Quantcast
Channel: Thumbsup
Viewing all 2243 articles
Browse latest View live

โทษของคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโลว์เทค (บทเรียนจากโปรเจ็กเตอร์)

$
0
0

ขอมอบบทความนี้ให้ทุกคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคน ‘โลว์เทค’ ครับ  /// บ่ายวันหนึ่งขณะที่ผมออกไปประชุมที่สำนักงานหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง คุณลูกค้าของผมท่านหนึ่ง (ขอตั้งชื่อเล่นว่าคุณธนากรก็แล้วกันนะครับ) คุณธนากรอยากเล่าประวัติของแบรนด์ให้พวกเราฟังมากๆ  ก็เลยพยายามเปิดเครื่องโปรเจ็กเตอร์  แต่โปรเจ็กเตอร์เจ้ากรรม ต่อเท่าไหร่ก็ไม่ติด เพราะมันเป็นรุ่นเทคโนโลยีใหม่ไร้สาย (คือปกติเวลาไปออฟฟิศต่างๆ เครื่องโปรเจ็กเตอร์มันจะต่อผ่านสายเคเบิลซึ่งทั่วๆ ไปมันก็มีอยู่แค่ 2 แบบ คือไม่หัว VGA ก็ HDMI แต่ออฟฟิศนี้เขาเจ๋งมาก เขาต่อโปรเจ็กเตอร์แบบไร้สายครับ แค่พนักงานอาจจะยังไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง) กว่าจะช่วยกันต่อได้เสร็จก็ปาเข้าไปเกือบ 20 นาที แล้วคุณธนากรก็เลยพูดติดตลกว่า “โทษทีนะครับ ผมมันเป็นพวกโลว์เทคฯ” ฟังตอนแรกผมไม่คิดอะไรครับ แต่คิดๆ ไป เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องน่ากลัวต่อตัวเรามากกว่าที่คิด

เรื่องที่เล่ามาข้างบนอาจจะดูไม่เป็นเรื่อง ไม่เป็นประเด็นอะไรเพราะเวลาใครๆ ทำอะไรเปิ่นๆ เพราะไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีก็มักจะมีคำพูดแก้เขินแบบน่ารักๆ อย่างนี้อยู่แล้ว

แต่สำหรับผมนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาครับ

เพราะเวลาเรา ‘คิด’ ว่าเรา ‘โลว์เทค’ ภายในใจของเราจะพาลคิดต่อไปว่า

  • “อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกที่เราใช้เทคโนโลยีไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยดี เพราะเราวางตัวและออกตัวไปแล้วนี่ว่าเราเป็นพวกโลว์เทค และเราก็สมควรจะได้รับการให้อภัยเพราะเราไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องนี้ ทำพลาดก็ไม่มีใครว่าอะไร ดังนั้นถ้าฉันไม่ได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ หรือไม่ได้ปรับตัวกับเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นประจำ เราก็จะไม่ถูกใครว่า ไม่ถูกใครประณามอะไร”
  • ก็ในเมื่อเรา address กับตัวเราแล้วว่าเรา ‘โลว์เทค’ ก็ปล่อยให้คน ‘ไฮเทค’ เขาทำไปเอาเวลาไปทำอะไรโลว์เทคของเราต่อดีกว่า
  • เรื่อง ‘ไฮเทค’ มันเป็นอะไรที่ยังไม่แน่นอน เปลี่ยนอยู่เรื่อย เดี๋ยวมันก็คน ‘ไฮเทค’ มาเล่าให้เราฟังใหม่อยู่ดีนั่นแหละ เราอยู่เฉยๆ ดีกว่า

เพื่อนๆ thumbsupers อาจจะบอกว่าผมเป็นพวกคิดมากก็ได้ครับ แต่ประเด็นนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องโปรเจ็กเตอร์นะครับ แต่มันคือทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกันกับ Mindset การเปิดรับสิ่งใหม่ โดยเฉพาะในวันที่โลกการตลาด การประชาสัมพันธ์หมุนไวมาก ในวันที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนวิถีของการสื่อสารแบบถอนรากถอนโคนแบบวันนี้

ยกตัวอย่างง่ายๆ

Facebook ลด Reach

พอ Facebook ออกมาบอกว่าจะปรับอัลกอริทึมให้อิงกับเพื่อน และครอบครัวมากขึ้น แต่จะลดการเข้าถึงของแบรนด์ และเพจต่างๆ ถ้าหากว่าเราคิดว่าเรา ‘ไฮเทค’ พอ เราจะคิดว่าอย่างน้อยเราต้องทำความเข้าใจแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังอัลกอริทึมใหม่นี้ซะ แล้วทำตัวเป็นนายของเทคโนโลยี เราต้องเป็นคนที่ใช้เทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ user และพยายามเข้าใจว่าความตั้งใจของ Social Platform นี้คืออะไร แล้วทำการตลาด การประชาสัมพันธ์ในแบบที่สอดคล้องกับทิศทางของ Social Platform นั้นซะ หรือลองเอาธุรกิจของเราไปสื่อสารกับช่องทางทางเลือกอื่นๆ อย่าง Twitter, Pinterest, LinkedIn

AI, VR, AR มาแล้ว

ตอนนี้มี Buzzword เยอะมากครับ เดี๋ยวคนก็พูดถึง AI, VR, AR ถ้าคนที่มีแนวคิด ‘โลว์เทค’ จะคิดว่า “อ๋อ พวกนี้มันเป็นคำที่เขาพูดๆ กันอยู่ในแวดวงคนไฮเทค เราไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันหรอก เดี๋ยวก็จะมีคนบอกเราเองว่าต้องทำอย่างไรกับมัน” แต่ในขณะเดียวกันคนที่มี Mindset แบบเปิดรับของใหม่ก็จะคิดว่า “เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าไอ้ AI, VR, AR มันทำอะไรได้ แต่วันนี้เราจะลองไปซื้อ Gear VR มาลองเล่นดู” แล้วปรากฏว่าพอลองเล่นเกม VR ไปสักพักก็รู้แล้วว่า จริงๆ แล้วไอ้ของเล่นแบบ VR นี่มันเอามาทำอะไรในการสื่อสารแบรนด์ได้เพียบเลย เช่น

สร้างห้องตัวอย่างคอนโดในโลกเสมือน โดยไม่ต้องสร้างห้องจริง

สามารถวาดภาพให้ลูกค้าเห็นได้ว่าเราจะใช้กระเบื้องปูพื้นลายใหม่แบบไหนดี โดยไม่ต้องปูพื้นจริงๆ

แนวคิดโทษตัวเองว่า ‘โลว์เทค’ จึงเป็นแนวคิดที่อันตราย เพราะมันจะลดความอยากในการเรียนรู้ และเปิดรับสิ่งใหม่เพียงเพราะเราจะเริ่มคิดว่าเดี๋ยวจะมีซูเปอร์แมนมาช่วยเสมอ เราจะเป็นเพียง User และเริ่มไม่อยากทดลองเรียนรู้ ลงมือทำ และเป็นนายของเทคโนโลยี

เริ่มด้วยการหยุดโทษตัวเองว่าเราโลว์เทค แต่คิดซะว่าเทคโนโลยีใครๆ ก็ใช้มันได้ เป็นนายมันได้ ถ้าเรากล้าจะใช้มัน เราจะได้รับประโยชน์จากมันมากกว่าจะต้านมัน

หรือคุณว่าไม่จริง?

 
Source: thumbsup

The post โทษของคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโลว์เทค (บทเรียนจากโปรเจ็กเตอร์) appeared first on thumbsup.


Native Advertising ไม่ใช่ Content Marketing

$
0
0

ใครที่ทำงานโฆษณาประชาสัมพันธ์น่าจะเคยได้ยินคนใช้คำศัพท์ “Native Advertising” กับ “Content Marketing” สลับกันอยู่บ้าง ผมเองก็เคยงงเหมือนกัน พอดีไปเจอบทความชื่อว่า “Native Advertising” ที่ Joe Pulizzi แห่งเว็บไซต์ Content Marketing Institute (CMI) เขียนเอาไว้ ผมคิดว่าเขาแบ่งแยกเอาไว้ชัดเจนดี เลยขอแปลเอามาแชร์กับเพื่อนๆ นะครับ เผื่อใครเสิร์ชมาเจอจะได้ใช้อ้างอิงกันในภาษาไทย

Content marketing คืออะไร?

Joe เขาเขียน เป็นภาษาอังกฤษไว้อย่างนี้ครับว่า

Content marketing is a strategic marketing technique of creating and distributing valuable, relevant, and consistent content to attract and acquire a clearly defined audience – with the objective of driving profitable customer action.

ผมขอแปลไทยตรงๆ อย่างนี้นะครับ

Content marketing คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ว่าด้วยการ สร้าง และส่งมอบเนื้อหาที่มีคุณค่า มีความเกี่ยวข้องกับผู้อ่าน ตลอดจนนำเสนอออกมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้อ่านที่มีการนิยามเอาไว้อย่างชัดเจน ด้วยจุดประสงค์ของการขับเคลื่อนการกระทำของลูกค้าที่มีประโยชน์ต่อแบรนด์

โดยจุดประสงค์ของ Content marketing คือการดึงดูดและรักษาลูกค้าด้วยการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยน หรือยกระดับพฤติกรรมของผู้บริโภค มันเป็นกระบวนการที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องร่วมกับแผนการตลาดโดยรวมของคุณ และที่สำคัญมันจะโฟกัสอยู่กับ Owned Media ไม่ใช่ไปเช่าคนอื่น

การทำ Content marketing คุณคือคนที่เป็นเจ้าของสื่อ มันคือทรัพย์สินของคุณ แต่ Native advertising คุณจ่ายใครสักคน (จะเป็น Publisher หรือเจ้าของ Native Advertising Platform ก็ตามที) เพื่อให้เขาช่วยยิงเนื้อหาออกไปหาคนที่คุณต้องการให้เขาเสพเนื้อหา

แล้ว Native advertising ล่ะ มันคืออะไร?

  • พูดง่ายๆ ตรงไปตรงมา Native advertising ก็คือการ “จ่าย” เพื่อให้ได้ลง ถ้าแบรนด์ไม่จ่ายมันก็ไม่ใช่ Native advertising ถึงแม้ว่าแบรนด์อาจจะเลือกที่จะโปรโมทเนื้อหาของตัวเองด้วยการจ่ายให้คนเห็นเยอะๆ แต่ Content marketing ไม่ใช่ advertising คุณไม่ต้องจ่ายเพื่อที่จะสร้างเนื้อหาขึ้นในสื่อที่คุณเป็นเจ้าของ ในขณะที่ Native advertising คือการ “เช่า” พื้นที่สื่อของคนอื่น
  • ส่วนใหญ่ Native advertising จะดูคล้ายเนื้อหา (content based) โดยเนื้อหามักจะมีประโยชน์ มีความน่าสนใจ และถูกเขียนมาให้คนอ่านกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ มันจะไม่ใช่การโฆษณาสินค้าหรือบริการของบริษัทอย่างตรงๆ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ Native advertising ดูคล้ายกันกับ Content marketing ซึ่งดูๆ ไปก็คล้ายกับเนื้อหาแนว editorial ที่มีอยู่จริงๆ บนเว็บไซต์ของสื่อ เพียงแต่คุณไม่ได้พยายามขายสินค้าหรือบริการของคุณมากเกินไปนัก
  • Delivered in stream (แทรกขึ้นมาขณะที่อ่าน) การที่จะเป็น Native advertising จริงๆ คนอ่านจะต้องรู้สึกไม่ถูก ‘ขัดจังหวะ’ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินในการอ่าน แบรนด์ที่ซื้อพื้นที่ในการทำ Native advertising มักจะอยากให้เนื้อหามีลักษณะเหมือนเนื้อหาที่มีอยู่ในเว็บไซต์แบบปกติแบบเนียนๆ ไป และฝ่ายขายของบริษัทสื่อก็อยากจะทำแบบนั้นให้กับแบรนด์เหมือนกัน เพราะจะได้ขายได้ง่ายๆ แต่ก็จะต้องมีป้าย หรือมีการระบุเอาไว้ชัดเจนว่านี่คือพื้นที่โฆษณา (ในบ้านเราชอบเรียกว่า Advertorial)

เป้าหมายของ Native advertising คือการไม่เข้าไป ‘ขัดจังหวะ’ คนอ่านควรจะรู้สึกว่ามันไปกันได้กับเนื้อหาที่สื่อนั้นๆ นำเสนออยู่ และมีคนชอบมากกว่าการดูแบนเนอร์

ในฐานะแบรนด์ เราควรใช้ Native advertising กับ Content marketing คู่กันหรือไม่อย่างไร?

เราควรใช้ Native advertising กับ Content marketing คู่กัน ลองนึกภาพดูว่าถ้าเราเป็นแบรนด์น้ำหอมสักแบรนด์ แล้วคิดจะทำ Content marketing program เราก็จะเริ่มง่ายๆ ด้วยการสร้าง Blog เว็บไซต์ เป็น “บ้านหลัก” ของเรา แต่ตอนแรกเนี่ย ยังไม่มีคนมาเยี่ยมชม “บ้านหลัก” ของคุณแน่ๆ ดังนั้นช่วงแรกอาจจะใช้ Native advertising ในการดึงคนมาเยี่ยมชมเราก่อนให้ได้

สรุปสั้นๆ ว่า Native advertising คือจ่ายเพื่อเช่าพื้นที่สื่อคนอื่น จ่ายเพื่อให้คนได้ดูเยอะๆ แต่ Content marketing คือการที่คุณเป็นเจ้าของสื่อ เป็น Owned media คุณเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง

Updated: 22.08 น. ขอแปลจากบทความอื่นของ Joe มาเพิ่มอีก เพื่อความชัดเจนอีกรอบ

ถ้าคุณจ่ายเพื่อให้ได้ลงเฉยๆ เนื้อหาจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันเป็น advertising

ถ้าคุณจ่ายเพื่อให้ได้ลง แต่เนื้อหามีคุณค่า มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนอ่านในลักษณะคล้ายเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม นั่นคือ Native advertising

ถ้าคุณไม่ได้จ่ายเพื่อให้ได้ลง ถือว่า Content นั้นไม่ใช่ advertising.

ถ้าหากว่า Content นั้นมีคุณค่า มีความเกี่ยวข้องกับคนอ่านจริงๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่ชัดเจน และโพสต์ในสื่อของคุณเอง หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่คุณไม่ได้จ่าย (เช่น Facebook, Twitter, Instagram, Pantip) นั่นคือ Content marketing  แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ควรจะจ่ายเพื่อโปรโมท Content ของคุณนะครับ ถ้าคุณยังไม่มีผู้ชมที่มา subscribed เพื่อบอกรับ Content ของคุณแล้วล่ะก็ การใช้ Paid media เป็นวิธีที่ดีในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ 

คราวหน้าหากมีใครใช้คำนี้สลับกัน อยากให้พวกเราช่วยกันแก้ไขและบอกต่อเพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันด้วยนะครับ

 
Source: thumbsup

The post Native Advertising ไม่ใช่ Content Marketing appeared first on thumbsup.

KBank สุดล้ำนำเทคโนโลยี ช่วยปล่อยสินเชื่อให้ SME ผ่านมือถือรู้ผลภายใน 1 นาที

$
0
0

เรื่องของการขอสินเชื่อสำหรับธุรกิจ SME นั้น มักจะใช้เวลาในการทำเรื่องและรออนุมัตินานถึง 15-30 วัน ธนาคารกสิกรไทยจึงมองหาโอกาสใหม่ ด้วยการนำข้อมูลและพฤติกรรมการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้ามาช่วยวิเคราะห์ผ่านระบบ Data Analytic ของธนาคารเพื่อปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าสะดวกขึ้น

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทางธนาคารเข้าใจดีว่าเรื่องของเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ การผลักดันให้ SME มีการเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องมีการผลักดันจากสถาบันการเงินและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดการกู้เงินนอกระบบ จนเกิดปัญหาหนี้เสียและคาดหวังว่าจะช่วยลูกค้ากลุ่ม Micro SME ซึ่งเป็นธุรกิจรายย่อยที่เข้าถึงสินเชื่อยาก เพราะไม่มีการเดินบัญชี ทำให้ไม่มีหลักประกันที่เชื่อถือได้ รวมไปถึงไม่มีการวางแผนทางการเงิน

ทางด้านของรูปแบบการนำเสนอสินเชื่อนั้น ทางกสิกรไทยจึงได้นำข้อมูลจากฐานลูกค้า SME ของธนาคารมาวิเคราะห์ความต้องการทางการเงินและนำเสนอสินเชื่อให้ลูกค้าผ่านเมนู Life PLUS บนแอปพลิเคชัน K PLUS ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยธนาคารได้นำเสนอสินเชื่อไปให้ลูกค้าแล้วกว่า 1,000 ราย ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจกว่า 76% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดี

ดึง Data Analytics เข้ามาช่วยวิเคราะห์ลูกค้า

ซึ่งรูปแบบใหม่ของการพิจารณาสินเชื่อสำหรับ SME นั้น จะเป็นการพิจารณาด้วยการใช้ Data Analytics เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดของลูกค้า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ลดความเสี่ยงในการปล่อยกู้จนเกิดเป็นหนี้เสียได้ดีกว่า เพราะระบบจะช่วยวิเคราะห์ว่าใครที่มีความต้องการทางการเงินจริงๆ และนำเสนอสินเชื่อให้ลูกค้าในเวลาที่ถูกที่ควร ทำให้การปล่อยสินเชื่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สะดวกเพราะไม่ต้องเตรียมเอกสาร ไม่ต้องใช้หลักประกัน ใช้เวลาเพียง 1 นาที ลูกค้าก็จะได้รับเงินทันที ถือว่าย่นระยะเวลาได้มาก

หากลูกค้าทำเรื่องกู้ผ่านบัตรเครดิตจะมีดอกเบี้ยถึง 18% หรือกู้ผ่านบัตรกดเงินสดจะเสียดอกเบี้ยถึง 28% ในขณะที่การนำเสนอสินเชื่อผ่านแอป K PLUS จะคิดดอกเบี้ย เริ่มต้นที่ MRR+3% ต่อปี ถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าช่องทางอื่นๆ

นอกจากนี้ เครื่องมือดังกล่าว ยังเป็นการนำข้อมูล ที่ธนาคารมีในมือมาวิเคราะห์ แทนการเก็บเอกสารกระดาษที่ต้องขอใหม่ทุกครั้ง ซึ่งธนาคารได้มีการพัฒนาระบบ ให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้รอบด้าน ด้วยการพิจารณากว่า 300 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Transaction ที่ทำผ่านธนาคาร ข้อมูลด้านเงินฝาก การใช้เครดิต การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและการชำระ เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่ลูกค้าตอบรับข้อเสนอสินเชื่อ ภายใน 1 นาที ลูกค้าก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีทันที

ไม่ใช่แค่การดึงข้อมูลมาวิเคราะห์สินเชื่อเท่านั้น การคัดกรองข้อมูลทั้งหมดออกมาประมวลผล ยังช่วยให้ธนาคารทราบว่า ต้องนำเสนอสินเชื่อ “ให้ใคร” ที่กำลังมีความต้องการเรื่องเงินทุน “ให้เมื่อไหร่” ถึงจะเหมาะสมกับช่วงเวลาที่ลูกค้าต้องการ และ “ให้เท่าไหร่” ถึงจะเป็นวงเงินที่เหมาะสมกับความต้องการในธุรกิจ

เพิ่มโอกาสเข้าถึง SME

การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่นี้ขึ้นมา ช่วยลดช่องว่างระหว่างธนาคารกับ Micro SME ให้เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ทางธนาคารเอง ไม่ได้กำหนดว่าจะเป็น SME กลุ่มไหน เพราะไม่ว่าจะเป็นธุรกิจระดับไหน ขนาดเท่าไหร่ก็มีโอกาสได้รับการเสนอสินเชื่อ SME ผ่านมือถือ ตั้งแต่ธุรกิจแบบซื้อมาขายไป ธุรกิจออนไลน์ แม่ค้าตามตลาดนัด ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจโรงงานผลิต

ธนาคารเชื่อว่าหากธุรกิจ SME เหล่านี้ มีเงินทุนในธุรกิจเพียงพอก็จะช่วยสร้างโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้ต่อเนื่องขึ้น และพัฒนาธุรกิจของตนเองขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อ SME ผ่านแอป K PLUS เอาไว้ถึง 3,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีความต้องการของลูกค้าจำนวนมากก็อาจเพิ่มวงเงินก้อนนี้มากขึ้นอีกได้

การช่วยเหลือภาคธุรกิจ SME โดยเฉพาะรายย่อยในครั้งนี้ของกสิกรไทย น่าจะช่วยให้ธุรกิจรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เชื่อว่ายังมีธุรกิจอีกหลากหลายที่มองหาเงินทุนแบบที่ไม่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยสูงจนเกินไป ลดการกู้ยืมหนี้นอกระบบ ซึ่งวันนี้สินเชื่อ SME รูปแบบใหม่ของกสิกรไทยก็เข้ามาตอบโจทย์ได้ครบถ้วน เพียงแต่ธุรกิจ SME เองก็ต้องหมั่นเดินบัญชีเพื่อสร้างประวัติการทำธุรกรรม เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post KBank สุดล้ำนำเทคโนโลยี ช่วยปล่อยสินเชื่อให้ SME ผ่านมือถือรู้ผลภายใน 1 นาที appeared first on thumbsup.

สิริเวนเจอร์ส เตรียมส่ง OneStockHome ลุยซิลิคอนวัลเลย์

$
0
0

กลายมาเป็นผู้ชนะรายแรกของสิริ เวนเจอร์ส สำหรับ OneStockHome ที่ผ่านขั้นตอนการ Pitching ในงาน Techsauce Global Summit 2018 ที่ผ่านมา รางวัลสำหรับชัยชนะที่น่าสนใจบนเวทีประกวดในครั้งนี้ คือการได้เดินทางไป Pitching และเรียนรู้งานจากองค์กรชั้นนำมากมายที่ Silicon Valley ที่คาดว่าน่าจะสร้างโอกาสและประโยชน์ทางธุรกิจอีกมาก และในวันนี้ Thumbsup จะชวนมาทำความรู้จักกับทีมผู้ชนะกันค่ะ


ทำความรู้จักสิริ เวนเจอร์ส

หากคุณอยู่ในกลุ่ม Startup อาจจะรู้จักมาบ้างแล้วว่า “สิริ เวนเจอร์สเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เน้นการวิจัยและลงทุนด้าน Prop Tech อย่างครบวงจรรายแรกของไทย ที่ต้องการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพและมองหานวัตกรรมที่เติมเต็มด้านการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์ ภายใต้แนวคิด “Complete Your Living Experience” โดยในปีนี้ สิริ เวนเจอร์สได้เปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech บนเวที TechSauce Global Summit 2018 เพื่อหาผู้ชนะเลิศเพียงรายเดียวที่จะร่วมเดินทางไปยัง Silicon Valley ในช่วงไตรมาสที่ 4 เพื่อนำเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลก

สิริ เวนเจอร์ส Business Pitching

จากการสมัครเข้าร่วม Business pitching ของเหล่าสตาร์ทอัพทั้งหมด ได้มีการคัดเลือกให้เหลือเพียง 17 ทีมที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการนำเสนอไอเดียและผลงานเจ๋งๆ ของตนเองในงาน Techsauce Global Summit 2018 เมื่อวันที่ 22-23 มิถุนายนที่ผ่านมา เหล่าสตาร์ทอัพที่ได้รับเลือกทั้งหมดได้แก่ Wazzadu, Dumoroc, Refit, Vitaboost, Homeprise, Screea, Kiidu, Onestockhome, ซิสเท็มเมทริก อินโนเวชั่นส์, Renovanic, Poperty Innovation Charoen Sinsup Amata, Property Flow, Somjai Home Loan, Sellorate และ Enres โดยได้แบ่งการ pitching ออกเป็น 2 วัน ผู้เข้าร่วมนำเสนอผลงานแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศไปครองได้แก่ Onestockhome ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับให้ข้อมูลและซื้อขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อจากโรงงานผู้ผลิตได้โดยตรง

ความเป็นมาของผู้ชนะ

ทั้งนี้ ทาง Thumbsup มีบทสัมภาษณ์ คุณอนวัช คิมหสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง OneStockHome ที่เล่าถึงความเป็นมาและจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ให้ฟังว่า แนวคิดในการสร้าง OneStockHome ขึ้นมานั้น มาจากความต้องการของคุณพ่อ ซึ่งมองเห็นอนาคตในกลุ่ม Big Player จะเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น หากเราจะอยู่รอดได้ก็ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ จากประสบการณ์ของที่บ้านที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับวงการก่อสร้างมานานกว่า 40 ปี โดยช่วงเริ่มต้นเมื่อ 6-7 ปีก่อน วงการก่อสร้างอาจจะไม่ได้เน้นในเรื่องของการขายมากนัก รวมทั้งเรื่องของโลกออนไลน์กับธุรกิจนี้ยังมีไม่มาก ก็เลยอยากจะเข้ามาเพื่อเป็น First Player ในกลุ่มนี้

“ช่วงแรกของการทำ OneStockHome จะเป็นแค่เว็บไซต์ให้ข้อมูลเฉยๆ พอทำไปสักพักเห็นว่ามี Demand จากลูกค้าเยอะขึ้น ผมจึงเข้ามาดูแลด้านนี้เต็มตัวร่วมกับพี่สาวที่ต่างก็มีประสบการณ์ในการทำงานบริษัทเอกชนชั้นนำ มาผสมรวมกับความรู้และประสบการณ์ของคุณพ่อทำให้มีข้อมูลเชิงลึกที่ดีและนำมาวิเคราะห์ เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าออนไลน์ว่าทำไมถึงเข้ามาหาเรา รวมทั้งมองให้ออกว่าลูกค้ามี PainPoint อะไร ซึ่งก็ต้องพยายามปรับปรุงเรื่องต่างๆ ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้ามากขึ้น”

ทางด้านระบบของ OneStockHome นั้น จะเน้นเรื่องการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวงการวัสดุก่อสร้าง เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าหรือสินค้าใดก็ตาม จากที่เป็นออฟไลน์มากๆ ก็ปรับเข้ามาเป็นออนไลน์ตามพฤติกรรมของลูกค้าจนกลายมาเป็นจุดขาย ทำให้ช่องทางของการให้บริการผ่านรูปแบบเว็บไซต์น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะสะดวกกับลูกค้ามากกว่าการใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน

นอกจากนี้ ลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน จะมาจากการค้นหาผ่าน Google เป็นหลัก ทำให้บริษัทเน้นเรื่องของการทำ SEO และการทำ Keyword ที่ตอบโจทย์การค้นหา ตรงกับความต้องการของลูกค้า น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีการค้นหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจากคอมพิวเตอร์ โน้ตบุค หรือมือถือก็จะเห็น OneStockHome เป็นอันดับต้นๆ และสามารถกดเข้ามาใช้งานได้อย่างง่ายดาย

ก้าวต่อไปของ OnestockHome

ทางด้านผลประกอบการของบริษัทตั้งแต่เปิดให้บริการมานั้น ปี 2017 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายกว่า 300 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ถึง 82% ส่วนทิศทางรายได้ในปี 2018 นี้ แม้จะผ่านมาเพียงครึ่งปีบริษัทก็สามารถมีรายได้เติบโตเกือบเท่ากับปีที่แล้วคาดว่าผลสรุปปลายปีจะมีตัวเลขที่ดีเช่นกัน

เนื่องจากลูกค้าของ OneStockHome ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้รับเหมาระดับกลางถึงขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการค้นหาผ่าน Google และเข้ามาในระบบเว็บไซต์ของบริษัท ที่มีความต้องการในสินค้าโดยตรง ทำให้บริษัทมีการวิเคราะห์ข้อมูลจากการค้นหา เช่น ชนิดหรือประเภทของสินค้า แบรนด์ที่ต้องการ หรือลักษณะการทำงานเป็นหลัก เพื่อให้เข้าใจลูกค้าได้ดีกว่าเดิม

ทางบริษัทจะมีการเก็บข้อมูลของลูกค้าผ่าน Search ทุกวัน สิ่งที่ได้นอกจากการพัฒนาไปเป็น Smart Search แล้ว ยังสามารถนำข้อมูลต่างๆ ไปเสนอแก่โรงงานผู้ผลิตทำให้เข้าใจถึงความต้องการทางตลาดได้ด้วย

“เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจพฤติกรรมซึ่งกันและกัน ก็จะสามารถผลิตหรือพัฒนาสินค้าใหม่ๆ จนเกิดนวัตกรรมขึ้น เช่น โรงงานสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปปรับแก้ พัฒนาหรือปรับปรุง เพื่อผลิตสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดได้ดีกว่าเดิมและรักษาโอกาสทางธุรกิจของพวกเขาให้ดีขึ้นอีกด้วย” อนวัช กล่าว

ดังนั้น บริษัทจึงมีการแบ่งเป็นทีม Data และ Technology เพื่อสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน ซึ่งขณะนี้มีพนักงานกว่า 23 คน ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่คัดเลือกมาจากกลุ่มคนที่มีประสบการณ์การทำงานจากต่างประเทศ มาช่วยในการทำระบบต่างๆ ให้ดีขึ้น รวมทั้งยังเฟ้นหาคนที่มีคุณภาพทั้งฝีมือด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ และประสบการณ์ในธุรกิจก่อสร้าง มาช่วยมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจด้วย

เป้าหมายหลักของ OneStockHome คือ ต้องการที่จะสร้างความคล่องตัวและลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยให้การซื้อขายสินค้าในวงการก่อสร้างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการลูกค้าทุกคน ด้วยรูปแบบเว็บไซต์ที่เข้าใจง่ายและ User Friendly ไม่ว่าจะเข้าใช้งานจากช่องทางใดก็ตาม

นอกจากนี้ ยังจะเน้นการนำเสนอแพ็กเกจสำหรับลูกค้าที่มองหาผู้รับเหมาและอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างพร้อมๆ กัน ถือว่าเป็นการรวมสินค้าและบริการผ่านแพคเกจ ที่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าแค่สินค้าเพียงอย่างเดียว

โอกาสจากสิริ เวนเจอร์สและพาร์ทเนอร์ระดับโลก

การได้รับคัดเลือกจากสิริ เวนเจอร์ส ร่วมกับพาร์ทเนอร์สระดับโลกอย่าง SOSA และ Plug and Play นั้น อนวัช มองว่าทุกทีมที่เข้าแข่งขันต่างก็มี Business Model ที่น่าสนใจอยู่แล้ว เพียงแต่ OneStockHome มั่นใจว่ามีประสบการณ์ในวงการก่อสร้างมาอย่างยาวนาน แม้จะเพิ่งจดทะเบียนบริษัทได้เพียง 2 ปีก็ตาม รวมถึงบริษัทยังมี Passion ในการทำธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิมจึงเป็นจุดแข็งให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดหวังว่าการเดินทางไป Silicon Valley จะสามารถสร้างโอกาสและนำองค์ความรู้ใหม่ๆ มาช่วยสร้างไอเดียในการพัฒนาสินค้าและบริการได้มากขึ้น ก่อให้เกิดทิศทางของรายได้ที่ดี และขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไปสู่กลุ่มลูกค้าได้หลากหลายขึ้น

“การได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ทำให้บริษัทมีโอกาสในการนำประสบการณ์ที่หลากหลายรวมทั้ง Ecosystem ของสิริ เวนเจอร์สและแสนสิริ มาใช้พัฒนาสินค้าและบริการให้ดีกว่าเดิม เพราะทั้งคู่ต่างก็อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยเช่นกัน” อนวัช กล่าวทิ้งท้าย

ก็ต้องขออวยพรให้กับ Onestockhome ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังในการเดินทางครั้งสำคัญนี้ ส่วนสตาร์ทอัพรายอื่นๆ ที่ต้องการเปิดประตูทางโอกาสในการได้รับความสนับสนุนจากสิริ เวนเจอร์สและโอกาสอีกมากมายก็ลองยื่นใบสมัครกันดูในปีหน้าเพื่อหนุนให้ประเทศไทยมีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นให้เกิดขึ้นในวงการอสังหาริมทรัพย์ได้จริงเสียที

เวทีของสิริ เวนเจอร์ส ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประตูแห่งความสำเร็จเพื่อก้าวขึ้นสู่เวทีระดับโลกของเหล่าสตาร์ทอัพไทย รวมทั้งเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem สำหรับสตาร์ทอัพด้าน PropTech ในประเทศไทยให้เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ ทางสิริ เวนเจอร์สได้มีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • กังหันลมจาก Semtiveครั้งแรกของประเทศไทยกับการติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในโครงการที่อยู่อาศัย โดยสิริ เวนเจอร์ส ได้ลงทุนเป็นจำนวน 15 ล้านบาทใน Semtive เพื่อพัฒนาโครงการกังหันลม ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย
  • Sandee หุ่นยนต์ส่งพัสดุและเอกสารตามห้องพักในคอนโดมีเนียม พร้อมระบบเซ็นเซอร์ที่สามารถขึ้นลงลิฟต์เองได้ ในอนาคตมีโอกาสพัฒนาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินตรวจตามโครงการและติดกล้องสำหรับดูแลรักษาความปลอดภัย
  • Home Service App แอปพลิเคชันในการติดต่อกับนิติฯ ช่วยเตือนเรื่องบิลต่างๆ และในอนาคตจะสามารถชำระค่าสาธารณูปโภคและส่วนกลางได้ ซึ่งปัจจุบันสามารถทำงานร่วมกับ Google Assistant เวอร์ชั่นภาษาไทย ซึ่งแสนสิริก็เป็นอสังหาริมทรัพย์แบรนด์แรกอีกเหมือนกันที่นำ Google Assistant มาใช้ในวงการอสังหาฯ

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post สิริเวนเจอร์ส เตรียมส่ง OneStockHome ลุยซิลิคอนวัลเลย์ appeared first on thumbsup.

รู้จักจุดเเข็งในตัวคุณ จากหนังสือขายดีอันดับ 1 ของ WSJ

$
0
0

หลายคนคงคุ้นเคยกับ SWOT ซึ่งประกอบไปด้วย S(Strengths) W(Weaknesses) O(Opportunities) และ T(Threats) แต่วันนี้จะชวนมาดูวิธีพัฒนา S ในตัวคุณ เพราะเชื่อหรือไม่ว่าคนเราต่างก็มี “พรสวรรค์” ที่สามารถพัฒนามาเป็น “จุดแข็ง” เฉพาะตัวได้ทั้งนั้น ผ่านหนังสือขายดีอันดับ 1 ของ Wall Street Journal ที่ชื่อว่า “Strengths Finder 2.0”

แม้จะมีคำพูดว่า “เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น ถ้าเรามีความพยายามมากพอ” เเต่จะดีกว่าไหมถ้าไม่ต้องเสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด

ลองคิดดูง่ายๆ ถ้ากราฟคะเเนนสำหรับความเก่งแบ่งเป็น 1-10 คะแนน ซึ่งคุณมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีอยู่ที่ 5 คะเเนน เมื่อเทียบเวลาที่ใช้เพื่อฝึกฝนคิดเป็นประมาณ 2 คะเเนน(เวลาเเละความทุ่มเทที่ใช้) ผลลัพธ์จะกลายเป็น

[พรสวรรค์(5) X การฝึกฝน(2)] = ทักษะทางดนตรี 10 คะแนน

คิดกลับกันดูว่าถ้าฝึกในสิ่งที่ไม่ถนัดนั้นจะเหนื่อยหนัก เพราะต้องทุ่มเทเเรงกาย เเรงใจ พลังงานในการฝึกฝนอย่างมหาศาล เเล้วบางทีผลลัพธ์ก็ไม่ได้ออกมาดีเท่ากับการพัฒนาพรสวรรค์ ซึ่งซ้ำร้ายกว่านั้นการไม่รู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองคืออะไร ก็ทำให้เสียโอกาสพัฒนาจุดเเข็งเปล่าๆ ในความจริงเเล้ว “จุดเเข็ง” ก็มาจากพรสรรค์ที่ติดตัวมาตั้งเเต่เกิดเเล้วพัฒนามาจนเป็นจุดเเข็งของตัวเอง มันเป็นวิธีพัฒนาตัวเองที่เปรียบเหมือนเราเกาถูกที่คันนั่นเเหละ เพราะทำให้ไม่ต้องไปเสียเวลาไปทุ่มเทกับการแก้ไข “จุดอ่อน” ที่เรามี เเถมการทำแบบนี้ยังสนุกกว่าด้วยจริงไหม

รู้จุดเเข็งกันไปทำไม ?

ผลวิจัยพบว่าคนที่ไม่ได้ใช้ “จุดเเข็ง” ของตัวเองในการทำงานมักจะรู้สึกกังวลกับงาน มองโลกเเง่ลบ เเละยังส่งผลกับสุขภาพด้วย (เพราะต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัดทุกๆ วันมันก็ต้องเครียดอยู่เเล้ว) ซึ่งความจริงเเล้วจุดเเข็งมาจากพรสวรรค์คูณด้วยระยะเวลาที่ใช้ในการฝึกฝน เเละเเน่นอนว่าถ้าค้นพบพรสวรรค์ของตัวเอง เเล้วเอามาพัฒนาให้ถูกด้วยการใช้เวลาฝึกฝนก็จะทำให้กลายเป็นจุดเเข็งอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเเหละที่เจ้า “จุดเเข็ง” นี้จะช่วยให้เราเติบโตในหน้าที่การงาน เพราะพัฒนาตัวเองได้อย่างดี เเละสามารถเลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง

ทำอย่างไรถึงจะหาเจอ ?

การบอกว่าให้ลองหาจุดเเข็งจากสิ่งที่เราทำได้ดีสิ อันนั้นก็ดูยากเเละนามธรรมจนเกินไป เราเลยอยากเเนะนำหนังสือขายดีอันดับ 1  ของ Wall Street Journal ที่เขียนโดย Gallup เป็นหนังสือที่ใช้การศึกษาจุดเเข็งของมนุษย์มากกว่า 40 ปี จนพัฒนามาเป็นเเบบประเมินตัวเองให้ได้ลองทดสอบกัน

ตัวอย่างจุดเเข็งที่ตัวเองได้มา

อธิบายคร่าวๆ เเล้วอาจยังเห็นภาพไม่ชัด เลยอยากยกจุดเเข็ง 5 อันดับ ที่ตัวเองทำเเบบทดสอบในเว็บไซต์เเล้วได้มา ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างตรง เเละเป็นประโยชน์มากๆ เพราะทำให้เรารู้จักสไตล์การทำงานของตัวเองดียิ่งขึ้น

  • ผู้มองอนาคต (Futuristic)
    สามารถมองภาพอนาคตในครั้งหน้าได้อย่างละเอียด เเละถ่ายทอดจินตนาการที่สวยงามออกมาให้คนอื่นรับรู้ได้
  • ผู้บรรลุเป้าหมาย (Activator)
    ชอบทำงานหนัก ท้าทาย เเละบรรลุเป้าหมายหลายๆ อย่าง
  • ผู้สรรหาความเป็นเลิศ (Maximizer)
    มุ่งหมายจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีเลิศ เเละสนุกกับการใช้จุดเเข็งของตัวเองกับการทำงาน
  • ผู้มองโลกแง่ดี (Positivity)
    มีพลังเเละทัศนคติเเง่ดี เเละชอบเเบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับคนที่อยู่รอบข้าง
  • นักคิด (Intellection)
    สนุกกับการใช้ความคิด ชอบเรื่องเกี่ยวกับความรู้ ปรัชญา

ในเล่มนี้มีอะไรบ้าง ?

  • ความพิเศษคือในเล่มมีรหัสให้ไปเข้าเเบบทดสอบจุดเเข็งในเว็บไซต์ ซึ่งทำเเล้วจะรู้ว่าจุดเเข็ง 5 อันดับเเรกของเรามีอะไรบ้าง
  • คำอธิบายพฤติกรรมที่คุณเป็นมากขึ้น (ระบบการคิด, การทำงาน, การสื่อสารกับผู้อื่น)
  • วิธีนำจุดเเข็งที่เรามีไปใช้กับหน้าที่การงาน
  • คำอธิบายจุดเเข็งทั้งหมดของผู้คนทั่วโลกที่ Strengths Finder 2.0 วิเคราะห์ออกมา (มีทั้งหมด 34 จุดเเข็ง)
    ไม่ได้จบเเค่ในเล่ม เพราะยังมีอัปเดตความรู้ใหม่ๆ ผ่านทางเว็บไซต์เสมอ

อ่านเว็บไซต์ของหนังสือเพิ่มเติม: gallup

หนังสือเล่มนี้บอกกับเราว่าเเทนที่จะมองว่า “เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น เรามีความพยายามมากพอ” ให้เข้าใจใหม่ว่า “เราอาจเป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็นไม่ได้ เเต่เราสามารถเป็นตัวเราที่ดียิ่งขึ้นไปอีกได้” ลองหามาอ่านเป็นทางเลือกกันดูสำหรับทุกคนที่กำลังค้นหาตัวเองกันค่ะ:D

 
Source: thumbsup

The post รู้จักจุดเเข็งในตัวคุณ จากหนังสือขายดีอันดับ 1 ของ WSJ appeared first on thumbsup.

5 เทคนิคถ่ายรูปสวยแบบ Influencer จาก Samsung Photo Hub

$
0
0

เคยไหมที่เห็นภาพถ่ายๆ สวยๆ บนโลกออนไลน์ แล้วรู้สึกว่าทำไมเราถึงถ่ายรูปออกมาได้ไม่สวยเหมือนเขากันนะ ซึ่ง Samsung เข้าใจเรื่องนี้ดี และได้มีการตั้ง Samsung Photo Hub แหล่งรวบรวมเทคนิค แนะนำเรื่องการถ่ายภาพ เหมาะกับผู้ชื่นชอบการถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพประทับใจได้ง่ายๆ โดยใช้เพียงแค่สมาร์ทโฟน เราลองมาดูกันว่าเทคนิคดีๆ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพออกมาดูสวยมีมิติจะมีอะไรบ้างนะ

1.เทคนิค Portrait หน้าชัดหลังละลาย ใครก็ถ่ายได้

Maneemejai ที่มาแชน์ว่าจะมาแชร์ให้ดูว่าการถ่าย Portrait แบบหน้าชัดหลังละลาย ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเธอบอกว่าามือใหม่ก็ถ่ายรูปหน้าชัดหลังละลายได้ และแถมเคล็ดลับง่ายๆ ที่แค่ลองทำตามก็ได้ภาพถ่ายสวยๆ อย่างแน่นอน

เทคนิคการถ่ายภาพ:

  • ใช้โหมด Live Focus ถ่ายหน้าชัด หลังละลาย
  • ระยะกล้องกับแบบควรห่างกันประมาณ 1-1.5 เมตร
  • เลือกปรับระดับความเบลอในโปรแกรมทั้งก่อนและหลังจากถ่าย
  • ยิ่ง Background ไกลจากแบบเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ละลายหลังได้มาก
  • หันหน้าเข้าหาแสงจะทำให้หน้าสว่างขึ้น

ชมคลิปเต็มๆ:  Portrait หน้าชัดหลังละลาย ใครก็ถ่ายได้

2. เทคนิคถ่าย Light Painting ได้แบบง่ายๆ

สาวน้อยจาก Chocoolate ที่มาสอนเทคนิค Light Painting หรือการวาดไฟสนุกๆ ที่จะทำให้ภาพของคุณครีเอทีฟขึ้นและไม่เหมือนใคร  ด้วยวิธีง่ายๆ และสามารถทำตามได้แบบไม่ยาก

เทคนิคการถ่ายภาพ:

  • ใช้ไฟแฟลชจากมือถือ เพื่อความสะดวก และช่วยให้หน้าสว่างขึ้น
  • ใช้โหมด Pro จากสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S9  แบบ Shutter Speed 2 วินาที  ด้วย ISO50 และ F1.5
  • ต้องนิ่งทั้งนางแบบและคนถ่าย
  • หาที่สำหรับวางมือถือด้วยสิ่งของใกล้ตัว เช่น วางพิงแก้ว
  • ตั้งเวลาถ่าย เพื่อให้มือถือนิ่งที่สุด

ชมคลิปเต็มๆ: เทคนิคถ่าย Light Painting ใครๆ ก็ทำได้

3. เทคนิค Selfie เมื่อต้องไปเที่ยวคนเดียว

Above The Mars สาวผมสั้นน่ารักสดใส ที่จะมาสอนเคล็ดไม่ลับ กับการเซลฟี่ที่ผู้หญิงควรรู้ไว้เป็นเทคนิคเฉพาะตัว โดยเฉพาะเวลาต้องไปเที่ยวคนเดียว ทำยังไงให้ได้รูปกลับมาอวดเพื่อนๆ ได้เหมือนมีคนถ่ายให้สวยๆ จนน่าอิฉา

เทคนิคการถ่ายภาพ:

  • ใช้โหมด selfie Focus ดึงตัวคุณให้เด่นขึ้นจากภาพ Background
  • เพิ่มแสงและเงาให้ลูกเล่นของการถ่ายภาพ
  • ไม่มองกล้อง เพื่อให้ได้ภาพพิเศษๆ
  • ตั้งกล้องไกลๆ เพื่อมุมที่น่าสนใจ
  • ถ่ายมุมเสย ตัด Background รกๆ ด้านหลังออกไป

ชมคลิปเต็มๆ: เที่ยวคนเดียว Selfie ยังไงให้เหมือนมีคนถ่ายให้

4. เทคนิคการถ่ายภาพแนว Street Photo

JKRNN จะมาพิสูจน์ให้เห็นว่าการถ่ายภาพแนว Street ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่เตรียมมือถือคุณให้พร้อม เพื่อรีบเก็บโมเมนต์ดีๆ รอบตัวคุณ

เทคนิคการถ่ายภาพ:

  • เตรียมกล้องให้พร้อมถ่ายทุกจังหวะ
  • หา Background ที่น่าสนใจ แล้วกดถ่ายตอนมี Subject ที่น่าสนใจเดินผ่าน
  • ใช้จุดตัด 9 ช่องช่วยในการถ่าย
  • ใช้ Filter สร้างสีสันให้กับภาพ

ชมคลิปเต็มๆ: เคล็ดลับง่ายๆ กับการถ่ายภาพแนว Street Photo

5. เทคนิคถ่ายวิวให้สวยทุกสภาพแสง

Path To Odyssey  ที่มาสอนเเทคนิคและความรู้ที่ทำให้คุณถ่ายภาพวิวได้สวยขึ้น และไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพแสงที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยๆ ระหว่างวัน อีกต่อไป

เทคนิคการถ่ายภาพ:

  • คำนึงถึงองค์ประกอบ และช่วงเวลา (ดูว่าฟ้าโปร่งไหม)
  • ใช้ฟังก์ชัน HDR ช่วยเกลี่ยนส่วนมืด และสว่างของภาพให้ออกมาอย่างสมดุล

ชมคลิปเต็มๆ: ถ่ายวิวยังไง ให้สวยทุกสภาพแสง

เป็นเทคนิคดีๆ จากเหล่า Blogger ด้านการถ่ายภาพแต่ละคน ที่อ่านเเล้วรู้สึกว่าทำตามได้ไม่ยาก เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S9 ก็สามารถถ่ายรูปสวยๆ ได้ออกมาเหมือนเหล่า Influencer ได้ง่ายๆ จนอยากพูดว่า “Samsung Photo is a King” เลยทีเดียว

ติดตามเทคนิคเพิ่มเติม : Samsung Photo Hub

บทความนี้เป็น Advertorial

 

 
Source: thumbsup

The post 5 เทคนิคถ่ายรูปสวยแบบ Influencer จาก Samsung Photo Hub appeared first on thumbsup.

ETDA Big Change to Big Chance ปรับตัวสู่โลกอนาคต..โลกแห่งยุคดิจิทัล  

$
0
0

 

ปัจจุบันโลกเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ทำให้ความเป็น “ดิจิทัล” หลอมรวมในชีวิตประจำวันจนเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ด้าน เราจึงอยากชวนคุณมางาน “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” ที่จะมาพัฒนาสังคมไทยให้สู่โลกอนาคตไปด้วยกัน

ด้วยความที่ ETDA (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) เป็นองค์กรส่งเสริมและสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้เติบโตอย่างมั่นคงและปลอดภัย และวางกรอบนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ซึ่งในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาที่สามารถยกระดับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เติบโตอย่างมั่นคง เช่น การผลักดันผู้ประกอบการ SMEs Go Online ประมาณ 20,000 รายในปี  หรือการผลักดันโครงการ e-Tax Invoice by Email ที่มีผู้ประกอบการใช้ระบบนี้แล้ว 18,000 ฉบับ นำไปสู่การจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

งาน Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance

ETDA เนรมิตรงาน 8 ปี“Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance”ชวนทุกคนมาเรียนรู้ เปิดใจ และปรับตัว…วาร์ปไปสู่อนาคต WARP…TO THE FUTURE เพื่อเผยแพร่ภารกิจของ ETDA ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาและเตรียมที่จะก้าวเข้าสู่ที่ปีที่ 8 และเตรียมตัวสังคมไทยให้รองรับการเปลี่ยนแปลงและก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและสังคมยุคใหม่อย่างแท้จริง

กิจกรรมภายในงาน

แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1.Big Influencer Talk  ฟัง Vision จาก Big Name ในแวดวงดิจิทัลทั่วโลกกับ Future Economy & Internet Governance ทั้งบนเวที Main Stage และ Mini Stage

2. Big Exhibition & Showcase ตื่นตากับเทรนด์ใหม่ ๆ จากหน่วยงานและองค์กรชั้นนำทั่วโลก

3.Big Press Conferences การประกาศความร่วมมือระหว่างภาคส่วนสำคัญเพื่อร่วมขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 โดยไฮไลท์สำคัญได้มีการจัดโซน ETDA Pavilionเพื่อแสดงผลงานและโครงการที่สำคัญของ ETDA ในระดับประเทศ

ได้แก่  Cybersecurity Park,e-Commerce Park, Digital Tourism, Durian Platform, Digital Content และ National Digital ID ขณะที่โซนของผู้สนับสนุน และพาร์ทเนอร์ทั้งจากไทยและต่างประเทศ ได้เตรียมนำเสนอเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน ทั้งด้าน Cybersecurity, e-Commerce, และ Digital Technology ด้วย

พร้อมกันนี้ภายในงานยังจัดให้มีเวทีสัมมนาระดับนานาชาติที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมแบ่งปันและแชร์ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมากมาย ซึ่งเป็นกูรูระดับแถวหน้าของไทยและต่างประเทศพร้อมหัวข้อการสัมมนากว่า 30 หัวข้อ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับโลกแห่งอนาคต

ปาฐกถาพิเศษ

ภายในงานยังจัดปาฐกถาพิเศษจากผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศกับหัวข้อต่างๆ

  • Future Economy & Internet Governance : เศรษฐกิจอนาคตและธรรมาภิบาลอินเทอร์เน็ต โดย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
  • The Key Success Factors of Future Economy โดย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • หัวข้อ Cybersecurity Next: Managing Digital Risk in the New Era จากตัวแทนภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ โรหิต ไก (Rohit Ghai) ประธานบริษัท RSA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเดลล์เทคโนโลยีส์ (Dell Technologies) ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก

ขณะเดียวกันยังได้เปิดเวที PUBLIC HEARING ร่างกฎหมายสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมทั้งการทำปฏิญญาความร่วมมือสู่ความพร้อมของธุรกิจไทยในเรื่อง GDPR

Job Matching

ทางETDA จัด Job Matching ไว้เป็นส่วนหนึ่งภายในงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าร่วมงานสามารถสมัครงานในธุรกิจ Digital Technology, Big DATA, e-Commerce, Cybersecurity, Digital Financial, Internet และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรที่มีทักษะอีคอมเมิร์ซและดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีกิจกรรม Workshop สำหรับให้ความรู้เพื่อพัฒนาธุรกิจและบุคลากรเฉพาะด้านด้วย

จะเห็นได้ว่า งาน 8 ปี“Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” เป็นงานสำคัญที่จะชวนทุกคนมาเรียนรู้ เปิดใจ และปรับตัวสู่โลกอนาคต โลกแห่งดิจิทัล เพื่อยกคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทยให้ดีขึ้น

รายละเอียดงาน

  • วันที่: 23-25 กรกฎาคม 2561
  • ตั้งแต่เวลา: 10:00-20:00 น.
  • สถานที่: รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

ติดตามความเคลื่อนไหว: https://www.etda.or.th/bigchange2018/ ,
FB: ETDA Thailand
ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน https://www.zipeventapp.com/e/Big-Change-2018-

 
Source: thumbsup

The post ETDA Big Change to Big Chance ปรับตัวสู่โลกอนาคต..โลกแห่งยุคดิจิทัล   appeared first on thumbsup.

KBTG เดินหน้าปั้น TechJam2018 หวังสร้างความตื่นตัวและสีสันให้วงการเทคโนโลยี

$
0
0

เรื่องบุคลากรด้านเทคโนโลยีและการออกแบบของคนไทยยังคงเป็นที่ต้องการของธุรกิจทุกระดับ ยิ่งการผลักดันเศรษกิจดิจิทัล 4.0 เพื่อให้ประเทศเดินหน้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี จึงมีความต้องการคนกลุ่มนี้มากขึ้นแบบไม่จำกัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังขาดคนกลุ่มนี้อีกมาก

นายสมคิด จิรานันตรัตน์ ประธาน KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) เล่าว่า บุคลากรด้านเทคโนโลยีและการออกแบบได้กลายเป็นขุมกำลังหลักที่จะขับเคลื่อนธุรกิจและภาคเศรษฐกิจของประเทศ KBTG จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาทักษะและเพิ่มศักยภาพด้านบุคลากรกลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่อง จึงจัดการแข่งขัน TechJam ขึ้นมา ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการผลักดันและขับเคลื่อนวงการด้านเทคโนโลยีของไทย ผ่านรูปแบบของการแข่งขันแนวใหม่ ด้วยโจทย์ที่เข้มข้น ท้าทาย และมีสีสัน

สำหรับในปี 2561 ทาง KBTG ได้ตั้งเป้าหมายให้การแข่งขันสามารถขยายขอบเขตไปทั่วประเทศ จึงจัดการแข่งขัน TechJam 2018 ขึ้นภายใต้แนวคิด“Tomorrow Squad” หรือ “ขุนพลแห่งอนาคต” ที่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันเปรียบเสมือนขุนพลจากทั่วประเทศ ที่จะนำทักษะความสามารถทางเทคโนโลยีและการออกแบบ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของยุคสมัยแห่งอนาคต มาประชันกันเพื่อหาสุดยอดฝีมือจากทั่วประเทศ

ทางด้านรูปแบบของการจัดการแข่งขันจะน่าติดตาม และช่วยถ่ายทอดความสามารถของเหล่าขุนพลแห่งอนาคต ที่คนทั่วไปแม้ไม่ใช่คนในวงการเทคโนโลยีก็สามารถเข้าใจและร่วมลุ้นไปกับผู้เข้าแข่งขันได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนในสังคมได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนวงการเทคโนโลยีของประเทศร่วมกัน นับเป็นการแข่งขันที่ท้าทายที่สุดครั้งหนึ่ง ที่คนไทยจะพลาดไม่ได้

“ปีที่แล้วการแข่งขันจะจำกัดแค่ในกรุงเทพฯ ยังมีผู้สนใจเข้าร่วมการแข่งขันราว 600 คน ส่วนในปีนี้จะขยายการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันระดับภูมิภาค จึงเชื่อมั่นว่าจะมีไม่น้อยกว่า 3,000 คนที่สนใจ”

ทางด้านของโจทย์ที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ จะถูกออกแบบมาให้มีความเข้มข้น ท้าทาย เพื่อช่วยฝึกฝนและพัฒนาทักษะด้านด้านเทคโนโลยี และการออกแบบที่สนุกและสมจริงกว่าการเรียนรู้แบบทั่วไป นอกจากนั้นผู้เข้าแข่งขันจะได้รับแนวคิดและมุมมองใหม่ๆถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่นำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ไม่ว่าจะผันตัวไปเป็นสตาร์ทอัพหรือทำงานในองค์กรใหญ่ เพราะเราก็ไม่ได้กำหนดว่าแข่งเสร็จแล้วผู้ชนะจะต้องร่วมทีมกับทาง KBTG  

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ KBTG คาดหวังมาก คือ อยากจะปั้นให้เกิด Community สำหรับคนด้านเทคโนโลยี และการออกแบบอย่างจริงจัง เพราะในอนาคตจะเป็นทั้งแรงขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแรง เพราะเราจะเป็นแต่ผู้รับหรือซื้อเทคโนโลยีไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศของเราอาจจะกลายเป็นเมืองขึ้นด้านเทคโนโลยีได้ หากไม่รู้จักสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง

TechJam เป็นหนึ่งในการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ท้าทายที่สุด ที่คนในวงการนี้พลาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะได้พัฒนาฝีมือ พร้อมชิงรางวัลไปสัมผัสประสบการณ์แหล่งนวัตกรรมอย่างใกล้ชิดถึงที่ซิลิคอน วัลเลย์ครั้งหนึ่งในชีวิตแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้พบปะสร้าง connection กับคนในวงการเดียวกัน ซึ่งจะช่วยต่อยอดโอกาสต่างๆ ในอนาคต

KBTG เชื่อมั่นว่าด้วยการแข่งขันรูปแบบใหม่ที่จะนำเสนอในปีนี้ จะทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงแนวคิดและตัวตนของคนในวงการเทคโนโลยีได้ในวงกว้าง และจะช่วยให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนวงการนี้ให้เติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง

สำหรับการแข่งขัน TechJam 2018 แบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 Squad ได้แก่

1.Code Squad สำหรับผู้มีทักษะด้านการเขียนโปรแกรม จะมีนายจิรัฎฐ์ ศรีสวัสดิ์ เป็นผู้ดูแล

2.Data Squad สำหรับผู้มีทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล จะมีดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล เป็นผู้ดูแล

3.Design Squad สำหรับผู้มีทักษะด้านการแก้ปัญหาด้วยการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น UX/UI Design, Design Thinking, Service Design หรือ Interaction Design หรือการออกแบบในด้านอื่นๆ โดยจะมีนายอภิรัตน์ หวานชะเอม เป็นผู้ดูแล

ซึ่งทั้ง 3 ท่านต่างก็เป็นผู้มีประสบการณ์และความสามารถในการตั้งโจทย์และให้ข้อแนะนำที่ดีในการพัฒนาขีดความสามารถของผู้เข้าแข่งขันให้มีศักยภาพได้ดีมากขึ้น โดยทาง Thumbsup มีบทสัมภาษณ์ของทีมผู้ดูแลทั้ง 3 ท่าน ที่ได้ให้คำแนะนำกับผู้เข้าแข่งขันไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวค่ะ

ทำความรู้จักโค้ช

จิรัฎฐ์ ศรีสวัสดิ์ ผู้ดูแลทีม Code Squad เปิดใจว่า การแข่งขันครั้งนี้แน่นอนว่าเรามองหาคนเก่ง แต่ว่าพวกเขาก็ต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหารอบด้านและหลายวิธีเช่นกัน ปกติเราอาจจะเห็นคนนั่งเขียนโปรแกรมอยู่หน้าคอมและอาวุธของพวกเขาก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ หากไม่มีอุปกรณ์พวกเขาจะหาทางแก้อย่างไร ความกดดันที่ต้องทำ code ในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม ผู้เข้าแข่งขันต้องรับแรงกดดัน วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ รวมทั้งทำให้โปรแกรมออกมาถูกต้องและเร็วที่สุดให้ได้

ทางด้านของ ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล ผู้ดูแลด้าน Data Squad เผยว่า สิ่งที่ต้องการอย่างแรกเลยคือ ต้องเป็นคนที่อยากเข้าใจถึง Process ความเป็นไป  เป็นคนที่รู้จักตั้งคำถาม ว่าเราจะมองอะไรจาก Data มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เก่ง รวมทั้งนำ Insights ที่ได้มา Apply กับโจทย์เพื่อแก้ปัญหาได้ รวมทั้งต้องเป็นคนที่เป็นผู้ฟังที่ดี เรียนรู้เร็วและสื่อความให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เค้าค้นพบคืออะไรและมีความสำคัญยังไงกับองค์กร

สุดท้ายคือ อภิรัตน์ หวานชะเอม ผู้ดูแลด้าน Design Squad มองว่าการออกแบบของ Tech Jam ไม่ใช่แค่ออกแบบเพื่อความสวยงาม แต่ต้องนำความคิดสร้างสรรค์  มาช่วยในการแก้ปัญหาที่มีอยู่ โดยเริ่มจากความสามารถในการเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็สามารถนำปัญหามาสร้างเป็นโจทย์ โดยการออกแบบที่สร้างสรรค์และนอกกรอบ เพื่อมาสร้างเป็นต้นแบบรวมทั้งทดลองว่าแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง

หลักเกณฑ์การสมัคร

แน่นอนว่าการแข่งขันครั้งนี้ จะเป็นการแข่งขันเพื่อค้นหาสุดยอดของคนที่มีความสามารถรอบด้านทางเทคโนโลยีและการออกแบบที่ไม่ได้เก่งแค่ในหนังสือเรียน หรือสถาบันการศึกษาที่โด่งดังแต่ต้องเก่งรอบด้านและเหมาะสมกับการทำงานในอนาคต รวมทั้งให้คนนอกวงการได้รู้ว่าคน Tech นั้น เค้าคิดอย่างไรกันอยู่บ้าง เพราะความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาได้ถูกจุดและอย่างสร้างสรรค์จะช่วยเปลี่ยนโลกอย่างคอนเซ็ปต์ในการแข่งขันครั้งนี้คือ Tomorrow Squad หรือกองกำลังแห่งอนาคต ทุกคนที่เข้าร่วมครั้งนี้คือกองกำลังของผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและการออกแบบที่จะรันวงการ Tech ให้มีสีสันมากขึ้นและเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขัน ต้องมีอายุระหว่าง15-60 ปี ไม่จำกัดการศึกษาและสาขาอาชีพ การแข่งขันเป็นระบบทีม แต่ละทีมมีสมาชิก 1 หรือ 2 คนก็ได้ และสามารถเลือกแข่งขันได้ 1 Squad เท่านั้น โดยแบ่งเป็น 3 รอบ คือ รอบออดิชั่น การแข่งขันระดับภูมิภาค และการแข่งขันระดับประเทศ

การสมัคร เปิดรับสมัครทางออนไลน์ ผ่าน www.techjam.tech ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม ถึง 10 สิงหาคม 2561 โดยผู้เข้าแข่งขันต้องระบุภูมิภาคที่ต้องการแข่งขันรอบภูมิภาคและเลือกรูปแบบการออดิชั่นที่ต้องการ  หรือสมัครด้วยตนเองได้ ณ จุดรับสมัครประจำภูมิภาคต่าง ๆ ตามวันและเวลาที่โครงการกำหนด โดยผู้เข้าแข่งขันสามารถตรวจสอบรายละเอียดและความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่ www.techjam.tech

การคัดเลือกรอบออดิชั่นและการแข่งขันรอบภูมิภาค จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม ถึง 27กันยายน โดยภาคใต้ จัดที่ จ. สงขลา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดที่ จ. ขอนแก่น  ภาคเหนือ จัดที่ จ.เชียงใหม่ และภาคกลาง จัดที่กรุงเทพฯ

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2561 ที่อาคาร KBTG แจ้งวัฒนะ

รางวัลการแข่งขัน ในการแข่งขันรอบภูมิภาค ทีมที่ชนะอันดับ 1, 2 และ 3 ของแต่ละ Squad จะได้รับเงินรางวัลทีมละ 30,000 บาท 20,000 บาท และ10,000 บาท ตามลำดับ พร้อมถ้วยรางวัล และประกาศนียบัตร ในการแข่งขันระดับประเทศ ทีมที่ชนะอันดับ 1, 2 และ 3 ของแต่ละ squad จะได้รับเงินรางวัลทีมละ 100,000 บาท 50,000 บาท และ 30,000บาท ตามลำดับ พร้อมถ้วยรางวัล และประกาศนียบัตร ยิ่งไปกว่านั้น ทีมชนะเลิศอันดับ 1จากการแข่งขันระดับประเทศ จะได้รับโอกาสพิเศษสุด ร่วมทริปแพคเกจบินลัดฟ้าไปเปิดประสบการณ์แหล่งนวัตกรรมของซิลิคอน วัลเลย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง

 

 
Source: thumbsup

The post KBTG เดินหน้าปั้น TechJam2018 หวังสร้างความตื่นตัวและสีสันให้วงการเทคโนโลยี appeared first on thumbsup.


หนังสือน่าอ่าน “มองการทำตลาดแบบวัวสีม่วง”ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด

$
0
0

นอกจากกลยุทธ์การตลาดแบบ 5P ที่นักการตลาดคุ้นเคยแบบเดิมแล้ว ยังมี P อะไรที่ใช้งานกันคะ วันนี้ Thumbsup จะมาแชร์ความรู้หลังอ่าน Purple Cow หรือ การตลาดแบบวัวสีม่วง จากผลงานปลายปากกาของ Seth Godin สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้กันค่ะ

หากเอ่ยถึงกลยุทธ์การตลาด 5P ที่ใช้กันมาอย่างยาวนานคิดถึงคำว่าอะไรกันบ้างคะ ถ้าให้ทางผู้เขียนนึกแบบเร็วๆ คงหนีไม่พ้น Product, Place, Pricing, Promotion, Publicity แต่ในการทำงานจริงแล้วยังต้องมีเรื่องของ Positioning, Packaging, Permission อีกมากมายเลยนะคะ ทางคุณ Seth ก็บอกให้ทราบว่าทุกกลยุทธ์การตลาดไม่มีอะไรถูกหรือผิด แล้วแต่ว่าจะสามารถปรับใช้งานได้เหมาะสมแค่ไหน ซึ่งเขาได้แนะนำอีก 1P นั่นคือ Purple Cow หรือ วัวสีม่วง ให้รู้จักกันค่ะ

ทำไมต้องวัวสีม่วง

ท่านผู้อ่านอาจจะงงว่า วัวสีม่วง เกี่ยวข้องอะไรกับกลยุทธ์ทางการตลาด หัวใจสำคัญของวัวสีม่วงคือ “ความโดดเด่น” แต่คำว่า โดดเด่นในภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ขึ้นต้นด้วยตัว P แต่เป็น remarkable ก็เลยต้องใช้คำว่า Purple Cow แทนเพื่อให้สอดคล้องกับหลัก 5P นั่นเองค่ะ

หัวใจสำคัญของ “ความโดดเด่น” คือ สิ่งที่น่าจับตามอง พิเศษ แปลกใหม่และควรค่าแก่การพูดถึง นั่นหมายถึง การทำตลาดให้โดดเด่นคือศิลปะที่น่าจับตามองให้แก่สินค้าและบริการ ซึ่งความน่าสนใจของสินค้านั้นจะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ใช่มาสร้างกระแสตอนที่สินค้ากำลังจะปล่อยออกสู่ตลาด เพราะแบบนั้นสินค้าจะไม่มีความโดดเด่นและไม่มีใครสังเกตเห็น

ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เรียกว่า ได้สินค้าทุกอย่างง่ายจนไม่ตื่นเต้นที่จะรอซื้ออีกต่อไป ทำให้พวกเขาไม่เสียเวลาในการศึกษาแบรนด์ หรือสนใจจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์น้อยมาก ดังนั้น เราจึงกำลังเข้าสู่ยุคที่ไม่สามารถทำการตลาดแบบตรงๆ ได้อีก และสาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ

  • หมดยุคของความต้องการสินค้าเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่างไปแล้ว
  • เป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก เพราะถ้าคุณไม่แตกต่าง แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจคุณ
  • ลูกค้าที่เคยซื้อหรือลองใช้สินค้าของเรา จะไม่บอกต่อคนรอบข้างให้ใช้งานสินค้าของคุณ หากไม่ดีจริง

และเมื่อเกิด 3 ปัญหานี้ ก็เข้าสู่ยุคการตลาดที่กำลังสิ้นสุดแล้ว ในยุคที่ออนไลน์ครองเมือง แน่นอนว่าเราได้เห็นจุดสิ้นสุดของหลายๆ อุตสาหกรรม ที่เด่นชัดคืออุตสาหกรรมโทรทัศน์ที่เคยเป็นสื่อหลักในชีวิตของคนทั่วไป จากที่เคยสร้างรายได้มหาศาล ทุกแบรนด์ยอมจ่ายเพื่อสร้างการจดจำ กระตุ้นการซื้อ เพิ่มโอกาสของช่องทางการจัดจำหน่าย ไปจนถึงยอดขายที่เฟื่องฟู

แต่ในยุคนี้ โทรทัศน์กลับไม่ได้ผลดีเท่าเดิม แบรนด์ต้องสร้างมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ของตนเอง ด้วยการสื่อสารกับลูกค้าเองได้มากขึ้น เพราะผู้บริโภคในยุคนี้รู้แล้วว่าสื่อโฆษณาแบบตรงๆ อาจไม่ได้กระตุ้นให้อยากซื้ออีกต่อไป มีหลายๆ ตัวอย่างที่ Seth ได้แนะนำ แต่ผู้เขียนได้หยิบยกวิธีการขายในสิ่งที่คนต้องการซื้อมาเล่าให้ฟัง

หลังจากที่คุณกำหนดกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสื่อสารตลาดแล้ว ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะเป็นคนกลุ่มไหน ก็ต้องแน่ใจได้ว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่ซื้อสินค้าของคุณและคุณสามารถแก้ปัญหาให้พวกเขาได้ตรงจุด ด้วยกลยุทธ์ที่โดดเด่น 4 เรื่อง ดังนี้

  1. ใช้กลยุทธ์ที่สร้างความประทับใจแรกได้ ไม่ใช่การส่งจดหมายขยะ ขายของที่เหลือๆ หรือรีดกำไรจากลูกค้า แต่ต้องแจ้งพวกเขาทราบว่าคุณกำลังมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดให้พวกเขาได้รอติดตาม
  2. ร่วมมือกันกระจายแนวความคิด จากเฉพาะกลุ่มสู่คนส่วนมากและต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมให้พวกเขาบอกต่อได้ด้วย
  3. เมื่อคุณมีแผนจะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น ต้องขอความร่วมมือจากทีมอื่นๆ ช่วยให้บริการกลายเป็นสินค้า และสินค้ากลายเป็นบริการ จนเกิดเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ
  4. กล้าลงทุนใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ให้พวกเขารู้สึกว่าคุณทุ่มเทและเปิดโอกาสให้วัวสีม่วงตัวใหม่ เข้ามาสร้างความโดดเด่นและโอกาสให้แก่ธุรกิจ

ทิ้งท้ายด้วยสิ่งที่นักการตลาดทุกคนเกลียด นั่นคือ “การวัดผล” แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จที่หลายคนไม่ชอบแต่ก็ต้องยอมรับว่า “จำเป็น” เพราะการนำเทคโนโลยีมาช่วยวัดผลนั้น จะช่วยให้ทราบว่าธุรกิจของคุณกำลังอยู่ในช่วงขาลงหรือไม่ ซึ่งการวัดผลที่ดีจริงๆ ควรจะบอกข้อผิดพลาดได้ เพื่อที่จะรู้ปัญหาและแก้ไขได้อย่างเหมาะสม

เช่น แบรนด์ ZARA จากยุคที่เป็นแบรนด์เสื้อผ้านอกสายตา กลับกลายมาเป็นกิจการค้าปลีกที่โตอย่างรวดเร็วในยุโรป เป็นเพราะการ “เปลี่ยน” สินค้าที่วางขายทุก 3-4 สัปดาห์ เพื่อวัดผลว่าสินค้าใด “IN” หรือ “OUT” ในกลุ่มนักช้อป และปรับสินค้าได้ไวกว่าคู่แข่งจนเกิดกระแสบอกต่อแบบไม่ต้องทำการตลาดได้ จนเกิดเป็นแบรนด์ที่จดจำและลูกค้าต้องอยากเดินเข้าไป “ส่อง” ทั้งหน้าร้านและสาขาเพื่ออัพเดทเทรนด์เสื้อผ้าใหม่ๆ ตลอดจนขาดไม่ได้ ทำให้ ZARA เป็นกระแสบอกต่อไปทั่วโลก

แล้วคุณล่ะคะ กำลังมองหาวัวสีม่วงกันอยู่หรือเปล่า

 

 
Source: thumbsup

The post หนังสือน่าอ่าน “มองการทำตลาดแบบวัวสีม่วง” ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด appeared first on thumbsup.

จะเป็นอย่างไร ถ้าชีวิตขาดเทคโนโลยี

$
0
0

CDG ปล่อยคลิปพร้อมแฮชแท็ก “ขอบคุณเทคโนโลยี” ตั้งคำถามคนรุ่นใหม่กับการใช้งานเทคโนโลยี 

ในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีกับคนรุ่นใหม่นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิม เพราะคนยุคเจน Y และ Z ปรับตัวและเกิดมาพร้อมกับการใช้สมาร์ทโฟนกันแล้ว วันนี้เราจะชวนผู้อ่านย้อนกลับไปรำลึกถึงความเป็นมาของโทรศัพท์มือถือว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเด็กยุค 90 จะอยู่กันอย่างไรเมื่อไม่มีมือถือ!!!

ความเป็นมาของโทรศัพท์เคลื่อนที่

เมื่อย้อนหาข้อมูลเพิ่มเติมใน Wikipedia พบว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกนั้นถูกผลิตออกมาตั้งแต่ปี 2516 ผลงานของนักประดิษฐ์ของโมโตโรล่าที่ชื่อว่า มาร์ติน คูเปอร์ แต่ตอนนั้นมีขนาดเครื่องที่ใหญ่และน้ำหนักมากถึง 1.1 กิโลกรัม ทำให้ยากต่อการพกพา รวมทั้งความสามารถของเครื่องในยุคนั้นคือการโทรเข้าและรับสาย ยังไม่รองรับการส่งดาต้าใดๆ ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่คนจะพกพาและตัดสินใจซื้อ

เมื่อย้อนกลับมาดูในประเทศไทย แม้จะมีการนำโทรศัพท์เครื่องแรกเข้ามาใช้เมื่อปีพ.ศ. 2424 ในกิจการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีการพัฒนาและใช้งานในกลุ่มทั่วไปมากขึ้นเพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างสะดวกขึ้น โดยการพัฒนาของตัวเครื่องมาจากคลื่นที่ให้บริการซึ่งประมาณปี 1980 คือจุดเริ่มต้นของยุคเริ่มแรกของโทรศัพท์มือถือ 1G หรือ First Generation จนล่าสุดเตรียมเข้าสู่ยุค 5G แล้ว

ความสุนทรีย์ผ่านสายโทรศัพท์

แน่นอนว่าหากคุณเกิดในยุค 90 การโทรจีบสาวผ่านสายโทรศัพท์บ้าน ย่อมเป็นเรื่องสุนทรีย์และสร้างความเขินอายให้แก่คุณไม่น้อย เพราะเป็นการบ่มเพาะความรักหนุ่มสาวที่น่ารักและเป็นที่นิยมในยุคนั้นอย่างมาก แต่อย่างที่ทราบ เมื่อเป็นโทรศัพท์บ้าน คุณไม่สามารถใช้งานคนเดียวในบ้านได้แน่นอน รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่จะเจอปัญหาแบบใด

คลิปวีดีโอ “ขอบคุณเทคโนโลยี” ได้บอกเล่าเรื่องราวผ่านครอบครัวยุค 90 โดยมีคุณแม่ และลูกชายวัยรุ่น 2 คน เป็นตัวละครหลัก สะท้อนภาพของเทคโนโลยีที่นับว่าทันสมัยที่สุด ณ เวลานั้น

สำหรับในเรื่อง Landline นี้ มีที่มาของเรื่องจากการที่ลูกชายคนโต “ต้น” ใช้โทรศัพท์บ้านพูดคุยกับเพื่อนสาวในห้องนอนของตน แต่ถูกคุณแม่ ที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน กับน้องชายคนเล็ก “ตั้ม” ยกหูโทรศัพท์พูดแทรก ทำให้การสนทนาเกิดการขาดตอน และไม่เป็นส่วนตัว

ต่างจากสมัยนี้ ซึ่งการติดต่อสื่อสารสามารถเชื่อมต่อคนจากทั่วทุกมุมโลก ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือแบบพกพา หรือการสนทนาผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ  อีกทั้งยังใช้งานสะดวก รวดเร็ว และเป็นส่วนตัว สะท้อนภาพการพัฒนาของเทคโนโลยีจากยุคอนาล็อกสู่ความเป็นดิจิทัล และคุณค่าของเทคโนโลยีที่ถูกปรับใช้เพื่อคุณภาพสังคมที่ดีขึ้น

แน่นอนว่าการที่คนไทยมีเทคโนโลยีให้ใช้งานได้แบบทุกวันนี้ จะต้องมีการคิดและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีบริษัทหรือหน่วยงานที่เป็นของคนไทยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ในการเดินหน้าธุรกิจอย่างมั่นคง เราก็คงไม่สามารถเดินหน้าประเทศในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

แต่เทคโนโลยีก็พัฒนาจนในยุคนี้ เราสามารถมีสมาร์ทโฟนไว้สื่อสารกันได้อย่างสะดวกและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราเข้าถึงกันได้ง่ายขึ้น

แม้บริษัทยักษ์จากต่างชาติจะมั่นคงและน่าสนใจ แต่บริษัทของคนไทยก็เป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างมั่นคงเช่นกัน

ทำความรู้จัก CDG

CDG คือบริษัทให้บริการด้าน Information Technology รอบด้าน ทั้งจัดหาโซลูชั่นเทคโนโลยี บริหารจัดการเทคโนโลยีสำหรับรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจจนถึงภาคเอกชน ทำให้หลายเทคโนโลยีที่เคยดูว่าเป็นเรื่องยาก กลับเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราคุ้นเคย และนี่คือเรื่องราวของเทคโนโลยีที่ CDG อยากบอกคุณผ่านเรื่องราวตลอด 50 ปีที่ผ่านมา

โดยสื่อสารผ่านไวรัลคลิป “Landline” ภายใต้แฮชแท็ก #ขอบคุณเทคโนโลยี ที่ต้องการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการให้คนทั่วไปได้ทราบว่า CDG เป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยแท้และดำเนินธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน รวมทั้งต้องการเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง เพราะเชื่อว่าบริษัทจะสร้างอนาคตทุกรูปแบบที่มาพร้อมความสุขเสมอ ซึ่งนอกจากคลิปนี้แล้ว ยังมีอีก 2 คลิปที่จะปล่อยตามมาเร็วๆ นี้

#ขอบคุณเทคโนโลยี #CDGThailand #CDG50Years

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post จะเป็นอย่างไร ถ้าชีวิตขาดเทคโนโลยี appeared first on thumbsup.

Taiwan Expo งานรวมนวัตกรรมชั้นนำท่ีคนไทยไม่ควรพลาด

$
0
0

เรื่องของนวัตกรรมกำลังเข้าสู่ชีวิตของคนเรามากขึ้น ยิ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัล 4.0 ทำให้คนส่วนใหญ่มองหาเครื่องมือที่ทันสมัยและช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีชั้นนำนั้น ไต้หวันก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่น่าสนใจมากมาย และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีการจัดงาน Taiwan Expo อย่างเป็นทางการที่ประเทศไทย

ทางด้านของธีมการจัดงานในครั้งนี้ คือ Let’s TIE Together” ที่จะแสดงให้เห็นถึงเครื่องมือที่จะช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด รวมทั้งการแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรม ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างไทยและไต้หวันอย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอและแบ่งปันประสบการณ์ที่หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการเกษตร ยารักษาโรค การศึกษาและท่องเที่ยว โดยหวังจะสร้างเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวและเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

ทางด้านของพื้นที่การจัดงานจะแบ่งเป็น 8 อุตสาหกรรมหลัก มีผู้เข้าจัดแสดงงานกว่า 200 ราย จำนวนบูทกว่า 250 บูท ที่จะแสดงให้เห็นถึงอุตสาหกรรมที่หลากหลายของไต้หวัน จาก 5 หัวข้อหลัก อย่างการท่องเที่ยว สมาร์ทซิตี้ เฮลท์แคร์ อนุรักษ์ธรรมชาติและด้านความเป็นอยู่ รวมทั้งมีการจับคู่ธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสและประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ทาง Thumbsup ได้ยกตัวอย่างนวัตกรรมที่จะนำมาแสดงภายในงานให้ได้รับทราบกันค่ะ

นวัตกรรมที่น่าสนใจ

เริ่มต้นกันที่ iTrash ถังขยะอัจฉริยะที่ช่วยคัดแยกขยะได้อย่างชาญฉลาด ผ่านการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ระบบจะทำงานผ่านระบบ Cloud และ iOT มั่นใจได้ว่าจะไม่เจอปัญหาแยกขยะผิดประเภท เป็นถังขยะที่ไม่เปลืองค่าไฟมีระบบระงับกลิ่นเหม็นและกล้องวงจรปิดเพื่อช่วยตรวจเช็คว่าใครกำลังใช้งานอยู่

มอเตอร์ไซต์ระบบไฟฟ้าที่จะช่วยให้คุณขับขี่ได้ย่างปลอดภัยและปรับระบบเบรกได้อย่างอัจฉริยะ ความเร็วระดับเริ่มต้น 40-50 กม.ต่อชม.เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง หรือปรับระดับ 2-3 ได้ตามความเร็วที่ต้องการ ระบบควบคุมง่ายพร้อมสั่งงานผ่านรีโมท และในหน้าฝนแบบนี้ไม่ต้องกังวลปัญหาไฟช็อต เพราะเครื่องยนต์สามารถกันน้ำได้ 40 Cm. และวิ่งได้ยาวนานถึง 60-65 km. เมื่อชาร์จมาอย่างเต็มที่ รวมทั้งยังช่วยให้มองเห็นเส้นทางอย่างดีเยี่ยมในยามค่ำคืน

หากกำลังตกแต่งออฟฟิศและต้องการความเป็นส่วนตัวแบบห้องกระจกละก็ Switchable Smart Laminated Glass ก็น่าสนใจนะคะ เป็นกระจกที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด มีผิวหน้าโปร่งใสเมื่อคุณเปิดสวิตช์ให้สามารถมองออกไปเห็นภายนอกได้ หรือจะปรับผิวขุ่นยามที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ที่รองรับการออกแบบทั้งในและนอกอาคารทั้งยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย

หรือถ้าคุณกำลังมองหาเทรนด์ตรวจเช็คผู้เข้าร่วมงานแบบใหม่เพื่อเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับการเข้าร่วมงานอีเว้นท์ ต้องไม่พลาด Facepass ที่จะช่วยเก็บข้อมูลส่วนตัวแบบสั้นๆ ของผู้ที่เข้าร่วมงานเพียงใช้เทคโนโลยีสแกนใบหน้าก็เข้าร่วมงานได้แล้ว สะดวกทั้งผู้เข้าร่วมและคนจัดงานเลยนะคะ

หมดปัญหาในการจัดอีเว้นท์ที่ยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยระบบลงทะเบียน ช่องทางการจ่ายเงิน บริการ E-ticket  หรือ บริการ E-check-in บริการปริ้นป้ายสำหรับผู้เข้าร่วมงาน รวมทั้งยังทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้อีกด้วยด้วยบริการของ ACCUPASS ที่เรียกได้ว่าครบวงจรสำหรับการทำงานอีเว้นท์ที่ไม่ต้องยุ่งยากหาโซลูชั่นให้วุ่นวายอีกต่อไป

โดยงาน Taiwan Expo 2018 ครั้งแรกนี้ จะจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 ไบเทคบางนา ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้างานได้ ที่นี่ 

เพื่อรับของที่ระลึกซึ่งเป็นผลงานการออกแบบโดย BYC ที่จะแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ด้านอาหาร ศิลปะวัฒนธรรม และถูกนำไปใช้เป็นแพคเกจที่สวยงามในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ มากมายในไต้หวัน งานนี้พลาดไม่ได้เลยนะคะ

 

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post Taiwan Expo งานรวมนวัตกรรมชั้นนำท่ีคนไทยไม่ควรพลาด appeared first on thumbsup.

ใช้ชีวิตบน Social อย่างไรให้มีความสุข

$
0
0

ช่วงสุดสัปดาห์กลับมาเจอ thumbsup กันเหมือนเคยนะครับ เลยมาถึงไตรมาส 3 แล้ว พวกเรามีเวลาอีกแค่ไตรมาสเดียว ที่จะทำให้ถึงเป้าที่เราวางไว้กับบริษัท ซึ่งแน่นอนว่าการจะบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจเหล่านั้นย่อมต้องทำอะไรบน Social เยอะมากๆ เพราะ Social เป็นช่องทางสื่อสารหลักของเราไปแล้ว แต่ก็เพราะมันนี่แหละ ที่มีส่วนทำให้เรากลายเป็นคนที่อุดมไปด้วยดราม่า ต้องมานั่งอ่านการด่าทอกัน แล้วทำอย่างไรล่ะที่เราจะบรรลุเป้าหมายของเราโดยไม่กลายเป็นคนประสาทเสียกันไปเสียก่อน สุดสัปดาห์นี้ thumbsup เลยขอนำเสนอ วิถีทางการดำรงชีวิตบน Social ได้อย่างมีความสุข

จงเลือกที่จะ Follow และ Unfollow อย่างพินิจพิเคราะห์

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า พวกเราเป็นค่าเฉลี่ยรวมกันของ 5 คนที่เราอยู่ด้วยมากที่สุดไหมครับ นอกจากคนที่เราอยู่ด้วย 5 คนแล้ว ยุคนี้คงต้องบอกว่า 5 คนที่เราเลือกติดตามและ Inbox คุยด้วยบ่อยๆ ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งเลยล่ะ

ลองนึกภาพเวลาเราไถ Facebook Newsfeed, Twitter feed, LINE Group ของเรา การที่มันจะมีอะไรมาโชว์ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เราติดตามหรือพูดคุยด้วยบ่อยๆ ดังนั้นนอกจากเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อนที่ทำงานแล้ว เราอาจจะพิจารณาติดตามคนที่เราชื่นชอบในความคิดความอ่านในแบบที่เราต้องการที่จะเป็นด้วย เช่น กด See First เพจที่มีความคิดด้านบวก กด Follow Twitter account ที่ไม่ได้เอาแต่เสียดสีคนอื่น เพราะนอกจากเราจะเจอ Content ที่ดีแล้ว มันก็จะลดโอกาสที่เราจะเจอ Content จากแหล่งข้อมูลคุณภาพไม่ดีไปด้วยในตัว

เช่น ผมชอบงานเขียนของคุณวินทร์ เลียววาริณมาก เพราะเขามักจะมีมุมมองคมๆ สอดคล้องกับสถานการณ์สังคมเสมอ แต่ผมเลือกที่จะไม่ Follow เพจดราม่าต่างๆ ที่แสดงความคิดเห็นในแง่ลบ

หรือพูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่าในวันๆ หนึ่งเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน แต่การที่เราจะใช้ชีวิตบน Social อย่างไรให้มีความสุข ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการเลือก Follow และ Unfollow อย่างพินิจพิเคราะห์นั่นเอง

โพสต์แต่สิ่งที่เป็นความจริง ความดี และมีประโยชน์

บางคนอาจจะบอกว่าข้อนี้โคตรอุดมคติเลย (ถ้าจะให้แซวตัวเองบ้าง ผมบอกเลย น้องๆ ที่บริษัทชอบแซวผมว่าผมเป็นพวกโลกสวยครับ) แต่เอาจริงๆ ผมว่าผมเองก็ผ่านโลกมาพอสมควรนะ โลกนี้มันไม่ได้งดงามอะไรขนาดนั้นหรอก เวลามีปัญหาอะไรทีนึงเราก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและแก้กันไปทีละเปลาะ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกให้โลกรู้ว่าเราอยากจะก่นด่าใครเรื่องอะไร

สำหรับช่องทาง Social… ถ้าเรากลับไปดูความจริงพื้นฐานง่ายๆ การโพสต์ว่าร้าย โกหก นินทา ส่อเสียด หรือการทวีตด่าว่าใครลอยๆ บนช่องทาง Social แบบไม่ mention มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้โดยสามัญสำนึกอยู่แล้วว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้คนอื่นรู้สึกจิตใจย่ำแย่ลง

เช่น เราทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน เขาคิดไม่เหมือนกับเรา เราก็เลยโพสต์ออกไปว่า “เซ็งมากพูดไปก็ไม่มีใครฟัง จะอยู่ไปเพื่ออะไร” คนที่โพสต์แบบนี้ลึกๆ อาจจะรู้อยู่แล้วว่าคนรอบข้างคงจะเห็นอยู่แล้ว และรู้สึก “สะใจ” ที่ได้ทำ แต่ถ้ามองไปอีกขั้นจริงๆ แล้วเราก็ควรจะคิดได้ว่า Social ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว แต่มันคือพื้นที่สาธารณะต่างหาก คนที่อ่านและติดตามเราอาจเอาไปตีความเสียหายอย่างอื่น และไม่ได้ดีกับตัวเราเลยก็ได้ แทนที่จะโพสต์อะไรแบบนั้นสู้เราคุยเปิดอกกับคนที่เรามีปัญหายังจะดีกว่า

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การที่เราจะใช้ชีวิตบน Social อย่างไรให้มีความสุข เราจึงไม่ควรว่าทำร้ายใครในพื้นที่สาธารณะ เพราะนอกจากจะสร้างความรู้สึกหดหู่รอบๆ ตัวแล้ว มันยังไม่ได้ดีกับอารมณ์เราเองและอารมณ์ของใครเลย ก่อนจะโพสต์อะไร ลองถามตัวเองเล่นๆ ว่ามันเป็นความจริงไหม? ดีกับใครไหม? มีประโยชน์กับใครหรือเปล่า?

ใช้ Social สร้างประโยชน์อะไรสักอย่างบ่อยๆ

Social Media ถ้าใช้มันในทางดีอย่างเอาไปทำ Social Good อย่างที่ตูน Bodyslam วิ่งรับเงินบริจาคมันก็ดีกับคน แต่ถ้าเอาไปนัดแนะกันทำชั่วมั่วสุมมันก็กลายเป็นช่องทางของความชั่ว เราเลยปฎิเสธไม่ได้ว่า Social Media มันเป็นเครื่องมือในการมีปฎิสัมพันธ์กับคนในสังคมได้อย่างทรงพลัง ซึ่งถ้าหากเรามองว่า Social นั้นเป็นมากกว่าเป็นเพียงช่องทางอะไรสักอย่างที่เราระบายความคิด ความรู้สึก มันก็จะทำให้หมู่มวลอารมณ์ของสังคมและตัวเราดีขึ้น และส่งผลกลับมาที่ความสุขในใจของเราในที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นคนรักน้องหมา เจอน้องหมาถูกรถชนบาดเจ็บ คุณพามันไปหาหมอ หมอคิดค่าผ่าตัด 10,000 บาท คุณเลยโพสต์ลง Social เพื่อขอเงินบริจาคช่วยเหลือมันจากเพื่อนๆ เพื่อพอจ่ายค่าหมอ แม้มันจะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำแล้วเติมเต็มความรู้สึกคุณในทางบวก และเป็นการชักชวนคนรอบตัวมาทำประโยชน์อะไรด้วยกัน

ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ ง่ายๆ จะคิด จะพูด จะทำอะไรบน Social ถ้าเรารักษาให้มันบวกไว้ได้ ใจเราจะบวก คนรอบข้างก็บวก ชีวิตเราก็จะบวก

You are what you publish

 

 

 
Source: thumbsup

The post ใช้ชีวิตบน Social อย่างไรให้มีความสุข appeared first on thumbsup.

Samsung ใช้พลัง Twitter จุดกระแสให้ Note9

$
0
0

เป็นการทำแคมเปญ Hack กระแสบน Twitter ได้น่าสนใจที่สุดอีกแคมเปญหนึ่งในปี 2018 ของ Samsung ผ่านแฮชแท็ก #GalaxyNote9TH เพื่อบอกให้โลกรู้ว่าพวกเขาขายเก่ง 

Twitter ถือว่าเป็นอีกโซเชียลมีเดียหนึ่งที่หลายแบรนด์ให้ความสนใจเพราะมีผู้ใช้งานกว่า 12 ล้านคน เช่นเดียวกับทาง Samsung ที่หลังจากเปิดตัว Galaxy Note9 ไปไม่นาน ก็เริ่มทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง

จุดกระแสอย่างไร

สำหรับกลยุทธ์ทางออนไลน์ของ Samsung ในครั้งนี้นั้น เป็นการปล่อยแคมเปญ Hack Twitter Reply โดยทำการ crowdsouce insight ผ่าน tweet ด้วย 3 เรื่องหลักๆ คือ

  1. ปัญหาเกี่ยวกับโทรศัพท์ของตัวเอง
  2. Lifestyle การใช้ชีวิต การถ่ายรูป, หรือการฟังเพลง 
  3. คนที่เริ่มมีใจให้กับ Galaxy Note9

ทางด้านทีมแอดมินของ Samsung บน Twitter เมื่อได้ข้อมูลมาจาก War Room ก็กระจายกำลังเข้าไปตอบเกือบทุก Tweet ด้วยคำพูดที่น่ารัก โดนใจ ขายเก่ง จนบรรดาผู้ใช้ Twitter ต้องเปิดใจให้กับ Note 9 

ซึ่งกว่าจะได้การ reply ที่สนุกสนานแบบนี้ ทีมงานต้องทำการบ้านมาให้พร้อมก่อน ทั้งจากการดึงข้อมูล crowdsouce insight รวมถึงการวางแผนเข้าไปตอบในช่วงเวลาที่เหมาะสม และที่สำคัญคือใน sentiment หรือช่วงอารมณ์ของ Tweet ที่ใช่ด้วย เพื่อป้องกันข้อความตอบกลับที่ negative จะส่งผลกระทบกับแบรนด์ขึ้น และ spike ให้ข้อความเป็นไปในทิศทางที่ positive มากที่สุด

เรียกได้ว่าสามารถจุดติดบน Twitter จนกระแส #นี่มัน2018แล้วนะเว้ย สามารถขึ้น Thailand Top Trend บน Twitter ได้ ซึ่งทุกโพสต์จะตามมาด้วย reply ของทีมแอดมิน Samsung #GalaxyNote9TH เพียงวันเดียว มีคนมาร่วม engage ด้วยกว่า 40,000 คน งานนี้ถึงใครจะไม่ใจอ่อน ก็ต้องยอมใจให้กับความขยันขาย และความน่ารักของทีมแอดมิน Samsung ใครอยากสนุกกับแอดมิน Samsung ก็ลองเข้าไปเล่นตาม hashtag ข้างบนได้

Credit

Brand: Samsung Mobile Thailand | Agency:  adapter digital co., ltd.

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post Samsung ใช้พลัง Twitter จุดกระแสให้ Note9 appeared first on thumbsup.

มาแล้ว LINE SQUARE เรียลไทม์คอมมิวนิตี้บนแพลตฟอร์ม LINE

$
0
0

ฟีเจอร์ใหม่ที่เป็นคอมมิวนิตี้ในยุคดิจิทัล  ซึ่งผู้ใช้สามารถสร้างหรือเข้าร่วมคอมมิวนิตี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  แชร์ไอเดียกันแบบเรียลไทม์   และสื่อสารกันภายในคอมมิวนิตี้กันได้

อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า“ด้วยฐานผู้ใช้งานที่มากถึง 42 ล้านคนในประเทศไทย (อ้างอิง: Nielsen)  ทำให้ LINE มองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้แพลตฟอร์ม  โดยคาดหวังให้ LINE SQUARE เป็นเรียลไทม์คอมมิวนิตี้แรกใน LINE ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหลากหลายคอมมิวนิตี้ภายใน  เพื่อแบ่งปันไอเดียและอัพเดทในเรื่องราวหรือสิ่งที่สนใจร่วมกันได้อย่างอิสระเสรี

ความน่าสนใจ

  • ทั้งโพสต์และแชทก็ได้  เป็นสองฟีเจอร์หลักของ LINE SQURE  ทำให้คอมมิวนิตี้ของคุณมีสีสันและตอบโจทย์การสื่อสารในคอมมิวนิตี้มากขึ้น ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการสื่อสารภายในคอมมิวนิตี้ได้ตามใจชอบ

 

  • สร้างหัวข้อย่อยได้ตามใจต้องการ  เช่น คอมมิวนิตี้เกี่ยวกับ ท่องเที่ยว, ดาราเกาหลี, กีฬา ฯลฯ หรือจะสร้างห้องแชทแยกตามหัวข้อย่อยที่เฉพาะเจาะจงตามความสนใจเฉพาะก็ได้

 

  • สร้างห้องแชทย่อยภายในนั้นตามแต่ละวัตถุประสงค์ เช่น ห้องอัพเดทตารางงาน, ห้องเมาส์ซุบซิบ, ห้อง Fan Art  และห้องรวมภาพอีเวนท์ เป็นต้น เช่น วิ่งไหนดี Wingnaidee’  หนึ่งในสแควร์ที่ได้รับความนิยมสร้างห้องแชทย่อยตามตำแหน่งที่ตั้ง เช่น ‘วิ่งไหนดี@สวนรถไฟ’เป็นต้น

ส่วนโลโก้ LINE SQUARE จะปราฎในหน้ารายการเพื่อนและมุมบนขวาหน้าไทม์โลน์โดยอัตโนมัติ  เมื่อผู้ใช้ LINE ทำการอัพเดท LINE เป็นเวอร์ชั่น 8.13.0 ขึ้นไป  โดยผู้ใช้สามารถสร้างและเข้าร่วมหลากหลายคอมมิวนิตี้ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “สแควร์” ได้ตามความสนใจ  และสามารถตั้งชื่อและเลือกใช้รูปภาพโปรไฟล์ในแต่ละสแควร์ได้ตามใจชอบด้วย

ก่อนหน้านี้ LINE ได้มีการออกฟีเจอร์ใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจและผู้ใช้บริการทั่วไป  เพราะอยากไปถึงเป้าหมายของการเป็น Super App ที่รวบรวมบริการหลากหลายไว้ด้วยกัน  ก็เป็นอีกฟีเจอร์ใหม่ที่น่าจับตามอง  ว่าจะกลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่คนไทยนิยมใช้งานกันได้หรือไม่

อัพเดท​ LINEเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด: http://lin.ee/9zf92pp

 

 
Source: thumbsup

The post มาแล้ว LINE SQUARE เรียลไทม์คอมมิวนิตี้บนแพลตฟอร์ม LINE appeared first on thumbsup.

หมัดต่อหมัด ฟังความเห็นสาวก Apple VS Samsung คิดอย่างไรกับ Iphone รุ่นใหม่

$
0
0

เพิ่งผ่านพ้นการเปิดตัว Iphone รุ่นล่าสุด อย่าง Xs, Xs Max และ Xr ไปหมาดๆ แน่นอนว่าคนที่ชอบและแอนตี้ต่างก็ถกเถียงกันมากมายบนโลกออนไลน์ว่าควรเสียเงินซื้อหรือไม่ กับราคาเปิดตัวที่แสนแพง แต่กลับไม่ได้นวัตกรรมที่ฟู่ฟ่าอย่างที่ควรจะเป็น หรือแม้แต่ความสามารถของเครื่องก็แทบจะคล้ายกับเครื่องของคู่แข่งไปทุกที งานนี้ Thumbsup ได้สอบถามความเห็นของ 2 สาวก ที่เรียกว่าเป็นตัวพ่อของคนละฝั่งระบบปฏิบัติการณ์ มาวิเคราะห์กันแบบหมัดต่อหมัดเลยทีเดียว

จักรพงษ์ คงมาลัย ตัวแทนสาวกฝั่งแอนดรอยด์

คิดว่า iPhone ใหม่เป็นอย่างไรบ้าง

คิดว่าเป็นการอัปเดตปกติของ iPhone ที่เคยเป็นมาอย่าง 3G, 3Gs ก็คือการเป็น minor อัปเกรด  ซึ่งก็คงจะเพิ่มในแง่ของประสิทธิภาพเล็กน้อย แต่จริงๆ iPhone ก็มีมาตรฐานของตัวเองอยู่แล้ว  ถ้าสมมติใครไม่เคยซื้อ iPhoneX  มาก่อนเลย ผมก็คิดว่าอาจจะอัปเกรดมาได้  แต่สำหรับผมมันไม่ได้มีอะไรใหม่ คือไม่ได้อยากจะไปโจมตีอะไรนะ  แต่มองว่าเราก็รัก Samsung ของเราอยู่แล้ว

จุดดี จุดด้อย และจุดขาย

ยังไม่เห็นมีอะไรที่น่าว้าวเลย โดยรวมแล้วถือว่าเฉยๆ มาก ถ้าใครไม่เคยใช้ iPhoneX ก็อาจจะซื้อมาลองใช้งานได้ เพราะผมไม่เห็นมันมีอะไรที่โดดเด่น ถึงผมจะอยู่ฝั่ง Android แต่ก็ไม่ได้อยากจะโจมตีอะไรมาก บอกได้แค่ว่าใครที่ prefer iOS ถ้าหากเครื่องที่ถืออยู่เดิมมันเป็นเครื่องเก่าก็ไปเถอะ
แต่ถ้าหากใครถือ iPhoneX อยู่แล้ว และวางแผนจะซื้อตัวนี้ ก็บอกได้ว่าไม่จำเป็นเลย  เพราะมันก็ไม่ได้มี usage อะไรที่ดีพอ จนสิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามกลับไปคือการอัปเกรดคราวนี้  ถ้าหาก Hardware มันอัปเดทมากนัก ตัว Software ก็สมควรจะมีอะไรที่มันมากกว่านี้หรือเปล่านะ

คิดว่ายอดขายจะเป็นอย่างไร

ไม่กล้าฟันธงเลย  เพราะ iPhone เป็นแบรนด์ที่มีคนติดตามแบบเหนียวแน่น แต่ก็อย่างที่เรารู้นั่นแหละครับ ว่าระบบ IOS ค่อนข้างตืด กว่าใคร Android ก็จะไม่ได้สนใจแนวนั้นอยู่แล้ว

Tim Cook จะไปต่อได้ไหม

พี่ว่าอย่างที่เรารู้กันคือ Tim Cook เคยเป็นมือขวาคู่ใจของ Steve Jobs มาก่อน ซึ่ง Steve Jobs มีความเป็น Innovator แต่ Tim Cook ก็เป็นคนที่วางกลยุทธ์ในการแข่งขันได้ดี  อย่างเช่น  เมื่ก่อนไม่เคยคิดจะขยายขนาดหน้าจอเลย  ไม่คิดจะแบ่งรุ่น Segment ราคาถูก ราคาแพงเลย ทั้งหมดเกิดขึ้นในยุค Tim Cook  ซึ่งก็ทำให้ยอดขายของของ iPhone ดีขึ้นและเดินหน้าต่อได้  ก็ยังถือว่าไปต่อได้แหละ แต่ถ้าพูดเรื่องนวัตกรรมก็ไม่ได้เห็นอะไรใหม่ๆ จาก Apple เท่าที่ควรจะเป็น

สรุปควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ

เพราะผมเป็นแฟน Samsung  ก็ไม่เห็นว่าจะจำเป็นนะ (หัวเราะ)

ขจร เจียรนัยพานิชย์ ตัวแทนสาวกแอปเปิล

คิดว่า iPhone ใหม่เป็นอย่างไร

ไม่มีอะไรใหม่  เพราะปีนี้วงการสมาร์ทโฟนค่อนข้างเงียบเหงาทุกค่ายเลย  แต่สิ่งที่ Apple ทำได้ดี คือการทำให้สินค้าเดิมราคาหมื่นสองหมื่น สามารถซื้อขายได้ในราคาสี่หมื่น แล้วคนก็ซื้อเยอะด้วยในปีนี้ถามว่ามีอะไรใหม่มั้ย จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ อย่าง iPhoneXS ก็มีสีใหม่ ชิปใหม่ แต่ก็เพิ่มรุ่นจอใหญ่เข้าไป

จุดดี จุดด้อย และจุดขาย

สิ่งที่ดีที่สุดของ iPhone  ปีนี้คือ “ราคา  เรียกได้ว่าปีนี้ทุ่มในการเปิดตัว XR ที่มองด้านหน้าก็เหมือน iPhone X เลย  แต่ข้างในดีกว่า ด้านหลังเหมือน iPhone8 ซึ่งก็ไม่ได้แย่นะ เพราะเป็นเกรดของ Apple แต่ราคาแทนที่จะต้องจ่ายสี่หมื่นก็มาจ่ายแค่สองหมื่นกว่าๆ  ซึ่งอันนี้เป็นเหมือน Killer Feature ของ Apple เลย  แถมมีให้เลือกตั้ง 5 สีด้วย  ทุกวันนี้ทุกเจ้าพยายามทำแบบไม่มีขอบกันหมด  แต่หลายๆ คนก็ยังรอไอโฟนที่ไม่มีของและจับต้องได้อยู่

คิดว่ายอดขายจะเป็นอย่างไร

ปีหน้า Apple น่าจะทำสถิติยอดขายตลอดกาลสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง  เพราะก็มีคนอยากซื้อ iPhone รุ่นท็อปใหม่ทุกปี  และ Apple แสดงให้เห็นแล้วว่าปีนี้ทำรายได้สูงสุด ถึงจำนวนสินค้าจะลดลงแต่ด้วยราคาที่แพงขึ้น  ทำให้ราคาสินค้ายังแพงอยู่ และเก็งกันว่าปีนี้จะขายได้ถึง 70-80 ล้านเครื่อง ซึ่งปีที่แล้วคนชะลอการซื้อ iPhone ไว้ แล้วน่าจะรอปล่อยในปีนี้แหละ
อีกจุดที่น่าจะดึงดูดคนใช้และเป็นเรื่องใหม่ของ Apple ก็คือการออก 2 ซิม นอกจากการโชว์เรื่องกล้อง ระบบ อะไรต่างๆ ในปีนี้ Apple ยังมีการใช้ AI machine learning และรุ่นใหม่นี้ก็รองรับการเป็น AI และ Machine Learning สูงมาก  ซึ่งชิปตัวใหม่ประเมินผลตรงนี้ได้สูงมากๆ

Tim Cook จะไปต่อได้ไหม

จริงๆ แล้ว Tim Cook เป็นคนที่เก่งเรื่อง Operation มากกว่า Steve Jobs ด้วยซ้ำ  หลายคนบอกว่า Apple ไม่มี Jobs ทำให้ความน่าสนใจหายไป แต่ Tim Cook ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระหว่างที่ไม่มี Steve Jobs ก็มีสินค้าที่เป็นนวัตกรรมหลายตัว  อย่างเช่น Apple Watch ที่ตอนนี้กลายเป็นนาฬิกายอดขายอันดับ 1 หรือ iPhoneX ที่มีระบบสแกนหน้าที่ดี และยังไม่มีใครเอาชนะได้  เรียกได้ว่า Apple ไม่ได้แย่ลงเลย  และกลับเปิดบริษัทให้รู้จักมากขึ้น  แต่ที่แย่ลงอาจเป็นความ Sexy ของ iPhone ที่น้อยลง เพราะขาดศูนย์รวมจิตใจ

สรุปควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ

หลายคนชอบบอกว่าคนซื้อ iPhone เยอะทุกปีเพราะสาวก  แต่จริงๆ คนซื้อเดี๋ยวนี้ฉลาด เพราะโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเกิดมาในโลก 10 ปีแล้ว ซึ่งสินค้าที่เกิดมาในโลก 10 ปี  คนก็จะเริ่มรู้ทันแล้วว่ามันจะเป็นแบบไหน  และทุกวันนี้คนซื้อมือถือเหมือนซื้อบ้าน  คือดูรีวิว หาข้อมูล มันไม่มีหรอกที่ซื้อแล้วไม่คิด  (หัวเราะ)
และนี่ก็คือสองแนวความคิดเห็นของสองสาวกต่างค่าย ที่ต่างฝ่ายก็รู้สึกว่ามือถือยุคนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่น่าสนใจทั้งสิ้น ส่วนใครจะเลือกซื้อสมาร์ทโฟน ยี่ห้อไหน รุ่นไหน ก็ตัดสินใจกันเองนะคะ
 
Source: thumbsup

The post หมัดต่อหมัด ฟังความเห็นสาวก Apple VS Samsung คิดอย่างไรกับ Iphone รุ่นใหม่ appeared first on thumbsup.


รู้จักจุดเเข็งในตัวคุณ จากหนังสือขายดีอันดับ 1 ของ WSJ

$
0
0

หลายคนคงคุ้นเคยกับ SWOT ซึ่งประกอบไปด้วย S(Strengths) W(Weaknesses) O(Opportunities) และ T(Threats) แต่วันนี้จะชวนมาดูวิธีพัฒนา S ในตัวคุณ เพราะเชื่อหรือไม่ว่าคนเราต่างก็มี “พรสวรรค์” ที่สามารถพัฒนามาเป็น “จุดแข็ง” เฉพาะตัวได้ทั้งนั้น ผ่านหนังสือขายดีอันดับ 1 ของ Wall Street Journal ที่ชื่อว่า “Strengths Finder 2.0”

แม้จะมีคำพูดว่า “เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น ถ้าเรามีความพยายามมากพอ” เเต่จะดีกว่าไหมถ้าไม่ต้องเสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด

ลองคิดดูง่ายๆ ถ้ากราฟคะเเนนสำหรับความเก่งแบ่งเป็น 1-10 คะแนน ซึ่งคุณมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีอยู่ที่ 5 คะเเนน เมื่อเทียบเวลาที่ใช้เพื่อฝึกฝนคิดเป็นประมาณ 2 คะเเนน(เวลาเเละความทุ่มเทที่ใช้) ผลลัพธ์จะกลายเป็น

[พรสวรรค์(5) X การฝึกฝน(2)] = ทักษะทางดนตรี 10 คะแนน

คิดกลับกันดูว่าถ้าฝึกในสิ่งที่ไม่ถนัดนั้นจะเหนื่อยหนัก เพราะต้องทุ่มเทเเรงกาย เเรงใจ พลังงานในการฝึกฝนอย่างมหาศาล เเล้วบางทีผลลัพธ์ก็ไม่ได้ออกมาดีเท่ากับการพัฒนาพรสวรรค์ ซึ่งซ้ำร้ายกว่านั้นการไม่รู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองคืออะไร ก็ทำให้เสียโอกาสพัฒนาจุดเเข็งเปล่าๆ ในความจริงเเล้ว “จุดเเข็ง” ก็มาจากพรสรรค์ที่ติดตัวมาตั้งเเต่เกิดเเล้วพัฒนามาจนเป็นจุดเเข็งของตัวเอง มันเป็นวิธีพัฒนาตัวเองที่เปรียบเหมือนเราเกาถูกที่คันนั่นเเหละ เพราะทำให้ไม่ต้องไปเสียเวลาไปทุ่มเทกับการแก้ไข “จุดอ่อน” ที่เรามี เเถมการทำแบบนี้ยังสนุกกว่าด้วยจริงไหม

รู้จุดเเข็งกันไปทำไม ?

ผลวิจัยพบว่าคนที่ไม่ได้ใช้ “จุดเเข็ง” ของตัวเองในการทำงานมักจะรู้สึกกังวลกับงาน มองโลกเเง่ลบ เเละยังส่งผลกับสุขภาพด้วย (เพราะต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัดทุกๆ วันมันก็ต้องเครียดอยู่เเล้ว) ซึ่งความจริงเเล้วจุดเเข็งมาจากพรสวรรค์คูณด้วยระยะเวลาที่ใช้ในการฝึกฝน เเละเเน่นอนว่าถ้าค้นพบพรสวรรค์ของตัวเอง เเล้วเอามาพัฒนาให้ถูกด้วยการใช้เวลาฝึกฝนก็จะทำให้กลายเป็นจุดเเข็งอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเเหละที่เจ้า “จุดเเข็ง” นี้จะช่วยให้เราเติบโตในหน้าที่การงาน เพราะพัฒนาตัวเองได้อย่างดี เเละสามารถเลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง

ทำอย่างไรถึงจะหาเจอ ?

การบอกว่าให้ลองหาจุดเเข็งจากสิ่งที่เราทำได้ดีสิ อันนั้นก็ดูยากเเละนามธรรมจนเกินไป เราเลยอยากเเนะนำหนังสือขายดีอันดับ 1  ของ Wall Street Journal ที่เขียนโดย Gallup เป็นหนังสือที่ใช้การศึกษาจุดเเข็งของมนุษย์มากกว่า 40 ปี จนพัฒนามาเป็นเเบบประเมินตัวเองให้ได้ลองทดสอบกัน

ตัวอย่างจุดเเข็งที่ตัวเองได้มา

อธิบายคร่าวๆ เเล้วอาจยังเห็นภาพไม่ชัด เลยอยากยกจุดเเข็ง 5 อันดับ ที่ตัวเองทำเเบบทดสอบในเว็บไซต์เเล้วได้มา ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างตรง เเละเป็นประโยชน์มากๆ เพราะทำให้เรารู้จักสไตล์การทำงานของตัวเองดียิ่งขึ้น

  • ผู้มองอนาคต (Futuristic)
    สามารถมองภาพอนาคตในครั้งหน้าได้อย่างละเอียด เเละถ่ายทอดจินตนาการที่สวยงามออกมาให้คนอื่นรับรู้ได้
  • ผู้บรรลุเป้าหมาย (Activator)
    ชอบทำงานหนัก ท้าทาย เเละบรรลุเป้าหมายหลายๆ อย่าง
  • ผู้สรรหาความเป็นเลิศ (Maximizer)
    มุ่งหมายจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีเลิศ เเละสนุกกับการใช้จุดเเข็งของตัวเองกับการทำงาน
  • ผู้มองโลกแง่ดี (Positivity)
    มีพลังเเละทัศนคติเเง่ดี เเละชอบเเบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับคนที่อยู่รอบข้าง
  • นักคิด (Intellection)
    สนุกกับการใช้ความคิด ชอบเรื่องเกี่ยวกับความรู้ ปรัชญา

ในเล่มนี้มีอะไรบ้าง ?

  • ความพิเศษคือในเล่มมีรหัสให้ไปเข้าเเบบทดสอบจุดเเข็งในเว็บไซต์ ซึ่งทำเเล้วจะรู้ว่าจุดเเข็ง 5 อันดับเเรกของเรามีอะไรบ้าง
  • คำอธิบายพฤติกรรมที่คุณเป็นมากขึ้น (ระบบการคิด, การทำงาน, การสื่อสารกับผู้อื่น)
  • วิธีนำจุดเเข็งที่เรามีไปใช้กับหน้าที่การงาน
  • คำอธิบายจุดเเข็งทั้งหมดของผู้คนทั่วโลกที่ Strengths Finder 2.0 วิเคราะห์ออกมา (มีทั้งหมด 34 จุดเเข็ง)
    ไม่ได้จบเเค่ในเล่ม เพราะยังมีอัปเดตความรู้ใหม่ๆ ผ่านทางเว็บไซต์เสมอ

อ่านเว็บไซต์ของหนังสือเพิ่มเติม: gallup

หนังสือเล่มนี้บอกกับเราว่าเเทนที่จะมองว่า “เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น เรามีความพยายามมากพอ” ให้เข้าใจใหม่ว่า “เราอาจเป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็นไม่ได้ เเต่เราสามารถเป็นตัวเราที่ดียิ่งขึ้นไปอีกได้” ลองหามาอ่านเป็นทางเลือกกันดูสำหรับทุกคนที่กำลังค้นหาตัวเองกันค่ะ:D

 
Source: thumbsup

The post รู้จักจุดเเข็งในตัวคุณ จากหนังสือขายดีอันดับ 1 ของ WSJ appeared first on thumbsup.

บทเรียนจากการเขียน Blog มา 12 ปี

$
0
0

ช่วงวันหยุดยาว มีเวลาอยู่กับตัวเองนานหน่อย ผมเลยเกิดฉุกคิดได้ว่าแป๊บๆ ก็เขียน Blog มาร่วม 12 ปีได้แล้ว (นี่ยังไม่นับยุค “ไดอะรี่” แบบไปส่องๆ กันเองบน DiaryHub, Storythai, Exteen ฯลฯ) ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วเราเรียนรู้อะไรจากการใช้เวลาตั้ง 1 รอบชีวิตกับมันบ้าง มันมีความหมายว่าอะไร เลยอยากเขียนเอาไว้เป็นบันทึกกับตัวเองไว้ใน thumbsup ครับ

นั่งนึกย้อนกลับไป เราเจออะไรมาบ้าง?

  • เราอยากให้คนอ่าน (ที่ผมชอบบังคับให้คนอื่นเรียกว่า thumbsupers) มีข่าวสดๆ ใหม่ๆ อ่าน เลยตื่นตี 4 ตี 5 มาเขียน เพื่อให้ทัน 6 โมงเช้า แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้วนะ แต่ตอนนั้นฟิตมาก
  • นั่งหลังขดหลังแข็งเขียนอย่างต่อเนื่องมาตอนนี้ก็เป็นพันตอนแล้ว เพื่อให้คนที่ติดตามมั่นใจว่าไม่ได้มาเล่นๆ จนยอมที่จะกดติดตามในช่องทางต่างๆ
  • เรารู้สึกได้ว่าคนอ่านบางคนรู้จักเราจริงๆ ไม่ได้ตามอ่านเรื่องราวของเราแบบผ่านๆ และเวลาเจอคนเหล่านี้ในงาน event เขาจะอยากคุยเรื่องที่เราเขียน มันทำให้เรารู้สึกมีค่า
  • นั่งคิดหาประเด็นเล่าเรื่อง ออกสถานที่หาวัตถุดิบมาเขียน หรือถ่ายทำคลิปประกอบ Blog เหนื่อย แต่ก็สนุก
  • เตรียมการสัมภาษณ์คน ถอดเทป เรียบเรียง โปรโมท Content ตัวเองครั้งหนึ่งร่วม 10 ชั่วโมง เหนื่อยโคตร
  • เสียเงิน เสียเวลาทำสิ่งที่ก็ไม่แน่ว่าจะมีรายได้กลับมาสักเท่าไหร่ เมื่อไหร่ แต่ก็ทำ
  • เรารู้สึกว่าการเขียน Blog มันเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิตมากๆ มันพาเราไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตเยอะมาก ทำให้เรารู้จักคนใหม่ๆ ทำให้เราได้ทำรายการโทรทัศน์ ทำให้เราได้ลองออกหนังสือของตัวเอง ทำให้เราได้มีบริษัทของตัวเอง เปิดโอกาสให้ชีวิตเราหลากหลายขึ้นเยอะเลย
  • ฯลฯ

เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งธรรมดาที่เจอ แต่ถึงจะเหนื่อยกับมันแค่ไหน เราก็รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ทำ เพราะเรารู้ว่าเป้าหมายในการทำงานตรงนี้ไม่ใช่แค่การทำเพื่อตัวเอง แต่มันเป็นการทำอะไรที่อยู่เหนือขึ้นไปกว่าตัวเอง โดยเฉพาะการให้อะไรกับ “คนอ่าน”

ผมไม่ได้ตู่เอาเองนะครับ ลองโพสต์ถามเพื่อนรอบๆ ตัวดูแล้วว่า “อะไรทำให้คุณยังคงเขียน Blog, เปิดเพจมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เลิกล้มไปเสียก่อน จงอภิปราย” ปรากฏว่ามีเพื่อนๆ Blogger เขียนตอบกันมามากกว่า 50 ความคิดเห็น ขอเอาบางส่วนมาใส่ในนี้นะครับ แทบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มาได้ขนาดนี้เพราะ “คนอ่าน”

Mao Investor – 1. เริ่มทำเพราะชอบ 2. ทำต่อเนื่องเพราะมีคนอื่นชอบและส่งพลังกลับมาให้เรา การที่มีคนมาเม้นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ดีใจแล้ว ถ้าไม่มีคนอ่านก็คงไม่ได้ทำต่อนานขนาดนี้ค่ะ สรุปคือเพราะคนอ่าน

MartinPhu – ของผมเขียนมาตั้งแต่ปี 2009 มาจนถึงปัจจุบันเพราะว่า ยังมีคนตามอ่าน และพูดคุยกันเสมอ รู้สึกว่าได้แบ่งปันความรู้หรือสิ่งที่เราได้ไปพบเห็นมาครับ ยังไม่เคยรู้สึกว่าอยากเลิกเขียน เพราะว่าสนุกที่จะแชร์ครับ ไม่ได้คาดหวังเรื่องชื่อเสียงหรืองานที่จะเข้ามาผ่านบล็อกสักเท่าไหร่ครับ

Designil – ชอบขีดๆ เขียนๆ ฮะ // เคยแพลนว่าจะเขียน Blog เรื่องนี้อยู่นานมากแล้วฮะ ตอนนั้นมีนักศึกษาเมลมาขอบคุณที่บทความในเว็บทำให้เค้าเรียนจบ

8 บรรทัดครึ่ง – เพราะยังมีคนอ่านครับ

Jetboat – คุณค่าในตัวเอง

iAumReview – ส่วนนึงกลายเป็น Routine ที่เราทำจนเคยชิน ไม่ทำคือขาด ส่วนนึงก็เป็น Business ไม่ทำ ก็ไม่มีกิน ไม่มีใช้เท่าปัจจุบัน ส่วนนึงกลายเป็นความรัก เบื่อกันบ้าง เซ็งกันบ้าง แต่ถ้าไม่มีแก ก็ไม่มีใคร อะไรแบบนี้ค่า

@kidmakk – เยียวยาความรู้สึกของตัว และคนอื่นๆ ครับ

ความเห็นของหลายๆ ท่านดีๆ เพียบเลยแต่อาจจะคล้ายกันเลยไม่ได้ลงตรงนี้ ลองไปอ่านกันดูในโพสต์นี้นะครับ แต่ผมคิดว่าพอจะสรุปรวมๆ ได้ว่า…

โดยส่วนใหญ่แล้ว Blogger แทบทุกคนเขียนมาได้อย่างยาวนานเพราะใจรัก ทำไปแล้วรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ทำจนกลายเป็นนิสัย และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วถ้าไม่ได้ทำ Content ให้คนอ่านได้เสพจะรู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง 

และนอกจากเหตุผลที่เขียนมาข้างบนทั้งหมด ที่จริงผมมีมุมมองเพิ่มเติมว่า Blogger อาจไม่จำเป็นต้องตอบสนองกลไกการตลาดแต่อย่างเดียวก็ได้ หากแต่ Blogger สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมระดับที่ใหญ่ขึ้นได้ด้วย

บางคนอ่านไป อาจจะมีคำถามว่า Blogger เนี่ยนะ สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมอะไร?

เป็นอาชีพก็แค่ทำแลกเปลี่ยนเงินไปก็จบแล้วนี่นา?

ประเด็นที่ผมอยากจะแชร์กับทุกคนในวันนี้ ไม่ใช่แค่ว่า Blogger ในฐานะอาชีพๆ หนึ่งมันเป็นยังไงหรอกครับ แต่ผมอยากจะชี้ว่าที่จริงแล้ว Blogger จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมในมิติที่มันนอกเหนือไปจากการหารายได้ได้ด้วย

เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ผมขอยกตัวอย่างของ Blogger คนหนึ่งครับ

คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้กันบ้างไหมครับ?

เธอชื่อ มะลาละห์ ยูซัฟซัย ครับ ปัจจุบันเธอเป็นนักการศึกษาและนักเรียกร้องสิทธิสตรี อายุแค่ 21 ปีเท่านั้นเอง

เมื่อสิบปีก่อน เธอเป็นเด็กนักเรียนจากเมืองมินโกรา เขตสวัด ประเทศปากีสถาน มะลาละห์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อเธออายุเพียง 11 ปี ในฐานะ Blogger คนหนึ่งที่เขียน Blog ส่งให้สำนักข่าว BBC ทั้งหมดเกิดขึ้นจาก ณ เวลานั้นในเขตหมู่บ้านของเธอจะมีกลุ่มตาลีบันที่คอยห้ามไม่ให้เด็กผู้หญิงเข้าศึกษาในโรงเรียน มะลาละห์คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เธอเลยเขียน Blog เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอภายใต้ระบอบตาลีบันที่พยายามเข้าไปควบคุมหุบเขา และมุมมองของเธอต่อการสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กผู้หญิง

สิ่งที่เธอเขียน เธอเขียนด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในระดับที่สูงขึ้นไปกว่าตัวเราเองอย่างเดียว Blog ของเธอจึงมีพลัง และพลังนี้ก็ส่งต่อไปถึงสถาบันอื่นๆ

ต่อมาทางสำนักข่าว New York Times อ่าน Blog ของเธอจึงได้สนใจเข้ามาทำสารคดีชีวิต วิธีคิดของเธอ สารคดีชิ้นนั้นทำให้สื่อทั้งในและต่างประเทศเริ่มให้ความสนใจทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น จนต่อมามะลาละห์ก็ได้รับตำแหน่งประธานสภาเด็กเขตสวัด จากนั้นเธอได้รับการเสนอชื่อรางวัลระดับนานาชาติมากมาย

แต่ชื่อเสียงที่มากขึ้นของเธอกลับทำให้กลุ่มตาลีบันไม่พอใจ… มะลาละห์ ถูกกลุ่มตาลีบันลอบยิงเข้าที่หัวและคอสาหัสปางตาย แต่โชคดีที่รอดมาได้ จนในที่สุด มูลนิธิโนเบลได้ประกาศให้เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นอกจากนี้นิตยสาร TIME ยังได้ระบุว่ามะลาละห์คือหนึ่งในบุคคลผู้มีอิทธิพลที่สุดของโลกในปีนั้นอีกด้วย

จากเส้นทางเหล่านี้จะเห็นได้ว่า มะลาละห์ เริ่มต้นสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการเขียน Blog แต่เธอคิดจากฐานของแนวความคิดในการทำสิ่งที่เหนือกว่าตัวเองขึ้นไปในระดับที่สร้างผลกระทบกับคนจำนวนมาก อย่างในกรณีนี้ก็คือการต่อสู้เพื่อสิทธิในการศึกษาของเด็กผู้หญิง ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเองอย่างเดียว

ถ้าลองมองดูดีๆ คุณจะเห็นว่าเส้นทางชีวิตของเธอ เมื่อเธอเลือกที่เขียน Blog เกี่ยวกับเรื่องที่มีคุณค่าอย่างสิทธิสตรี เธอก็ได้รับความสนใจจากผู้คน จากสื่อ จาก Blogger คนอื่นๆ และเมื่อเรื่องของเธอได้ถูกนำไปเล่าต่อจนกลายเป็นสารคดีของ New York Times ประกอบกับการต่อสู้เพื่อการศึกษาของเด็กผู้หญิง

– – – – –

พาคุณกลับจากปากีสถานมาที่ไทย…

ผมรู้สึกดีใจที่ได้เขียน Blog รับใช้ Community ที่อยู่รายรอบตัวผมมาถึง 12 ปี และจากนี้ไปก็เลยอยากจะท้าทายตัวเองว่าอยากจะให้ Blog ที่เขียนนี้สามารถทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นไปกว่านี้ได้อีก และปี 2019 จะเป็นปีที่ผมจะทำมันให้ดีขึ้นไปอีกเพื่อให้สามารถรับใช้คุณได้มากกว่าเดิม

 

 
Source: thumbsup

The post บทเรียนจากการเขียน Blog มา 12 ปี appeared first on thumbsup.

K PLUS ใหม่ ที่เปลี่ยนเพื่อเป็นมากกว่าแอปธนาคาร

$
0
0

ปัจจุบัน แอปธนาคารมีความสามารถที่ไปไกลกว่าที่หลายคนเคยคิดไว้ จากแต่ก่อนที่ทำได้แค่โอนเงิน เติมเงิน จ่ายบิล แต่ตอนนี้โมบาย แบงกิ้งเป็นแอปที่สนุกกว่านั้น และมีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น และนี่เป็นเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยที่จะทำให้ K PLUS เป็นมากกว่าแค่แอปธนาคาร แต่เป็นแอปที่จะอยู่ในชีวิตของลูกค้า และทำทุกอย่างได้จบในแอปเดียว

นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แพลทฟอร์มของ K PLUS ใช้งานมาแล้วกว่า 5 ปี ปัจจุบันมีลูกค้าใช้งาน K PLUS มากกว่า 61% ของลูกค้าธนาคารทั้งหมด 15 ล้านราย ในด้านปริมาณการใช้งาน แค่ภายในเดือนกันยายน 2561 มีจำนวนธุรกรรมผ่าน K PLUS สูงถึง 3,6345 ล้านรายการ ซึ่งมากกว่าปี 2560 ทั้งปี นับได้ว่ามีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งจำนวนลูกค้าและปริมาณธุรกรรม

ธนาคารจึงพัฒนาศักยภาพของ K PLUS ใหม่ พร้อมกับนำเสนอฟังก์ชันด้านไลฟ์สไตล์ที่เข้ากับความต้องการของผู้ใช้งานเป็นรายบุคคล (Personalization) ด้วยนวัตกรรม KADE ซึ่งเป็น AI ที่ใช้ใน K PLUS ทางด้านของคอนเซปต์ของการเปลี่ยนในครั้งนี้ คือ เปลี่ยนเพื่อรู้ใจขึ้น 

 

เปลี่ยนให้รู้ใจ

การเปลี่ยนใหม่แบบยกแผงของ K PLUS นั้น สามารถสรุปได้เป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ

  • เปลี่ยนโลโก้ K PLUS ใหม่ และหน้าตาและการจัดวางเมนูการใช้งานใหม่ เพื่อให้ทันสมัยเข้ากับยุคดิจิทัล
  • ปุ่มธุรกรรม รวมปุ่มโอนเติมจ่ายและอื่นๆ ให้อยู่ในปุ่มเดียว ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น
  • พัฒนาฟังก์ชันการใช้งานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละบุคคล (Personalization) โดยการนำข้อมูล (Big Data) มาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า ทำให้นำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเลือกปรับเปลี่ยนฟังก์ชันที่ใช้บ่อยได้ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน 

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีการวางเป้าหมายและกลยุทธ์ของ K PLUS อีก 3 ด้าน ได้แก่

  • เพิ่มสัดส่วนการใช้งานฟังก์ชันไลฟ์สไตล์ของ K PLUS อีก 5-10% ภายใน 1 ปี

ปัจจุบันฟังก์ชันที่ลูกค้านิยมใช้มากที่สุดคือ รายการโอน-เติม-จ่าย คิดเป็น 125 ล้านรายการต่อเดือน ในขณะที่ฟังก์ชันไลฟ์สไตล์ที่มีอยู่ใน K PLUS แล้ว ยังมีปริมาณการทำธุรกรรมที่น้อยกว่าที่คาดหมาย ซึ่งมีจำนวนธุรกรรมรวม 500,000 รายการต่อเดือน หรือน้อยกว่า 1% ของรายการโอนเติมจ่าย โดยธนาคารวางแผนพัฒนาฟังก์ชันใหม่ที่ให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้มากกว่าการโอนเติมจ่าย และเข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้งานมากขึ้น และเพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 5-10% ภายใน 1 ปี

  • K PLUS เป็นช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงบริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคาร ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการด้านการเงินต่างๆ ผ่าน K PLUS ได้ง่ายและสะดวกขึ้น เช่น ฟังก์ชันถอนเงินโดยไม่ใช่บัตร ซื้อกองทุน

โดยเฉพาะบริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่เปิดให้บริการมา 8 เดือน ช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนขนาดเล็ก (Micro Finance) ให้กับลูกค้าทั่วไปและผู้ประกอบการรายย่อย มีส่วนผลักดันให้ภาพรวมยอดสินเชื่อคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลสะสมเติบโตกว่า 4% มียอดสินเชื่อใหม่จนถึงเดือนสิงหาคมประมาณ 16,300 ล้านบาท เทียบกับปลายปีก่อนที่มีมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลคงค้างที่ 15,700 ล้านบาท  ทั้งนี้ ตั้งเป้าภายในปีนี้ปล่อยสินเชื่อคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มอีก 7,000 ล้านบาท หรือคิดรวมเป็น 22,700 ล้านบาท

  • มุ่งเพิ่มฐานลูกค้ารวมของธนาคารให้ได้ 20 ล้านบัญชีภายใน 3 ปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ธนาคารมีฐานลูกค้าใหม่เฉลี่ยปีละกว่า 1 ล้านบัญชี ปัจจุบันธนาคารมีจำนวนบัญชีลูกค้ารวม 15 ล้านบัญชี และเชื่อมั่นว่า ภายใน 3 ปี ฐานลูกค้าใหม่ของธนาคารให้เพิ่มเป็นปีละ 2 ล้านบัญชี และทำให้ธนาคารมีฐานลูกค้ารวมเป็น 20 ล้านบัญชี

KADE มาแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหน่ึงคงหนีไม่พ้นเรื่องของ KADE หรือ K PLUS AI-Driven Experience ที่เรียกว่าเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของ K PLUS

นายสมคิด จิรานันตรัตน์ ประธาน กสิกร บิซิเนสเทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เล่าว่า แนวคิดการพัฒนา K PLUS ขยายจากการเป็นเพียงแอพพลิเคชั่นด้านการเงิน มาสู่ “K PLUS Intelligence Platform” ที่นำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจกับลูกค้าเป็นรายบุคคล พร้อมทั้งรองรับการเติบโตในอนาคต ทั้งความเสถียร ความปลอดภัย และความง่ายในประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า ทั้งยังมองไปถึงการขยายเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ทั้งนี้  “เกด” (KADE: K PLUS AI-Driven Experience) ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในพัฒนา K PLUS โดยมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นระบบหลังบ้าน  ด้วยการเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน รู้จัก รู้ใจคนใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจกับลูกค้าเป็นรายคนได้

ยกตัวอย่าง สิ่งที่ KADE ทำได้

  • ฟังก์ชัน K PLUS Today สามารถแจ้งเตือนธุรกรรมการเงินที่สำคัญที่ลูกค้าใช้เป็นประจำ และแนะนำผลิตภัณฑ์หรือโปรโมชั่นที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
  • เทคโนโลยีแมชชีน เลนดิ้ง (Machine Lending) ที่อยู่ใน K PLUS ทำให้ธนาคารนำข้อมูลมาวิเคราะห์และนำเสนอสินเชื่อส่วนบุคคล (K-Personal Loan) และสินเชื่อธุรกิจ ที่เหมาะสมกับความสามารถในการกู้และตรงกับความต้องการของลูกค้าผ่านแอปฯ K PLUS
  • ในอนาคตยังสามารถแนะนำการใช้จ่ายและการลงทุนที่จะเพิ่มศักยภาพทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ K PLUS ยังมีโครงสร้างเทคโนโลยีโอเพ่น แพลทฟอร์ม” (Open Platform)  พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับช่องทางบริการและพันธมิตรในธุรกิจต่างๆ สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ต่อเนื่องและต่อยอดไปจนถึงการนำเสนอบริการใหม่ๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้รู้จักจนรู้ใจตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกคนมากที่สุด

ทางด้านของทีมพัฒนา KADE ที่เพิ่งเริ่มต้นในวันนี้มีประมาณ 60 คน และตั้งเป้าจะเพิ่มทีมให้ถึง 200 คน เพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนา AI ของธนาคารให้ดียิ่งขึ้น รองรับลูกค้าใช้งานที่ตั้งเป้าไว้ 100 ล้านคนทั่วโลก ดูคู่มือการเข้าใช้งานเพิ่มเติมได้ ที่นี่

รับชมโฆษณาของ K PLUS เวอร์ชั่นใหม่กันค่ะ

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post K PLUS ใหม่ ที่เปลี่ยนเพื่อเป็นมากกว่าแอปธนาคาร appeared first on thumbsup.

แม่ค้าออนไลน์เฮ! KBank จัดเต็มกลยุทธ์ ส่งตัวช่วยเรื่องออนไลน์และเงินทุนตั้งแต่เริ่มต้นจนได้กำไร

$
0
0

ต้องยอมรับว่าเทรนด์ของการขายของออนไลน์ของคนรุ่นใหม่ มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีแบรนด์รุ่นใหม่เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จมากมาย แต่คนที่เคยทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็มีมากเช่นกัน ดังนั้น การได้ปรึกษาที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นและสนับสนุนคนกลุ่มนี้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ย่อมเป็นการช่วยให้เริ่มต้นทำธุรกิจให้แข็งแรงและเติบโตต่อไปได้

พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) พบว่า การทำธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การขยายตัวของการค้าขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์อีคอมเมิร์ซประเทศไทย

ประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซในปี 2560 ทั้งสิ้น 2,812,592 ล้านบาท เป็นการขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภค (B2C=Business-to-Consumer) มูลค่า 812,613 ล้านบาท และในปี 2561 คาดการณ์เติบโต 17% มูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 949,122 ล้านบาท

ด้านสัดส่วนมูลค่าซื้อขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียสูงสุดถึง 40%  ซื้อขายผ่านบริการแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-มาร์เก็ตเพลส 35% และซื้อขายผ่านออนไลน์ของโมเดิร์นเทรด หรือ Brand.com 25% 

ในส่วนของการชำระเงิน ช่องทางการโอนเงินผ่านธนาคารได้รับความนิยมสูงสุด มีสัดส่วนถึง 65%  และชำระด้วยบัตรเครดิตอยู่ที่ 35%  ซึ่งบัญชีของธนาคารกสิกรไทยเป็นอันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือกใช้ในการโอนเงินชำระค่าสินค้า

ยุคนี้เป็นยุคของแม่ค้าออนไลน์ 

จากฐานผู้ประกอบการ 1.8 ล้านราย มีผู้ใช้เครื่องรูดบัตร 300,000 ราย โดยธนาคารคาดว่าจะเป็นลูกค้าที่ทำธุรกิจออนไลน์ 300,000 ราย นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้ K Plus shop 1.67 ล้านราย และผู้ใช้ K Plus กว่า 9.4 ล้านราย ธนาคารจึงต้องปรับกลยุทธ์ออนไลน์ให้ตอบโจทย์ทั้งแม่ค้าและนักช้อปออนไลน์ให้มากที่สุด ด้วยการ”พยายามทำตัวเองให้เป็น Total Solution ไม่ใช่ Access to funding อย่างเดียว”

ยิ่งโต แม่ค้าออนไลน์ก็ยิ่งประสบปัญหามาก

ธุรกิจค้าออนไลน์ยิ่งเติบโตมากเท่าไหร่ ธนาคารก็ยิ่งพบว่าแม่ค้าออนไลน์บางส่วนยังประสบปัญหาในการทำธุรกิจหลายด้าน ทั้งการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น เจ้าของธุรกิจไม่มีความรู้ในการทำการตลาดออนไลน์  มีข้อจำกัดในการบริหารจัดการ ขาดเงินทุนหมุนเวียน  พูดคุยหรือตอบคำถามลูกค้าที่มาจากหลายช่องทางไม่ทัน  รวมถึงต้องการเพิ่มช่องทางการขายในการขยายตลาด นอกจากนี้ผู้ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจออนไลน์หรือมีความสนใจจะเริ่มทำก็ต้องการองค์ความรู้เพิ่มว่าทำอย่างไรให้สินค้าขายได้หรือจะขายสินค้าชนิดใดดี 

ส่ง 5 กลยุทธ์ขั้นกว่า จัดการธุรกิจออนไลน์ครบวงจร

ธนาคารเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจออนไลน์ดังกล่าว จึงส่ง 5 กลยุทธ์ขั้นกว่าในการดูแลลูกค้ากลุ่มออนไลน์ให้ครอบคลุมในทุกด้านเพื่อช่วยลูกค้าในการทำตลาดออนไลน์ ดังนี้

  • ตอบโจทย์การขายออนไลน์ให้ง่ายขึ้นด้วย K PLUS Shop แอปพลิเคชันสำหรับร้านค้าสมัยใหม่ให้รับเงินง่ายขึ้น เพียงแค่ใช้ K PLUS shop แอปฯเดียวก็สามารถจัดการร้านค้าได้เลย และยังสามารถปิดการขายออนไลน์ง่าย ๆ ด้วย บิลแมวเขียวส่ง QR เรียกเก็บเงินผ่านโซเชียล สำหรับแม่ค้าออนไลน์ที่ขายผ่าน Facebook Shop ยังมีบริการ Pay with K+ บริการชำระเงินที่ช่วยให้ปิดการขายบน Facebook ได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจด้วยสินเชื่อ SME บน K PLUS ที่ส่งตรงสินเชื่อให้ลูกค้าแบบไม่ต้องมีหลักประกัน ไม่ต้องยื่นเอกสาร และเพียงแค่ 1 นาทีก็ได้รับวงเงินสูงสุดถึง 1 ล้านบาท และยังมีบริการสินเชื่อระยะสั้น ระยะยาว สำหรับธุรกิจออนไลน์โดยเฉพาะที่ตั้งเป้าสินเชื่อไว้ถึง 2,000 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ ธนาคารมีการทำ Digital lending ไปแล้วเฟสแรก ด้วยการส่งข้อความแจ้งให้ลูกค้าที่มีความต้องการสินเชื่อในกลุ่ม SME ไป 8,000 ราย ซึ่งพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่เห็นข้อความ แต่เชื่อมั่นว่าหลังจากการพัฒนาแอปฯ K PLUS ใหม่จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าที่สนใจสินเชื่อได้ดีขึ้น 
  • เพิ่มช่องทางการขายผ่าน K PLUS Market ที่มีฐานลูกค้ามากถึง 9.4 ล้านราย โดยธนาคารจะพยายามแนะนำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณ และใช้จ่ายได้ภายในแอปฯ K PLUS แอปฯเดียว จึงเพิ่มโอกาสทางการขายใหม่ๆ ได้ นอกจากนี้ หากแม่ค้าออนไลน์ ต้องการนำสินค้าขึ้นไปวางขายบนออนไลน์  e – Marketplace เพื่อขายสินค้าได้ดีขึ้น ธนาคารก็พร้อมสนับสนุนให้สามารถทำได้เช่นกัน
  • เปิด K ONLINESHOP SPACE (KOS) ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งอิเซตัน ให้เป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจประเภทออนไลน์ เปิดพื้นที่ให้ได้ร่วมพูดคุยกับพาร์ตเนอร์และผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว โดยในแต่ละเดือนจะมีการสัมมนาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญธุรกิจด้านนี้โดยตรง เพื่อช่วยเพิ่มเติมเสริมทักษะด้านออนไลน์ให้แกร่ง แม้ว่าตอนนี้จะมีเพียงสาขาเดียวที่เซ็นทรัลเวิร์ล แต่ถ้าศูนย์ KOS ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มแม่ค้าออนไลน์ KBank ก็พร้อมขยายให้มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศ
  • K DIGIBIZ เว็บไซต์ที่กำลังจะเปิดทำการต้นเดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มแม่ค้าออนไลน์ ด้วยเครื่องมือจัดการการขาย เก็บ-แพ็ค-ส่ง ขนส่งสินค้า รับจ่ายเงินและจัดการบัญชี ทำให้ธุรกิจเป็นระบบและช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผู้สนใจสามารถเข้าไปใช้บริการได้ที่ digibiz.kasikornbank.com

ธนาคารในวันนี้ ไม่ใช่เน้นแค่ขายบัตรเครดิตเท่านั้น

ทุกวันนี้การแข่งขันของธนาคารไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องยอดขายบัตรเครดิต หรือทำอย่างไรให้มีผู้เปิดบัญชีมากๆ แต่ธนาคารให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่ม SME มาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มแม่ค้าออนไลน์ในไทยซึ่งมีจำนวนเยอะมาก คนรุ่นใหม่ขายของออนไลน์เป็นอาชีพที่ 2 กันแล้ว ซึ่งธนาคารต้องการสนับสนุนคนกลุ่มนี้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยความช่วยเหลืออย่างครอบคลุม

การเป็นแม่ค้าออนไลน์วันนี้ จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แค่มีความรู้ มีที่ปรึกษาที่ดี มีเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้บริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีช่องทางการขายใหม่ที่ช่วยขยายตลาดและฐานลูกค้าได้ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้แม่ค้าพ่อค้าออนไลน์ยุคใหม่สามารถทำธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งในยุคที่การค้าออนไลน์มีการแข่งขันสูงดังเช่นในปัจจุบัน 

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post แม่ค้าออนไลน์เฮ! KBank จัดเต็มกลยุทธ์ ส่งตัวช่วยเรื่องออนไลน์และเงินทุนตั้งแต่เริ่มต้นจนได้กำไร appeared first on thumbsup.

สุดยอด 3 ทีมภาคอีสานพร้อมบทสัมภาษณ์ผู้ชนะ จากการแข่งขัน TechJam 2018

$
0
0

เสร็จสิ้นการแข่งขันไปอีกภาคสำหรับการแข่งขัน TechJam 2018 ทีมภาคอีสาน โดยบรรยากาศการแข่งขันเรียกได้ว่าขับเคี่ยวกันอย่างสุดๆ ซึ่งผู้แข่งขันแต่ละคน ฝีมือสุดเจ๋ง และไม่มีใครยอมแพ้กันเลย  ซึ่ง Thumbsup ได้สัมภาษณ์ผู้ชนะทั้ง 3 ทีมมาฝากกัน

ทีมขอตั๋วผมหน่อย

ผู้ชนะ CODE SQUAD ประจำภาคอีสาน

วสิษฐพล นุคิด และ ณพวงศ์ สมอ่อน 2 หนุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่มีแนวคิดว่า “ไม่อยากให้คนอื่นมองเราว่าเป็นศัตรู เพราะเราอยู่เหนือระดับจากพวกเขาต่างหาก“ ซึ่งทั้งเบียร์และแฟร์เคยผ่านเวทีการแข่งขันของระดับมหาวิทยาลัยมาแล้ว ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นจึงมีคาแรคเตอร์กวนๆ ซึ่งพวกเขาคิดว่าโจทย์ไม่ยากไม่ง่ายเกินไป มีความมั่นใจในตัวเอง รอบคอบ คิด-วิเคราะห์ ช้าแต่ชัวร์ จนได้อันดับ 1 แห่งภาคอีสานมา

โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยเข้าร่วมการแข่งเขียนโค้ดของ ACM International Collegiate Programming Contest ซึ่งเป็นการแข่งขันการเขียนโปรแกรมในระดับอุดมศึกษาระดับนานาชาติ ซึ่งพวกเขาบอกว่ารูปแบบการแข่งขันต่างจากการแข่งขันของ TechJam เพราะเน้นการเขียนโค้ดอย่างเดียว

แต่ของ TechJam จะเน้นให้คิด มีโจทย์มาให้แต่ต้องเขียนโค้ดได้แม้ไม่มีอุปกรณ์ เป็นการวัดความรู้พื้นฐาน ซึ่งรูปแบบของกิจกรรมจะช่วยกระตุ้นความคิดและพัฒนาให้วงการนี้ดีขึ้น รวมทั้งมีคอนเนคชั่นกับคนในวงการเดียวกัน

  • จุดเริ่มต้นในการเข้าร่วมกิจกรรม

เริ่มต้นจากการไปดูงานที่ KBTG ตอนเทอมปลายปี 3 ซึ่งขณะนั้นมีการแนะนำกิจกรรมนี้ ซึ่งตอนที่อ่านรายละเอียดก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะทำได้ แต่พอเข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกกดดัน ซึ่งแต่ละรอบจะไม่ได้แข่งขันพร้อมกันมีบางรอบที่ตกรอบ ทำให้กังวลบ้างแต่พอผ่านเข้ารอบมาก็รู้สึกดีใจ

  • ปัญหาที่เจอระหว่างแข่งขัน

ตอนแข่งขันจะให้เวลาในการตัดสินใจน้อย พอได้โจทย์จะมีเวลาคิดเพียง 40-50 วินาที ซึ่งทุกอย่างมันเร็วมาก เรียกได้ว่าพอได้โจทย์ก็ต้องคิดและตอบในทันที เวลาคิดมีน้อยจึงต้องอาศัยความชำนาญเป็นหลัก ก็คงต้องทวนความรู้เก่าให้มากกว่าเดิมและดูคลิปตัวอย่างใน Youtube หรือหาแชนแนลที่สอนความรู้พวกโค้ดจากช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้มากกว่าเดิม เพราะต้องยอมรับว่ายังมีแหล่งข้อมูลน้อย ซึ่งพวกนี้ต้องอาศัยแนวคิดและไปต่อยอดเอง นอกจากที่อาจารย์สอนแล้วก็คงต้องดูข้อมูลใน Google ประกอบด้วย

  • จุดอ่อน-จุดแข็ง

ส่วนตัวคิดว่ายังเก่งไม่พอ ต้องทำได้มากกว่านี้ถึงจะชนะทีมที่ผ่านการคัดเลือกจากทีมต่างๆ ได้ ซึ่งเราต้องพยายามพัฒนาตัวเอง ไม่สะเพร่า ซึ่งหลังจากนี้ก็คงต้องพยายามให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้คว้าชัยชนะมา

  • สิ่งที่ได้จากการแข่งขัน TechJam

อยากให้คนที่มีประสบการณ์หรือเคยทำงานด้านโปรแกรมเมอร์มาเข้าร่วมกิจกรรม TechJam เพราะเป็นการแข่งขันที่ดี แก้ปัญหาโจทย์ก็สนุก ได้ความรู้และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีผู้เข้าแข่งขันที่หลากหลายทำให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้กันมากมาย ทำให้ได้เปิดกว้างความรู้

ทีม DATASEED

ผู้ชนะ DATA SQUAD ประจำภาคอีสาน

อาจารย์วรารัตน์ สงฆ์แป้น อาจารย์ผู้สอนวิชาด้าน DATA SCIENCE ให้กับนักศึกษาหลายๆ คน ซึ่งเป็นคนที่อยู่กับด้าน Data มานานหลายปี ถึงจะมีความกดดันต่างๆ และปัญหาระหว่างการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็สามารถแก้ปัญหา และทำผลงานออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

  • จุดเริ่มต้นในการเข้าร่วมกิจกรรม

ปัจจุบันเป็นอาจารย์ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีทีม PR มาประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่มหาวิทยาลัย ก็สนใจและอยากลองเข้าร่วมกิจกรรมดูจะได้รู้ว่าโจทย์เป็นอย่างไร ก็เลยสมัครเข้ามาแข่งขัน

  • บรรยากาศแข่งขัน

ต้องบอกว่าตอนส่งข้อมูลเพื่อเข้าประกวดในช่องทางออนไลน์กับวันแข่งจริง ความยากต่างกันเลย เพราะตอนรอบออนไลน์นั้น มีเวลาคิดและเตรียมตัว 2 วันก็เลยไม่กังวล แต่พอเข้ารอบออดิชั่น ทุกอย่างเกิดขึ้นเกือบทันที ทั้งการเตรียม Data ซึ่งมีกิจกรรมใหม่ๆ ให้ร่วมเยอะ ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทำให้ตอนแข่งขันค่อนข้างกดดัน เพราะคู่แข่งต่างก็มีทีมมาช่วยคิด ซึ่งเราไปคนเดียวก็ตั้งใจทำให้เต็มที่

ก่อนหน้านี้ ก็ไม่เคยเข้าประกวดแบบนี้มาก่อน พอดีเราทำวิจัยในเรื่องที่คล้ายกับการแข่งขันพอดีก็เลยอยากลอง พอเข้าร่วมก็ได้ประสบการณ์ที่ดีเพราะข้อมูลด้าน Fintech นั้น ไม่ใช่ว่าจะได้เข้าไปดูได้ง่ายๆ

  • การเตรียมความพร้อม

ต่อจากนี้คงจะเตรียมตัวมากขึ้น เอา Data ที่มีมาลองประยุกต์ทำโจทย์ต่างๆ โดยอาจจะมีการทำโมเดลขึ้นมาเป็นฐานและใส่ความ Advance เข้าไปและ Merge กับข้อมูลที่มี ต้องลองซ้อมให้หลากหลายจะได้พัฒนาฝีมือและเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน เพราะพื้นฐานด้าน Data ทุกคนมีเหมือนกัน แต่คุณจะเก่งกว่าคนอื่นต้องฝึกทำโจทย์ ตั้งโมเดล และวิเคราะห์ให้เยอะ จะได้เปิดมุมมองและพยากรณ์ได้ดีขึ้น

อย่างที่สอนนักศึกษาอยู่จะเป็นการนำข้อมูลที่มีอยู่มาปรับแผนให้ใช้งานได้เหมาะสมกับแนวโน้มของประเทศ โดยใช้ Big Data, AI มาพัฒนาเป็นโมเดลเพื่อไปใช้แข่งขัน หากเอาไปใช้แข่งแล้วไม่ชนะก็จะกลับมาพัฒนาต่อเพื่อเป็นผลงานวิจัยและต่อยอดทำ API

ปกติอาจารย์จะสอนทำ Data Mining สอนทำเหมืองข้อมูลหลายแฟคเตอร์และมา Actibute เน้นต่อ Module Virtual ส่วนที่ทำวิจัยจะเป็น Customer Review, Positive, Negative เน้น Centiment Analytic รูปแบบภาษาไทย

  • เตรียมพร้อมสู่รอบชิง

สำหรับการแข่งขัน DATA SQUADจะเป็นการแข่งทำโมดูลเพื่อพยากรณ์ข้อมูลจริงและเอาโมเดลมาใช้พัฒนาต่อยอด ซึ่งการเตรียมควาพร้อมคือจะไม่ยึดติดกับพวกเครื่องมือ แต่จะเน้นเครื่องมือที่สามารถพยากรณ์ผ่านโค้ดเบสิคอย่าง PHP เพื่อให้สามารถ Merge ข้อมูลได้ไวขึ้น ซึ่งตัวอาจารย์เองใช้การ Merge ข้อมูลด้วย Excel แต่ก็เตรียมความพร้อมให้หลากหลาย เพราะเดาทางการแข่งขันยาก จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่าเดิม

  • อนาคตหลังจากนี้

ด้วยความเป็นอาจารย์ที่พาเด็กไปแข่งขันและลงแข่งเองด้วยในครั้งนี้ ก็เพื่อให้มีประสบการณ์สามารถถ่ายทอดให้นักศึกษาได้ทราบว่าบรรยากาศในการแข่งขันเป็นอย่างไร หากปีหน้าจะเข้าร่วมแข่งจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เพราะมีเด็กๆ สนใจเยอะมาก ก็ต้องแนะนำให้เตรียมความพร้อม เตรียมข้อมูล และทดลองจำลองการแข่งขันให้เด็กๆ ได้เปิดกว้างแนวความคิด คล้ายกับตอนที่แข่งขัน  เพราะเรื่องของ Big data นั้น จัดการยาก ต้องนำข้อมูลหลายส่วนเข้ามาใช้ด้วยกัน ถ้า Model ธรรมดาก็ยังพอจัดการได้ แต่ถ้าปริมาณข้อมูลมากๆ จะทำอย่างไรก็ต้องเตรียมตัวให้ดี คิดว่าโครงการแบบนี้อยากให้มีไปนานๆ จะได้เป็นช่องทางให้เด็กๆ พัฒนาความรู้ความสามารถได้มากขึ้น

ทีม TrexcodeJR

ผู้ชนะ DESIGN SQUAD ประจำภาคอีสาน

จิตรวี จงเรียน และ จักรพงษ์ สารครศรี เขื่อนและโต้ง สองหนุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องสู่เพื่อนร่วมงาน และจากนักเขียนโค้ดผู้กล้ามาลงแข่งขันใน DESIGN SQUAD จนกลายเป็นคู่หูวัยรุ่นสุดเท่ห์ ผู้มีไอเดีย และวิธีการนำเสนอที่แตกต่าง จนสร้างผลงานออกมาไม่เหมือนกับทีมอื่น ทั้งคู่ได้เตรียมตัวในเรื่องของการแข่งขันในส่วน Present มาอย่างดี นับว่าเป็นสองหนุ่มที่มีแพทชั่นอย่างน่าสนใจ และน่าจับตามองใน TechJam ปีนี้เลยทีเดียว

  • ที่มาที่ไป

จิตรวี ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวเขาเป็นคนมหาสารคาม แต่มาเป็นพนักงานบริษัททำงานในตำแหน่ง Project Manager ของบริษัทแห่งหนึ่งในขอนแก่น เห็นประกาศโครงการนี้ในช่องทางออนไลน์แล้วสนใจก็เลยลองสมัครเข้าร่วมดู โดยมีรุ่นน้องอย่าง จักรพงษ์ ซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเดียวกัน และมีความสนใจเหมือนกัน จึงตัดสินใจสมัครเข้าแข่งขันครั้งนี้ด้วยกัน

  • การเตรียมตัวก่อนแข่งขัน

ตอนแรกสิ่งที่เตรียมก็คือไม่ได้เตรียมตัวมาก เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว แต่พอเข้าร่วมแข่งขันในวันจริงรู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ซึ่งเราเลือกประเภทแข่งแบบ Design ก็คิดว่าจะใช้โปรแกรมในการทำงาน แต่กลับเป็นการวิเคราะห์ ต้องตอบคำถามก็รู้สึกว่ายาก เพราะต้องเปลี่ยนกระบวนการคิดและทำงานทั้งหมดที่เคยทำมา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้มองโลกของการออกแบบได้หลากหลายขึ้น เปิดโลกทัศน์ได้ดีขึ้น เพราะปกติทำงานจะใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบก็จะยึดติดกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แลปท็อป แต่ในการแข่งขันจะไม่ได้ใช้เลย ต้องคิดและวิเคราะห์เอง เหมือนทำให้เราใช้ทักษะมากขึ้น ช่วยเพิ่มทักษะการสื่อสารให้ดีขึ้นด้วย

  • ความประทับใจในการแข่งขัน

ประทับใจในโจทย์การแข่งขันมากตั้งแต่ข้อแรกเลย คือพอได้รับโจทย์มาก็คิดว่าจะมีอุปกรณ์มาให้ใช้ในการทำงาน แต่เปล่าเลยต้องคิดเองและใช้กระดาษในการคำนวณและวิเคราะห์โจทย์ทั้งหมด เสียเวลาคิดไป 15 นาทีเลย ก่อนจะตั้งสติและทำโจทย์ได้ ถือว่าเปลี่ยนวิธีคิดไป ซึ่งช่วยให้ตอนกลับมาทำงานในชีวิตจริงก็จะมีระบบในหัวสำหรับการคิดงานมากขึ้น ละเอียดและใส่ใจในชิ้นงานต่างๆ มากขึ้น

โดยปกติจะหาข้อมูลหรือเนื้อหาต่างๆ บนเว็บไซต์ที่คนแชร์กันอยู่แล้ว เป็นความรู้ทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะทาง จะได้เปิดรับแนวความคิดใหม่ๆ เพื่อไปปรับใช้ในการออกแบบมากขึ้น ปรับปรุงกระบวนความคิดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาให้น้อย เพื่อลดเวลาในการที่ต้องกลับมาแก้ไข อย่างเช่นตอนที่มีการทำสะพานในเวลา 30 นาที ที่เน้นคิดแต่เรื่องโครงสร้างมากเกินไปทำให้เสียเวลาแก้ไข พอมาย้อนคิดก็รู้สึกว่าถ้าตอนนั้นวางแผนให้ดีน่าจะประหยัดเวลาได้มากกว่านี้และไปเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ ให้ดีกว่าได้

  • ประโยชน์ที่ได้จากการแข่งขัน

มีสังคมใหม่ๆ ในการแลกเปลี่ยนความรู้กันมากขึ้น เพราะได้คุยกับทีมที่แข่ง Code และ Data ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ๆ และเปิดมุมมองกว้างขึ้น ซึ่งการแข่งขัน TechJam จะเหมือนเกมส์โชว์มากกว่าการแข่งขันเขียนระบบหรือตั้งโจทย์ให้วิเคราะห์ ซึ่งน่าจะเปิดโอกาสให้คนในอาชีพต่างๆ เข้ามาร่วมแข่งขันมากขึ้น ทำให้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีหันมาสนใจและเปิดกว้างทางความคิดมากขึ้นไม่ต้องจำกัดอยู่แค่ในวงการ Tech เพียงอย่างเดียว ถือว่าดีทั้งบรรยากาศแข่งขันและสังคมของผู้เข้าแข่งขัน แม้ว่าจะรู้สึกกดดันแต่ก็ท้าทายไปพร้อมๆ กัน

  • อนาคตหลังจากนี้

แม้ว่าแข่งขันจนสิ้นสุดกิจกรรม แล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็อยากจะลองพัฒนาโปรดักส์ออกมาสักชิ้น เพราะรู้สึกมีไฟฮึกเหิมอยากจะทำอะไรสักอย่างที่ช่วยแก้ปัญหาสังคม อยากลองเป็นสตาร์ทอัพดูสักครั้ง เพราะผมทำงานด้านโรงงานอุตสาหกรรมมาโดยตลอด ก็อยากจะลองไปพัฒนาเทคโนโลยีด้าน Social Media และ Education บ้าง เผื่อว่าจะช่วยพัฒนาวงการศึกษาใหม่ๆ ให้น่าสนใจขึ้น

ร่วมเชียร์เหล่าผู้ชนะระดับภูมิภาค ของภาคอีสาน รวมทั้งผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นๆจากทั่วประเทศทุกภูมิภาค เพื่อชิงชัยความเป็นที่หนึ่งระดับประเทศในวันเสาร์ที่ 3 พ.ย. 2561 นี้กันนะคะ

ชมบรรยากาศการแข่งขันทั้งหมดได้ที่นี่

บทความนี้เป็น Advertorial

 

 
Source: thumbsup

The post สุดยอด 3 ทีมภาคอีสานพร้อมบทสัมภาษณ์ผู้ชนะ จากการแข่งขัน TechJam 2018 appeared first on thumbsup.

Viewing all 2243 articles
Browse latest View live