการชำระเงิน ทั้งสะดวก ทั้งปลอดภัย กับ “Samsung Pay” appeared first on thumbsup.


Twitter ยังเป็น Social Network ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอยู่หรือไม่?

$
0
0

twitter-timeline2-1920-800x450

คนที่ติดตามข่าวธุรกิจ Social Media คงจะเห็นอัปเดตเกี่ยวกับ Facebook ทุกวันอยู่แล้ว ส่วน Twitter นานๆ ทีจะโผล่มาที ทว่าช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่า Twitter มีข่าวการเปลี่ยนแปลงเยอะ เลยขอเอามาสรุปให้อ่านกันทีเดียว เช่น การเลิกจ้างพนักงานราว 9% ทั่วโลกปิดบริการวิดีโอขำขัน Vine (แต่บริการวิดีโอ Live ชื่อ “Periscope” ยังอยู่นะครับ), เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารในแต่ละภูมิภาค ใครที่อ่านๆ แล้วคิดว่า Twitter มันยังน่าใช้อยู่ไหม น่าเล่นไหม น่าลงทุนกับ Ad ของ Twitter อยู่ไหม อ่านบทความนี้จะได้คำตอบครับ

ย้อนอดีตกลับไปไกลๆ Twitter เป็นหนึ่งใน Social Media ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในปี 2007 – 2008 คือปีที่คนไทยหันมาใช้ Twitter กันค่อนข้างมาก หนึ่งในคนที่ขับเคลื่อนให้คนไทยหันมาใช้เยอะๆ น่าจะเป็นทางคุณสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งยุคนั้นถึงขั้นดึงเอาคนที่เล่น Twitter ขึ้นหน้าหนึ่งของเนชั่นในวันเด็กกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการนัดพบคนบน Twitter บ่อยครั้ง เลยทำให้มีฐานผู้ใช้ในไทยนับล้านคน

kids-0

ในปัจจุบัน Twitter ก็ยังคงเป็น Social Media ที่คนใช้กันเยอะเช่นเคย แต่เนื่องจากเล่นไม่ได้เล่นง่ายเหมือนกับ Facebook ในความเห็นของผมกลุ่มคนที่เล่นเลยค่อนข้างเป็นคนที่สนใจและใช้เทคโนโลยีเป็นสักหน่อย คงไม่ใช่ทุกคนเล่นได้เล่นเป็น กลุ่มผู้ใช้ก็เลยจำกัดตาม ตัวเลขที่ทราบมาจากแหล่งข่าวของเราที่ดูแลโฆษณาของ Twitter ในภาพรวม Twitter เป็นหนึ่งใน Social Media ที่มีคนใช้ราว 800 ล้านคนทั่วโลก ส่วนในประเทศไทย Twitter มีผู้ใช้ active ราว 4.5 ล้านคน 83% อยู่บนมือถือ และมีคนไทยทวีตวันละ 7 ล้านครั้ง

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใช้ Facebook ที่มีราว 40 ล้านคน Twitter คงเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียว แต่ในความเห็นของผม ถ้าจะบอกว่า Twitter ไม่มีความหมายแล้ว อันนั้นก็ออกจะเป็นการรวบรัดตัดความเกินไป เพราะถ้าหากสังเกตให้ดี ผู้ใช้ Twitter จะมีหลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่ผมคิดว่าเป็นกลุ่มที่เด่นมีอยู่ราว 2 กลุ่ม นั่นคือ

  1. กลุ่มนักคิด นักข่าว นักเขียน
  2. กลุ่มศิลปิน ดารานักแสดงที่มีความ Tech Savvy
  3. กลุ่มคนที่ติดตามข่าวสารสำนักข่าวต่างๆ แบบ real-time
  4. กลุ่มคนที่ชื่นชอบวงการบันเทิง อาทิ ติ่งเกาหลี คนรัก GDH คนดูละครหลังข่าว คนดู LINE TV ฯลฯ

นอกจากนี้ Twitter ในเมืองนอกถึงแม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ แต่หลังบ้านแล้ว Twitter ก็ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นักการตลาดอยู่เรื่อยๆ เช่น ระบบ Twitter Analytics (ระบบวิเคราะห์ฐานผู้ชม), ระบบ Twitter Ad (ระบบซื้อโฆษณา) ที่เปิดให้เราตั้งเป้าหมายและวางพิกัดได้ชัดว่าจะเข้าถึงคนกลุ่มไหนบ้าง ซึ่งตัวเอง 4.5 ล้านถึงจะไม่เยอะเมื่อเทียบกับ Facebook แต่ถ้าหากใช้ดีๆ เราก็สามารถช่วงใช้มันในฐานะเครื่องมือทางการตลาดที่เสริมกันกับ Social Network ตัวอื่นๆ ได้

ผมได้ลองสอบถามความคิดเห็นผู้เล่น Twitter ไทย ทาง Twitter Poll มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน 961 คน (ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2559) 40% ของผู้ร่วมตอบ Poll บอกว่า “เวิ่นได้ ไม่เกร็ง” (เพราะ Facebook มักจะมีคนรู้จักตามมาเล่นเยอะ เช่น คนในครอบครัว แต่ใน Twitter จะไม่ถูกบังคับให้แสดงตัวตนที่แท้จริง หรือภาษาอังกฤษที่ว่าเป็นการที่เราติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นแบบ Anonymous นั่นเอง) 36% บอกว่าตามข่าวสารได้ไวแบบ Realtime

Screen Shot 2559-11-21 at 12.15.28 AM

ใครที่สนใจอ่านความคิดเห็นว่าทำไมเราจึงยังเล่น Twitter ซึ่งมีคนร่วมแสดงความเห็นผ่าน #ทำไมยังเล่นทวิตฯ และ #ทำไมยังเล่นทวิต ราว 770 ทวีต ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่าเอาไว้ตามข่าวโดยเฉพาะ นอกจากนั้นก็มีไว้เพื่อ ติ่งดารานักแสดงที่ชอบ และบ่นระบายได้ไม่ต้องเกรงใจใคร คล้ายกับที่โหวตกันใน Poll นั่นเอง

แบรนด์, Influencer เลิกใช้ Twitter?

เท่าที่สังเกต แบรนด์หลายๆ แบรนด์ในเมืองไทยยังคงใช้อยู่ และมีแฟนๆ ติดตามเยอะ เช่น AIS, Sansiri แต่บางแบรนด์ก็นานๆ ตอบที เช่น Samsung, Ford และบางแบรนด์ก็เลิกใช้ไปเพราะเน้นโพสต์อย่างเดียว แต่ไม่ค่อยลงมาปฎิสัมพันธ์กับผู้ใช้มากนัก พอไม่ค่อยได้ซื้อโฆษณา ก็เลยพลอยได้รับความสนใจไม่เท่า Social Network ตัวอื่นๆ

ส่วนด้าน Influencer เท่าที่สืบดู ถ้าเป็นดารานักแสดง มักจะหนีไปใช้ Instagram แล้วพ่วงให้ Twitter แชร์ลิงก์ของ Instagram แต่ถ้าเป็น Influencer ที่ค่อนข้าง Tech Savvy ก็จะทวีตด้วยตัวเองบ่อย เช่น วู้ดดี้ มิลินทจินดา @Woodytalk ในขณะที่บางคนก็ใช้ active ทั้ง Facebook, Twitter, Instagram อย่างโอปอล์ ปาณิสรา นอกจากนี้ก็จะมี Micro Influencer แนวนักคิดนักเขียนก็จะยังคงใช้ Twitter เป็นหนึ่งในช่องทางหลักเช่นกัน เช่น ทีปกร วุฒิพิทยามงคล หรือ @Tpagon แห่ง The Matter, ปรัชญา สิงห์โต หรือ @iannnnn ผู้แต่ง ‘เน็ตเมื่อวานซืน’, วิชัย มาตกุล นักเขียนและผู้กำกับแห่ง Salmon House และ @Khajochi แห่ง MacThai.com

สรุป – Twitter ยังเป็น Social Network ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอยู่หรือไม่?


Twitter ยังคงเป็น Social Network ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนไทยที่ชีวิตเสพติดมือถือ เป็นกลุ่มเฉพาะที่มีขนาดใหญ่ราว 4.5 ล้านคน ที่เป็นกลุ่มคนที่ยังอายุไม่มากที่ค่อนข้าง Tech Savvy มีความสามารถในการผลักดันสังคมเช่นเดียวกันกับ Social Network อื่น อีกทั้งยังมีความเป็น Early adoptor ค่อนข้างมาก ซึ่งเหมาะกับการตลาดและการประชาสัมพันธ์ในแง่มุมของการที่แบรนด์จะสร้างและผลักดันเทรนด์ใหม่ๆ กับกลุ่ม Early adoptor แม้นักการตลาดบางส่วนอาจจะมองว่า ถ้าเช่นนั้นสู้ลง Media ไปกับ “แม่น้ำสายใหญ่” ใน Facebook เลยจะดีกว่าหรือไม่ อันนี้คงต้องดูก่อนว่าสินค้า และบริการที่แบรนด์ต้องการจะแนะนำนั้น เหมาะกับการพูดกับคนกลุ่มนี้หรือไม่ อย่างไร

ขอบคุณภาพจาก OKNation

 
Source: thumbsup

The post Twitter ยังเป็น Social Network ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอยู่หรือไม่? appeared first on thumbsup.

กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตเจาะกลุ่มผู้หญิงด้วยแคมเปญ #WomenThink สื่อสารได้สุดตรงใจทุกกลุ่มอายุ

$
0
0

ในช่วงหลังๆ มานี้ เราจะได้เห็นชัดเจนว่าบทบาทของผู้หญิงมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกแวดวง ด้วยความสามารถ การกล้าแสดงออก การเปิดกว้างของสังคมและการสนับสนุนจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้หญิงมีบทบาททางสังคมทัดเทียมกับผู้ชาย แต่หากมามองในรายละเอียดแบบเจาะลึกแล้ว กลับมีช่องโหว่ที่หลายๆ คนไม่เข้าใจ ว่าผู้หญิงนั้นมีปัญหาและมุมมองที่น่าเห็นใจอยู่มากทีเดียว และนี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ #WomenThink ที่โดดเด่นมากในช่วงนี้

1

แคมเปญ #WomenThink เป็นการนำเสนอมุมมองของผู้หญิงใน 3 กลุ่มอายุที่มีความต้องการเรื่องของความมั่นคงในชีวิตที่แตกต่างกันออกไป โดยแคมเปญนี้เลือกเจาะไปที่กลุ่มพนักงานอายุยังน้อยหรือ Young Professional สองคือกลุ่มคนมีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานหรือ Established Family และสามเป็นกลุ่มวัยผู้สูงอายุหรือ Senior Generation โดยทั้งสามกลุ่มนี้ต่างก็มีเรื่องของความกังวลที่แตกต่างกันออกไป

2

ในกลุ่มแรก Young Professional นั้น เนื่องจากว่าเป็นกลุ่มที่ยังเพิ่งจะเริ่มทำงาน ความกังวลของผู้หญิงในวัยนี้จะเป็นเรื่องของการไม่มีงานทำ การดูแลพ่อแม่ การถูกลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่อุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

3

แต่พอขยับขึ้นมาสู่วัยของคนที่เริ่มมีครอบครัว หรือกลุ่ม Established Family จะเห็นว่าความกังวลจะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความกดดันในการบริหารงาน การลงทุนที่มีความผันผวน การมีลูก หรือแม้แต่ความมั่นคงในชีวิตสมรส

4

และการเข้าสู่วัยสูงอายุ Senior Generation ที่เรื่องของสุขภาพ มรดก การสูญเสียคู่ชีวิต และการอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องคิดและเกิดความกังวลได้อย่างง่ายดาย

จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้หญิงมีเรื่องให้คิดและกังวลอยู่ตลอดเวลาและแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ แต่กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตก็เข้าใจถึงความกังวลที่หลากหลายเหล่านี้และพร้อมที่จะสนับสนุนการวางแผนทางการเงินและคุ้มครองชีวิต เพื่อให้ผู้หญิงหลากหลายวัยยังคงพัฒนาศักยภาพของตัวเองต่อไปได้จนประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่ตั้งไว้

แคมเปญ #WomenThink ถือได้ว่ามีการเลือกจับมุมมองหรือ insight ของผู้หญิงในหลายหลายวัยได้อย่างถึงแก่นและสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลในแต่ละช่วงอายุได้อย่างชัดเจน ซึ่งกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ต้องการที่จะบอกกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ว่าไม่ว่าความกังวลของผู้หญิงจะเป็นเรื่องใด การมีประกันชีวิตไว้จะช่วยให้รับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

งานนี้ต้องขอชมทีมเบื้องหลังที่หยิบยกประเด็นในใจของผู้หญิงในวัยต่างๆ ออกมาสะท้อนได้อย่างเข้าถึงและเข้าใจจริงๆ และหากใครที่รู้สึกว่ามุมมองเหล่านี้ช่างตรงกับตัวเอง ก็อย่าลืมมองหาตัวช่วยที่จะมารับมือกับความกังวลเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ นะครับ

5

บทความนี้เป็น advertorial

 
Source: thumbsup

The post กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตเจาะกลุ่มผู้หญิงด้วยแคมเปญ #WomenThink สื่อสารได้สุดตรงใจทุกกลุ่มอายุ appeared first on thumbsup.

[Commentary] Influencer กับบทบาทที่ควรจะเป็นในเชิงธุรกิจ

$
0
0

4

เมื่อพูดถึงศัพท์แสงด้านการสื่อสารแบรนด์ เชื่อว่า thumbsupers หลายคนคงคุ้นเคยกับการทำ “Influencer Marketing” กันอยู่แล้วใช่ไหมครับ? เพราะนอกจาก Influencer จะเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจซื้อแล้ว หากเราพัฒนาความสัมพันธ์กันดีๆ ก็สามารถเชิญชวนกันมาเป็น Brand Advocate ช่วยเราได้ยาวๆ ในแง่ชื่อเสียงและการประชาสัมพันธ์ได้อีกด้วย

ส่วนตัวผมเอง พอย้อนนึกไปก็พบว่าตัวเองเลือกซื้อสินค้าและบริการต่างๆ เพราะ Influencer (โดยเฉพาะ Micro Influencer) อยู่เยอะเหมือนกันครับ ขออนุญาตยกตัวอย่างรายชื่อสินค้าที่ผมซื้อมาจริงๆ และเผยรายชื่อคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดในการเลือกซื้อของผมออกมาดังนี้

  • จอมอนิเตอร์ที่เลือกใช้ที่บ้าน —> “โก๋” อ.ศุภเดช  แห่งรายการล้ำหน้าโชว์ ผมถามเขาว่าแบรนด์ไหนดี เขาไม่ฟันธง แต่ถามความเห็นผมก่อนว่าความต้องการในการใช้งานคืออะไร แล้วช่วยผม shortlisted จากหลายสิบแบรนด์เหลือ 2 แบรนด์ แล้วตัดสินใจเอาเอง
  • กล้องถ่ายรูป                          —>  พี่อู๊ด เว็บมาสเตอร์แห่ง ThaiDPhoto.com พี่อู๊ดไม่ฟันธงเช่นกัน แต่ถามผมว่ามีงบประมาณแค่ไหน และฝีมือการถ่ายรูปแบบก๊อกๆ แก๊กๆ ของผมจะใช้ DSLR หรือ MirrorLess ดี หรือ Premium Compact เขาช่วยผมด้วยการแนะนำ MirrorLess เพราะเหมาะกับผมมากที่สุด  จากนั้นผมจึงมาตัดสินเองอีกที
  • ลำโพง                                    —>  พี่ตี้ เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เป็น Influencer คนดังที่ไหนเลย แต่พี่ตี้เป็นคนที่มีรสนิยมในการฟังเพลงที่ดี ผมเลยลองถามดูพี่ตี้ก็ถามกลับว่าชอบฟังเพลงแนวไหน ปรากฏว่าผมเป็นคนฟังเพลงแบบ Casual สบายๆ พี่ตี้จึงแนะนำลำโพงขนาดเล็กที่ใช้ได้กับย่านเสียงที่กว้าง เหมาะกับเพลงป๊อปรวมๆ ทั่วไป
  • แอร์ในห้องทำงาน                  —>  พี่ชาญ แห่ง PDAMobiz เว็บไอทีชื่อดัง ซึ่งตัวจริงแกทำทำงานเป็นผู้บริหารของบริษัทแอร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าตอนที่ผมโทรหาพี่ชาญ พี่ชาญก็ต้องเชียร์แบรนด์ที่ตัวเองดูแลอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมได้จากแกคือ แอร์มีหลากหลายรุ่น แต่รุ่นไหนล่ะที่เหมาะกับผมมากที่สุด? เพราะอะไร
  • รถยนต์                                    —>  ของราคาเป็นล้าน ทำให้ผมคิดเยอะมาก ต้องค้นหาข้อมูล อ่านรีวิวจาก Blogger หลายๆ คนจนรู้ความต้องการตัวเอง และเชื่อว่ารถที่ต้องการในราคาที่ตัดสินใจมีอยู่ 3 รุ่น และถามถึงประสบการณ์การใช้งานจากเพื่อนแต่ละคน ทดลองขับ ถูกใจดีไซน์ จนตัดสินใจซื้อ

จะเห็นได้ว่า รูปแบบของการตัดสินใจซื้อนั้นมีหลากหลาย ไม่ใช่ว่า Influencer คนนั้นๆ พูดอะไรออกมาแล้วมันจะกลายมาเป็น “ปัจจัยสุดท้าย” ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อเสมอไป หากแต่เมื่อเราขอข้อมูลจาก Influencer เหล่านี้มาแล้ว เราเองก็จะยังค้นหาข้อมูลต่อไปเรื่อยๆ ทั้งเปรียบเทียบ หาราคาที่เหมาะสม ดูโปรโมชั่น จนเจอข้อมูลที่แสดงถึงประสบการณ์การใช้งานสินค้านั้นจากเว็บไซต์ที่มีคนมารีวิวกัน รวมถึงบทสนทนาของคนบน Social Media อีกนับสิบๆ แห่ง เพื่อความมั่นใจ

การทำ Influencer Marketing ที่ควรจะเป็นจึงไม่ใช่การค้นหา “บุคคลวิเศษ” ที่จะมาดลบันดาลใจให้ผู้บริโภคสนใจและหันมาซื้อให้ได้ทันที เพราะ Influencer ไม่ใช่ช่องทางโฆษณา ที่ซื้อแบบโฆษณาทีวี และลูสสปอตในวิทยุ แล้วไปวัดกันที่ยอดขายในแต่ละสัปดาห์

ต่บทบาทที่เหมาะสมของ Influencer ในทางธุรกิจ ผมมองว่า เขาหรือเธอควรเป็นตัวช่วยปรับทัศนคติ (Consideration Set) ของผู้บริโภค ให้ผู้บริโภคโน้มเอียงมาทางแบรนด์ของคุณ โดยเจ้าของธุรกิจเองก็จะต้องมี Brand Clarity หรือความชัดเจนในตัวแบรนด์ รู้ว่าแบรนด์ของคุณอยู่ตรงจุดไหนในใจผู้บริโภค แล้วค่อยสื่อสารออกไป Influencer จะช่วยให้คุณสื่อสารแบรนด์ท่ามกลางยุคข่าวสารล้นหลามได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เช่น เราทำงานการตลาดและการประชาสัมพันธ์ให้กับแบรนด์กล้อง A แต่คู่แข่งในตลาดในระดับเดียวกันมีแบรนด์กล้อง B, C, D, E มีคุณสมบัติ ราคา รูปร่างคล้ายกัน แตกต่างกันนิดหน่อย Influencer ที่เก่งเรื่องกล้องอาจจะช่วยเราได้ในมุมของการอธิบายว่า หากผู้บริโภคคนไหนที่ต้องการกล้องที่มีความสามารถในการกันภาพสั่นไหว แนะนำกล้องแบรนด์ A, B เท่านั้น แต่กล้องแบรนด์ C, D, E รุ่นที่วางขายในปัจจุบัน (ที่ระบบป้องกันภาพสั่นไหวไม่ได้ดีมาก) อาจจะไม่อยู่ในข่าย

ดังนั้น การที่เราจะทำ Influencer Marketing จึงควรดูให้ออกว่าแบรนด์คุณเองมีคุณค่าที่โดดเด่นตรงไหน ตลาดของคุณมีรสนิยมแบบไหน และใครคือบุคคลคนนั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ โดยคนที่เป็น Influencer เราก็ควรจะเลือกมาจากคนที่นำเสนอ Content ที่ดีและต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน มีฐานแฟนชัดเจน และที่สำคัญเขาหรือเธอควรจะมีทัศนคติที่ดีกับแบรนด์ของคุณ เสร็จแล้วทำกันยาวๆ ครับ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว

แต่ถ้ายังไม่มี Influencer คนไหนที่ชอบแบรนด์เราเลยล่ะ? ผมว่าก็ควรเริ่มจากการทำความรู้จักกันก่อน ลอง “ให้” ก่อนที่จะ “ได้รับ” ซื้อใจกันก่อนน่าจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นในการทำ Influencer Marketing

เกี่ยวกับคอลัมน์: “หมายเหตุดิจิทัล” คอลัมน์รายสะดวกส่วนตัวของ จักรพงษ์ คงมาลัย หนึ่งในกองบรรณาธิการ thumbsup ที่จะมาร่วมตั้งคำถามฉุกคิด วิพากษ์ในวงการการตลาด การประชาสัมพันธ์ยุคดิจิทัลทั้งในไทยและต่างประเทศ

 
Source: thumbsup

The post [Commentary] Influencer กับบทบาทที่ควรจะเป็นในเชิงธุรกิจ appeared first on thumbsup.

กระแสคนทำ Podcast จะกลับมาหรือเปล่า?

$
0
0

32287744 - beautiful woman working as radio dj live in studio

ไม่แน่ใจเพื่อนๆ thumbsupers เคยได้ยินชื่องาน event ที่ชื่อว่า “Podtalk” กันไหมครับ Podtalk เป็นงานรวมตัวของกลุ่มคนทำ Podcast ในบ้านเรา จัดกันไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เห็นว่าคนที่มาร่วมงาน บ้างก็เป็นคนทำ บ้างก็เป็นคนฟัง แต่รวมๆ แล้วมีคนมาร่วมงานตั้ง 200 คน ผมเองสนใจความเคลื่อนไหวของ Content Creator พอเห็นจัดครั้งแรกคนมา 200 คนเลย ก็เลยอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า เอ๊ ก็ Podcast มันตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ หรือมันจะกลับมาใหม่?

สำหรับคนที่จำไม่ได้ว่า Podcast คืออะไร เราขอทวนความจำกันหน่อย

Podcast คือขั้นตอนของการเผยแพร่เสียง รวมไปถึงการพูดคุย เล่าเรื่อง สนทนาเรื่องต่างๆ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต มันเริ่มได้รับความนิยมในช่วงปลายปี 2004 โดยผู้รับฟังสามารถสมัครที่จะเลือกรับฟังเสียง หรือเพลง ผ่านไฟล์ MP3 ผ่านทางระบบ feed โดยตัวฟีดนี้จะทำงานอัตโนมัติ เพื่อทำการดาวน์โหลดไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ เข้าสู่ device ของเรา เช่น smartphone, คอมพิวเตอร์

จะว่ากันซื่อๆ ก็คล้ายวิทยุล่ะครับ แต่กดฟังเมื่อไหร่ก็ได้

เอ้าเข้าเรื่องเสียที

สิ่งที่ทำให้ผมสนใจว่า Podcast อาจจะเริ่มกลับมาได้รับความนิยมก็เป็นได้ คือ การรวมตัวกันแบบเล็กๆ ของกลุ่มคนทำ Podcast ที่ชื่อว่า “PodTalk” ที่ TK Park ในงานเท่าที่ผมสอบถามคนที่ไป ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เป็นการจัด Podcast สด เห็นหน้าค่าตากันหมดเลย แต่หลังจากที่คนกลุ่มนั้นรวมตัวกัน มันกลับเป็นการจุดประกายบทสนทนาอะไรบางอย่างเหมือนกัน อารมณ์แบบต่างคนต่างจัด พอมาเจอหน้ากันมันก็กลายเป็น Community ของคนทำ Podcast นั่นเอง

ดูภาพบรรยากาศเบาๆ นะครับ

CqjyJ4TUsAAy-vL

ขอบคุณภาพจาก @npjtpgfc

Screen Shot 2560-01-02 at 9.48.16 PM
ขอบคุณภาพจากยูธูป

พอมีงานนี้ขึ้นมา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหาทางพูดคุยกับคนจัด ผมเลยยกหูหา Podcaster 2 คนที่มีส่วนร่วมจัดงาน คนแรกคือ “ยู” กตัญญู สว่างศรี ผู้ร่วมก่อตั้ง Podcast Station “Get Talks” และอีกท่านหนึ่งคือ “แชมป์” ทีปกร วุฒิพิทยามงคล ที่หลายๆ คนรู้จักเขาจาก The Matter และผลงานก่อนหน้านี้ก็คือ Exteen โดยผมถามถึงความเห็นของพวกเขากับกระแสของ Podcast ที่อาจจะกำลังกลับมา

กตัญญู สว่างศรี – Get Talks

13938114_1174955159243557_9105694560007414653_o

ขอบคุณภาพจากนิตยสาร Way

“ในส่วนของ Get Talks เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้วครับ เพราะผมได้ยิน พี่อ๋อง วุฒิชัย (วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ บรรณาธิการนิตยสาร a day BULLETIN) กับเพื่อนเขาชื่อบุ๊ย ทำ Podcast “WeSlide Radio” เกิดกระแสคนฟัง วิจารณ์หนัง ผมฟังก็เลยนึกสนุก อยากลองทำบ้าง แต่ทำเป็นแนวทางของผมกับเพื่อนผมชื่อแซม โดยตอนแรกได้ คุณวิชัย มาตกุล เป็นแขกรับเชิญ เป็น Podcast ที่มีแต่คำหยาบเต็มไปหมด แต่สนุกครับ มีแขกรับเชิญเข้ามาร่วมกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนต่อยอดเป็น Get Talks Workshop สอนการพูด จนมาถึงงานนี้ที่ชื่อว่า Podtalks เป็นการพูดคุยอารมณ์ดี เน้นอารมณ์ขัน”

กตัญญูเล่าถึงการกลับมาของ Podcast ว่า Get Talks เป็นเพียงหนึ่งสถานีเท่านั้น แต่ถ้ามองไปรอบๆ เราจะพบ Podcast ที่น่าสนใจของหลายๆ คน อย่างเช่น

  • Podcast ของ แชมป์ ทีปกร กับ โตมร ศุขปรีชา ที่ชื่อว่า “Omnivore” ออกแนวความรู้
  • Podcast ของ “ปรัชญา สิงห์โต” หรือที่ชาวออนไลน์รู้จักกันในชื่อ @iannnnn ที่ตั้งชื่อว่า “ยูธูป” มาเล่าเรื่องผีแบบสนุกๆ ไม่เหมือนใคร
  • Witcast ของ แทนไท ประเสริฐกุล, ป๋องแป๋ง อาจวรงค์ จันทมาศ
  • ช่างคุย หนึ่งในรายการที่อยู่มานานมากที่สุดแห่งหนึ่งของบ้านเรา
  • Just do it เน้นเรื่องหนัง คนฟังเป็นแสน
  • BatCast และ Giraffe Castโดย Natchanon แห่งสำนัก Salmon
  • Momentum – รายการ VDO Podcast หลากหลายรายการข้างใน เช่น carpediem รายการ Podcast โดย “โหน่ง วงศ์ทนง” และคอลัมนิสต์ชื่อดังอย่าง “หนุ่มเมืองจันทร์”

Screen Shot 2560-01-03 at 12.00.47 AM

ผมคุยกับกตัญญูต่อไปในเรื่องของธุรกิจ การตลาด การประชาสัมพันธ์ ว่าอย่างไรเสีย การจะยืนระยะอยู่ได้ก็จะต้องมีการสนับสนุนจากแบรนด์ เราก็ได้คำตอบว่า เขายอมรับว่ากระแส Podcast ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องการผู้สนับสนุนเช่นกัน อย่าง GetTalks ก็มีคนฟังเฉลี่ยตอนละ 1,500 – 2,000 คน ส่วน “ยูธูป” อย่างน้อยจะมีตอนละ 5,000 คน ซึ่งตอนนี้แม้จะยังเล็กอยู่ แต่กลุ่มคนฟังก็จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในแพลตฟอร์มอื่นๆ พอเอา content ไปใส่ก็พบว่ามีคนสนใจในหลักแสน

ส่วนทาง “แชมป์” ทีปกร วุฒิพิทยามงคล ก็ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า “กิจกรรมที่ใช้ “ตาดู” มีเยอะแล้ว แต่กิจกรรมที่ใช้ “หูฟัง” ยังมีไม่เยอะ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูล่ะ?”

14925417_10154183077989926_6153331357668907065_n

“บ้านเรา Podcast ยังถือว่าเป็นกระแสที่เล็กมาก แต่ในต่างประเทศก็มีกระแสกลับมาเพราะรายการอย่าง This American Life ที่มีคนฟังตอนละราว 2.5 ล้านคน และยังมีรายการคุณภาพ TED Radio Hour พอเห็นเมืองนอกมีรายการดีๆ ผมก็เลยอยากทำบ้าง ส่วนตัวแล้วผมมองว่า ในปัจจุบัน ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่บนอินเทอร์เน็ต เราจะเห็นได้ว่ามันมีกิจกรรมที่ต้องใช้ “ตามอง” เยอะอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีค่อยมีกิจกรรมที่ใช้ “หูฟัง”

“ในความเห็นของผม Podcast เป็นสื่อที่มีรายละเอียดน้อย แค่มีไมค์ คุยกันก็จัดได้แล้ว ยอดคนฟังในไทยอย่างรายการ Omnivore จะมีราว 3,000 – 4,000 คนต่อเทป รายการอื่นๆ ในบ้านเราก็ประมาณนี้ แต่ทั้งนี้ก็ทำสนุกๆ เหมือนว่าเรื่องธุรกิจยังไม่ได้เกิดเป็นรูปธรรมมากนัก”

จากคำให้การณ์ของ Podcaster คนเก่งทั้ง 2 คน เราอาจจะยังสรุปไม่ได้ 100% ว่า Podcast จะกลับมาเป็นที่พูดถึงในวงกว้างแบบปี 2004 หรือยัง (แม้จะมีกลุ่ม Podcaster กลับมาทำรายการกันอย่างคึกคัก มียอดคนฟังมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ตาม) แต่สิ่งหนึ่งที่สรุปได้เลยก็คือ Content นั้นไม่ว่ามันจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหนก็ตาม หากมันเป็น Content ที่ดี มันจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับแบรนด์ได้อยู่ดี

คำแนะนำเล็กๆ ของผมก็คือ เราไม่จำเป็นต้องรอกระแสก็ได้ แต่แบรนด์ และเอเยนซี่เจ้าต่างๆ อาจลองติดตามดูที่คุณภาพของ Content ของ Podcaster เหล่านี้ในฐานะ Content Creator ก่อน ศึกษาแนวทางหาความเป็นไปได้ในทางร่วมงาน เหมือนที่ครั้งหนึ่งเราเคยลองกับ Blog และปัจจุบัน Blog ก็กลายเป็นหนึ่งในรูปแบบของ Content ที่แบรนด์นิยมใช้กันจนถึงทุกวันนี้

 
Source: thumbsup

The post กระแสคนทำ Podcast จะกลับมาหรือเปล่า? appeared first on thumbsup.

เปิดตัวสติ๊กเกอร์ “P’Chef & N’Gyou”จาก CP เจ้าแรกของไทยบน iMessage

$
0
0

Screenshot_20170108-151642-3

หากเอ่ยถึงแอปพลิเคชัน iMessage เราเชื่อว่าบรรดาผู้ใช้งานสินค้าตระกูล i จาก Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และ iPod คงรู้จักกันเป็นอย่างดี โดย iMessage นั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2011 และค่อนข้างได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานของ Apple เนื่องจากรองรับการส่งข้อความได้แบบไม่จำกัด แถมยังไม่มีค่าบริการหากเป็นการส่งข้อความในระบบเดียวกันด้วย

แต่นอกจากความสามารถในการส่งข้อความที่หลายคนติดใจแล้ว ในการอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 10 ตัวใหม่ล่าสุดของ Apple เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้แพลตฟอร์ม iMessage เป็นที่จับตาจากผู้ใช้งานและภาคธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากมีการเพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดไปลองเล่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกหาก CP บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยจะตัดสินใจเปิดตัวสติ๊กเกอร์สำหรับ iMessage ขึ้นเป็นรายแรกของประเทศอย่างเป็นทางการ

โดยสติ๊กเกอร์จาก CP มาในชุด P’Chef & N’Gyou (ชื่อภาษาไทย  พี่เชฟ & น้องเกี๊ยว) เป็นคาแรคเตอร์เชฟน้อยน่ารักสวมหมวก CP กับเกี๊ยวเพื่อนซี้ ในหลากหลายอารมณ์และบรรยากาศ  ไม่ว่าจะเป็นดีใจ เสียใจ ง่วงนอน อิ่มหนำสำราญ โดยทั้งหมดเป็นผลงานการพัฒนาของบริษัท ประณีต ผู้ที่เคยพัฒนาสติ๊กเกอร์ CP บนแอปพลิเคชัน LINE มาแล้วนั่นเอง ซึ่งการเข้ามาในฐานะแบรนด์แรกที่แจกสติ๊กเกอร์ฟรีบน iMessage นี้สามารถช่วยในเรื่องการจดจำแบรนด์ และ iMessage ยังรองรับการเสริมคุณสมบัติใหม่ ๆ ให้กับสติ๊กเกอร์ได้ในอนาคตด้วย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่แพลตฟอร์มอื่นยังไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดเท่า

อนุตร พฤกษ์สุวัฒน์ GM Online Marketing ของ CP เผยว่า “ตัวเลขผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม iOS ในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 17% ของจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั้งหมด แม้ว่าอาจจะดูไม่มากถ้าเทียบกับสัดส่วนผู้ใช้งาน Android แต่ในแง่การสร้างแบรนด์ผ่านสติ๊กเกอร์นั้น CP มองว่าการเข้ามาเป็นแบรนด์แรกที่แจกสติ๊กเกอร์ฟรีบน iMessage น่าจะสร้างความน่าสนใจในหมู่ผู้ใช้งานพอสมควร นอกจากนี้เรายังมีกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชันแชทอย่าง LINE ซึ่ง iMessage สามารถเข้ามาตอบโจทย์การส่งข้อความให้กับผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้”

นอกจากนี้ การออกแบบสติ๊กเกอร์ชุด P’Chef & N’Gyou ที่มีมากมายหลายอารมณ์ (12 แบบ) ก็ยังทำให้ผู้ใช้งานสะดวกที่จะเลือกใช้ได้มากกว่า ซึ่ง CP มองว่าการออกแบบอารมณ์ให้มีหลากหลายนั้น เป็นความกล้าอย่างหนึ่ง และทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจได้ว่า คาแรคเตอร์เองก็มีความเป็นมนุษย์ และมีความรู้สึกต่าง ๆ ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี แพลตฟอร์ม iMessage เองก็มีสติ๊กเกอร์จากแบรนด์ต่างๆ มาให้ดาวน์โหลดกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งมีทั้งผู้ผลิตเกม ภาพยนตร์ ตลอดจนแอนิเมชั่นเรื่องดัง ที่ต่างลงมาเล่นในตลาดนี้กันค่อนข้างคึกคัก  แต่จุดเด่นของสติ๊กเกอร์จาก CP ที่นอกจากความน่ารักแล้วก็คงเป็นการไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน หรือก็คือดาวน์โหลดได้ฟรีที่จะช่วยสร้างฐานแฟนคลับได้นั่นเอง

โดยผู้ใช้ iOS 10 สามารถเข้าไปดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ “P’Chef & N’Gyou”ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. เปิดแอปพลิเคชัน Message

2. กดปุ่มตัวอักษร A ที่ด้านล่างของหน้าจอ จากนั้นระบบจะแสดงตัวเลือกขึ้นมาให้ ให้กดปุ่มรูปฟองสบู่ที่ด้านล่างมุมซ้ายของหน้าจอ

3. ให้คลิกที่เครื่องหมาย + Store เพื่อเข้าไปยัง App Store สำหรับ Message

4. จากนั้นให้เสิร์ชหาสติ๊กเกอร์  P’ Chef & N’Gyou ซึ่งเมื่อพบแล้ว ให้กดปุ่ม Get เพื่อดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์

5. ป้อนพาสเวิร์ด Apple ID

6. เมื่อดาวน์โหลดเสร็จสิ้น หากต้องการใช้งานก็เพียงแค่กดปุ่ม A ในหน้าจอของแอปพลิเคชัน Message ก็จะปรากฏภาพสติ๊กเกอร์ให้เลือกใช้งานทันที

หรือเพียงคลิก https://www.cpbrandsite.com/cp-sticker?WT.mc_id=61682

ก่อนจากกัน คุณอนุตร ยังได้ฝากทิ้งท้ายถึงแฟน ๆ iMessage ชาวไทยด้วยว่า “หลังจากดาวน์โหลดชุดสติ๊กเกอร์ไปแล้ว จะมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแฟน ๆ iMessage จะสามารถใช้งานสติ๊กเกอร์ P’Chef & N’Gyou ได้อย่างสบายใจ และอาจมีของเล่นใหม่ ๆ ที่ทันต่อเหตุการณ์ตามมา เรียกได้ว่า เตรียมรอรับความสนุกในการแชทกับ P’Chef & N’Gyou บนแอปพลิเคชัน iMessage กันได้เลยครับ”

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post เปิดตัวสติ๊กเกอร์ “P’Chef & N’Gyou”จาก CP เจ้าแรกของไทยบน iMessage appeared first on thumbsup.

Viewing all 2237 articles
Browse latest View live