Quantcast
Channel: Thumbsup
Viewing all 2237 articles
Browse latest View live

นวัตกรรมเปลี่ยนโลก “AIS The Digital Future 2019”งานแสดงเทคโนโลยีสำหรับโลกอนาคต

$
0
0

ต้องยอมรับว่าประเทศไทยในวันนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมการใช้โซเชียลของคนไทยติดอันดับโลก รวมทั้งนวัตกรรม เทคโนโลยีต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หากวันนี้ภาครัฐและเอกชนก้าวตามไม่ทัน ย่อมเสียโอกาสสำหรับอนาคตไปอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ AIS จึงได้จัดงานที่ชื่อว่า AIS Business Digital Future 2019 : Transformation is Now เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำบริการ ICT เพื่อลูกค้าองค์กรแบบครบวงจร The Most Trusted ICT Service Provider ที่นอกจากจะแสดงเรื่องเทคโนโลยีสุดล้ำ ยังกระตุ้นให้ธุรกิจทุกประเภท ทุกขนาด ได้ตระหนักถึงเทรนด์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ออกจากกรอบแบบเดิมๆ และพร้อมก้าวไปด้วยกัน สู่อนาคต เพื่อให้ธุรกิจของคุณเดินตามโลกให้ทัน

ภายในงานมีโซนจัดแสดง (Exhibition Zone) ภายใต้ธีม Transformation is now” ที่จัดแสดงนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ เอาไว้อย่างน่าสนใจในโซนย่อย 4 โซน ดังนี้

1. AIS IoT Zone

โซนนวัตกรรมและโซลูชั่น IoT หลากหลาย  พร้อมตัวอย่างการใช้งานที่สามารถนำไปประยุกต์ได้กับธุรกิจได้จริงอย่าง

  • Smart Kiosk
    ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ระบบ IoT ในอุปกรณ์เครื่องหยอดเหรียญ ทั้งเครื่องชั่งน้ำหนัก เก้าอี้นวด และตู้จำหน่ายสินค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ต่างๆ ที่วางกระจายทั่วประเทศ หมดปัญหาเรื่องเครื่องเสีย เหรียญเต็มกวนใจ รวมถึงการชำระเงินด้วยระบบ MobileWallet ด้วย

  • Smart Health
    โซลูชั่นช่วยดูแลสุขภาพจากโรงพยาบาลสมิติเวช ผ่าน Platform จาก AIS โดยมีอุปกรณ์ในการเช็คสุขภาพทั้งวัดความดัน ระดับน้ำตาลในเลือด  รวมไปถึง Smart ER ในรถฉุกเฉินที่เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อกับแพทย์ในโรงพยาบาล  เพื่อดูอาการผู้ป่วยตั้งแต่ในรถและเตรียมพร้อมการรักษาได้แบบทันท่วงที

 

  • Smart Cold Chain
    โซลูชั่นที่ช่วยในงานบริหารจัดการตู้แช่ ห้องเย็น โดยอุปกรณ์ IoTสามารถตรวจวัดอุณหภูมิของตู้แช่พร้อม Platform ในการบริหารจัดการ  ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเช็คสถานะตู้แช่ตามจุดต่างๆ ได้ตลอดเวลา  ลดปัญหาของเน่าเสียจากตู้ที่ไม่ได้คุณภาพ

  • Smart Transportation
    อุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ และตรวจสอบพฤติกรรมการขับรถ พร้อมเปิด Wifi Hotspot ส่วนตัว  สามารถใช้งานตรวจสอบข้อมูลได้ผ่าน Web หรือ Mobile Application

และอุปกรณ์ NB-IoT Vehicle Tracker สำหรับตรวจสอบติดตามรถยนต์ รถจักรยานยนต์  สามารถตรวจสอบความเร็ว ระบุตำแหน่งด้วยระบบ GPS เพื่อป้องกันการขโมยด้วยการกำหนด Geo-Fencing โดยใช้งานง่ายผ่าน Mobile Application

ความน่าสนใจคือสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ Smart Taxi ในด้านความปลอดภัย การชำระเงินผ่านมือถือ และต่อยอดบริการบนรถสาธารณะ

2. AIS Business Cloud Zone

โซนที่นำเทคโนโลยี Cloud มาใช้ในองค์กร เพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Transformation) อย่างเต็มรูปแบบ และมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก

  • Data Analytics as a Service
    บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจร  โดย AIS ร่วมกับ G-Able นำเสนอโซลูชั่นในการให้บริการ Data Analytics as a Service (DAaaS) เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และแปลงเป็นกลยุทธ์ที่สามารถเพิ่มรายได้จากแผนการตลาดได้อย่างตรงจุด

  • AIS Enterprise Cloud & Backup on Cloud
    สำหรับลูกค้าองค์กรที่ต้องการย้ายระบบขึ้น Cloud และต้องการศูนย์ข้อมูลที่อยู่ในไทย เพื่อความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูล AIS มีบริการ AIS Enterprise Cloud ซึ่งเป็นบริการ Local Cloud Infrastructure บน Platform VMware NSX
  • Data Center
    บริการให้เช่าพื้นที่สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย เพื่อให้ลูกค้าองค์กรรวมถึงลูกค้า SME ใช้ลดต้นทุนในการจัดเตรียมระบบสนับสนุนด้านไอทีได้ โดย AIS จึงได้ร่วมกับ CS LOXINFO เพื่อเสริมศักยภาพในการให้บริการ Data Center ทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมเป็น 9 แห่ง ประกอบด้วย AIS Data Center จำนวน 6 แห่ง และ CS LOXINFO Data Center อีก 3 แห่ง ส่งผลให้ปัจจุบัน AIS เป็นผู้ให้บริการ Cloud ที่มี Data Center ในไทยจำนวนมากที่สุด

3. Digital Payment Zone

AIS ได้ทำการเชื่อมต่อบริการ Payment Gateway (by mPAY) ให้กับร้านต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้กระเป๋าเงิน WeChat, PromptPay, Rabbit LINE Pay ชำระเงินค่าอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่ยุค Cashless Society

4. Digital Marketing & Outsourced Contact Center

ด้วยประสบการณ์ของบริษัทเทเลอินโฟ มีเดีย (บริษัทในเครือ) พร้อมตอบโจทย์การทำการตลาดดิจิทัลให้กับธุรกิจ เช่น YellowPages eCommerce Platform, SEO, Email Marketing, Social Marketing, การทำเว็บไซต์ รวมถึงบริการ Outsourced Contact Center สำหรับธุรกิจในการติดต่อลูกค้า ทั้งกรณีรับสายลูกค้าและโทรหาลูกค้า

นอกจากนี้ ยังมีงานสัมมนาที่น่าสนใจมากมาย โดยทาง Thumbsup ได้ร่วมฟังเกี่ยวกับเทรนด์การนำโซลูชั่นต่างๆ เข้าไปใช้งานในภาครัฐและเอกชน

โดยนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส ได้กล่าวสรุปเทรนด์ดิจิทัลให้ฟังว่า Data จะเข้ามาทำให้คนเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต เพราะโลกดิจิทัลในวันนี้ได้ส่งผลให้ประชาชนมีพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง

เนื่องจากประชากรบนโลกที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้มีมากถึง 4,000 ล้านคน ผ่านอุปกรณ์ประเภทต่างๆ คิดเป็น 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งทุกคนเชื่อมต่อชีวิตเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดียผ่านทางสมาร์ทโฟนกว่า 5,000 ล้านคน หรือ 68% ของจำนวนประชากรทั้งหมด

ส่วนประเทศไทยมีการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 57 ล้านคน คิดเป็นจำนวนเลขหมายกว่า 90 ล้านเลขหมาย ซึ่งจำนวนซิมที่มีมากมายนั้นไม่ใช่เพื่อใส่ในมือถือเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการใส่ในอุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ เพื่อให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

แม้ว่าคนไทยจะมีสมาร์ทโฟน แต่การเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตก็จะเป็นการทำงานผ่านแพลตฟอร์ม และนั่นคือการประกาศความเป็นมหาอำนาจทางธุรกิจได้

เช่น Uber, Facebook, Alibaba ในวันนี้ธุรกิจเหล่านี้ยิ่งใหม่มาก แต่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เมื่อ AI, IoT และ Blockchain เข้ามาแพลตฟอร์มอาจเปลี่ยนมือ และผู้ก่อตั้งทั้งหลายต้องปรับตัวและเปลี่ยนให้ทันโลกดิจิทัล

ดังนั้น ภาคธุรกิจต้องหา Core Business ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น หากคุณเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อะไรสักอย่าง อาจต้องมองหาหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำงานแบบเดิม และผลักดันบุคลากรคนให้มีความสามารถก้าวไปอีกขั้นได้

ส่วนนักการตลาดเองก็ต้องปรับตัวให้ทัน ต้องรู้จัก Segmentation รู้จักลูกค้าของคุณ เพื่อที่จะนำเสนอโฆษณาให้โดนใจกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อออกไป เพราะฉะนั้น หากคุณไม่ก้าวออกจาก Comfort Zone ก็ยากที่จะอยู่รอดในอนาคต

นอกจากนี้ AIS ยังให้ความสำคัญเรื่องบุคลากรเป็นอย่างมาก เพราะการมีทีมงานที่ดีย่อมเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ธุรกิจแข็งแรง จึงไม่แปลกที่เรามีการแยกทีม Enterprise ออกมาเพื่อลุยด้านนี้เต็มที่ และยังมองว่า กลุ่ม AIS Business คืออีก Growth Engine สำคัญของบริษัท

ดังนั้น AIS พร้อมสนับสนุนองค์กรทุกประเภท ทุกขนาด ให้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบแล้ววันนี้

สำหรับลูกค้าองค์กรและเอสเอ็มอีที่สนใจใช้บริการ AIS Business สามารถติดต่อได้ที่ ทีมงานของ AIS ที่ดูแลลูกค้าองค์กร, AIS Corporate Call Center 1149 หรือที่ business.ais.co.th

 

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post นวัตกรรมเปลี่ยนโลก “AIS The Digital Future 2019” งานแสดงเทคโนโลยีสำหรับโลกอนาคต appeared first on thumbsup.


โตแน่! แค่เจ้าตลาดไม่ใช่ของคนไทย Thumbsup สรุปภาพรวมอีคอมเมิร์ซปี 2018 และวิเคราะห์ปี 2019

$
0
0

ผ่านมาถึงช่วงปลายปีแล้ว แน่นอนว่าหลายผลสำรวจก็ยังคงบอกให้ทราบว่าธุรกิจค้าปลีกออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซนั้น ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และแย่งส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มค้าปลีกมาได้ต่อเนื่อง จากมูลค่ารวมกว่า 2,812 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดหลักยังคงมาจากกลุ่ม B2B อยู่ที่ 59.56% ส่วน B2C มีส่วนแบ่งตลาดที่ 28.89% หรือ 812,612.68 ล้านบาท แต่ตัวเลขในกลุ่ม B2C นั้น มีมูลค่าเติบโตขึ้นถึง 15.54%

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังครองส่วนแบ่งสูงสุด คือ กลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง ที่สูงถึง 869,618.40 ล้านบาท (ที่มา : ETDA) ซึ่งการเติบโตที่มีทิศทางดีอย่างต่อเนื่องนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการกระหน่ำจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกมชิงรางวัล ส่วนลดค่าส่ง หรือแม้แต่การจัด Flash Sale ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น

คุยกับ Shopee

โดยเมื่อช่วงกันยายนที่ผ่านมา ทาง Thumbsup ได้พูดคุยกับทาง อากาธา โซห์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดช้อปปี้ เกี่ยวกับการเข้ามาของ JD Central และกลยุทธ์ในด้านการตลาดของเขา

ทั้งนี้ อากาธา เล่าว่า Shopeeคาดการณ์การจับจ่ายของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

เนื่องจากช่วงเทศกาลส่งท้ายปี ซึ่งทำให้หลากหลายแบรนด์ส่งแคมเปญการตลาด และโปรโมชั่นต่างๆ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายในช่วงนี้

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้Shopeeยังให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของผู้บริโภคให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่าย ควบคู่กับการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ขายของเราให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ

ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญส่งเสริมการขายตลอดทั้งปี จัดดีลร่วมกับแบรนด์พันธมิตรและตัวแทนจำหน่าย อย่าง Super Brand, Shopee Mall หรือ Official Shop รวมทั้งกิจกรรมร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการส่งเสริมการขายต่างๆ ไปจนถึงความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการผลักดันผู้ประกอบการทุกระดับ

คิดเห็นอย่างไร กับการเข้ามาของ JD Central 

การเติบโตอย่างรวดเร็วของของตลาดอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ จึงทำให้การแข่งขันมีแนวโน้มที่สูงขึ้น

ซึ่ง “Shopeeยินดีต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่ทุกรายที่จะเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของไทยให้พัฒนายิ่งขึ้น

โดยนอกจากผู้ใช้งานจะได้รับประโยชน์จากการมีตัวเลือกที่หลากหลายที่สามารถเลือกสรรให้ตรงกับความต้องการแล้ว

การแข่งขันยังจะช่วยผลักดันให้ผู้เล่นแต่ละรายไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเองทั้งในแง่ของเทคโนโลยี Feature การใช้งาน ตลอดจนดีลพิเศษต่างๆ อีกด้วย

คาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร

ประเทศไทยส่งสัญญาณบวกต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซด้วยอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง การใช้งานมือถือที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างทวีคูณอย่างแน่นอน

จากรายงานของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยจะเติบโตถึง 3.06 ล้านล้านบาทในปีนี้ เติบโตกว่า 8.5% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซ

แคมเปญที่ผ่านมาช่วยกระตุ้นตลาดอีคอมเมิร์ซได้ดีแค่ไหนอย่างไร

จากความสำเร็จของมหกรรมลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี Shopee 9.9 Super Shopping Day ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ยังรวมไปถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย

ซึ่งเราได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่สะเทือนวงการอีคอมเมิร์ซของเมืองไทยอีกครั้ง กับยอดคำสั่งซื้อจากทั่วทั้งภูมิภาครวมทั้งสิ้นกว่า 5.8 ล้านออเดอร์ ภายใน 24 ชั่วโมง

อาจกล่าวได้ว่าแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในแง่ของการช่วยขับเคลื่อนการช้อปปิ้งออนไลน์ให้เป็นที่แพร่หลาย นี่คือแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของไทยอีกด้วย

ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา ช้อปปี้ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ยอดดาวน์โหลดที่เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า โดยในปัจจุบัน เฉพาะประเทศไทยมียอดดาวน์โหลดรวมแล้วกว่า 23 ล้านดาวน์โหลด

เทรนด์ของผู้ใช้งาน

สมาร์ทโฟนในประเทศไทย นับเป็นสื่อกลางที่ทรงอิทธิพลสำหรับกิจกรรมบนโลกออนไลน์ โดยในประเทศไทย คำสั่งซื้อ (Order) ของ “Shopeeถึง 95% มาจากสมาร์ทโฟนสอดคล้องกับเทรนด์การจับจ่ายของทั้งภูมิภาค โดยมากกว่า 90% ของยอดคำสั่งซื้อ (Order) ใน 7 ประเทศ มาจากสมาร์ทโฟนเช่นกัน ซึ่งเราเชื่อว่าเทรนด์นี้ยังจะคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต

เมื่อเปรียบกับปีก่อน เราจะเห็นได้ว่าจำนวนนักช้อปเพศชายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนแอพพลิเคชั่น Shopee โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ กีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง และเสื้อผ้าแฟชั่นผู้ชาย

จากผลการสำรวจโดยนีลเส็น พบว่าผู้ชายไทยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในความถี่ที่สูงกว่าและมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยที่สูงกว่าผู้หญิงราว 15% ด้วยเหตุนี้ เรามั่นใจว่าสัดส่วนของปริมาณการจับจ่ายของนักช้อปเพศชายในประเทศจะยังคงมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น

เป้าหมายของ Shopee

เป้าหมายของเรา คือ การมุ่งมั่นสู่การเป็นจุดหมายที่ครองใจนักช้อปออนไลน์ในประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาค และต่อจากนี้ เรายังจะคงมุ่นมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์มของเราให้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักช้อปทุกเทศทุกวัย ตลอดจนทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ซื้อ ผู้ขาย และพันธมิตร เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับนักช้อปทุกคน

บทสรุปจาก Thumbsup

สำหรับ Shopee นั้น ในสายตาของผู้เขียนมองว่า มีการทำตลาดจัดโปรโมชั่นที่ต่อเนื่อง และสร้างโอกาสในการเข้าถึงร้านค้ารายย่อยหน้าใหม่ได้ดี เพราะการกวาดร้านค้าหรือ SME มาไว้ในระบบมากที่สุดนั้น ย่อมเป็นโอกาสที่จะเกิดการเข้ามาซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มได้มากขึ้น

รวมทั้ง Shopee เอง ก็เป็นคนริเริ่มเปิดประตูวงการ Payment ของไทย ไม่ว่าจะเป็น  COD (Cash on Delivery) สู่ Wallet ที่ผูกกับบัญชีบัตรเครดิตและเดบิต จากกราฟิกด้านล่างจะเห็นว่า การจ่ายเงินเมื่อได้รับสินค้านั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือ เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อ หากได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพก็สามารถปฏิเสธสินค้าชิ้นนั้นได้ ทำให้ร้านค้าต้องแพ็คของและหาสินค้าที่ได้คุณภาพ ส่งมอบให้ลูกค้า

แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลให้ผู้ขาย เพราะมีหลายเคสที่ลูกค้าจะมี “ข้ออ้าง” ในการที่จะไม่รับสินค้าหลังจากเห็นหรือทดลองแล้ว ทำให้มีการตีคืนของจำนวนมาก ผู้ขายบางรายก็มองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ก็พร้อมจะพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีขึ้นเช่นกัน

อาจมีบางแพลตฟอร์มค้านว่า Shopee “ลอก” หลายกลยุทธ์มาจาก Alibaba และ JD แต่ส่วนตัวมองว่า ช่องทางหลายอย่างมีอยู่ในตลาด แค่ Shopee กล้าเสี่ยงมาเล่นก่อนเท่านั้น พอหลายบริการเกิด “บูม” ขึ้นมา คนที่เคยมีเครื่องมือเหล่านี้ ก็ย่อม “เคลม” ว่าตนเองมาก่อน เป็นเรื่องปกติ

นอกจากนี้ อีคอมเมิร์ซของไทย ก็ค่อนข้างได้รับการยอมรับในพื้นที่นอกเขตกรุงเทพมากขึ้น อาจเป็นเพราะความสะดวกที่ไม่ต้องเดินทางไปหาซื้อสินค้าเอง ซึ่งพื้นที่นอกเมืองหรือต่างจังหวัดเอง การเดินทางอาจไม่สะดวก จากช่วงเริ่มต้นที่ Shopee เคยบอกว่า มีผู้ซื้อกระจุกตัวในกรุงเทพมากถึง 70% ในช่วงเปิดให้บริการระยะแรกนั้น ผ่านมา 5 ปี สัดส่วนต่างจังหวัดมีแนวโน้มที่จะโตกว่าในกรุงเทพฯ เสียแล้ว

ที่มา : ecommerce IQ, World Bank, Positioning

คุยกับ LAZADA

เจมส์ ตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ lazada ก็ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวงการอีคอมเมิร์ซไทย ไว้อย่างน่าสนใจ 

เขามองว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย ยังคงร้อนแรงและมีศักยภาพในการเติบโต ลูกค้าส่วนใหญ่ ช้อปผ่านมือถือขณะเดินทางกันมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงผู้บริโภคผ่านโซเชียลมีเดียยังเป็นโอกาสท่ีน่าสนใจ

เขาซึ่งมาจาก Alibaba Group พบว่า สินค้าจากไทยก็ยังคงเป็นที่รักของชาวจีนเสมอ จากการสั่งซื้อผ่านระบบของ tmall พบว่า สินค้าไทยในกลุ่มเครื่องสำอาง อาหาร ยาและพระเครื่องยังคงเป็นที่นิยมต่อเนื่อง

ช่วงที่ LAZADA หยุดทำกิจกรรมทางการตลาดในไทยไปนั้น เป็นเพราะมีการปรับโครงสร้างภายในให้เข้ากับระบบหลังบ้านของ Alibaba มากขึ้น เพื่อให้การรับส่งข้อมูลและสินค้าทำได้อย่างราบรื่น รวมทั้งมีการลงทุนเพิ่มเติมในการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่าง เพื่อช่วยเหลือร้านค้าดั้งเดิมในการเข้ามาสู่ระบบซื้อขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซได้สะดวกขึ้น

โดยปีนี้ LAZADA จะเปิดบริการ Wallet อย่างเป็นทางการให้แก่ลูกค้าใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องยึดติดกับการมีบัตรเครดิตหรือเดบิตแบบเดิม ซึ่งปีหน้าจะเห็นการโปรโมทร่วมกับพาร์ทเนอร์มากขึ้น

แม้จะยังใช้ได้ภายในแอพ LAZADA เพียงอย่างเดียว แต่ก็หวังให้มีการขยายไปใช้งานในช่องทางต่างๆ ได้ด้วย

นอกจากนี้ LAZADA ยังมั่นใจว่าตนเอง ยังคงเป็นเบอร์ 1 หรือท็อปแบรนด์ในใจของลูกค้า ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในช่วง Early Stage ที่ LAZADA เองจะพยายาม Follow Market ให้เร็วมากขึ้น

การที่ LAZADA เข้ามาในไทย 6 ปีนั้น เรื่องของการทำกำไรยังต้องใช้เวลาผลักดันต่อเนื่องและลงทุนในสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น ทำให้ยังคงลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและกลุ่มออฟไลน์ทั้งลูกค้าและร้านค้า ให้เข้าสู่แพลตฟอร์มมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในอนาคต

 

“สิ่งที่เรารอตอนนี้ คือ ความพร้อมทุกอย่างก่อน ทั้ง Infrastructure, Logistics, Payment เมื่อครบแล้ว ก็เชื่อว่าจะเป็นช่วงของการทำกำไร ซึ่งคาดว่าเมื่อแตะ 10 ปีก็ต้องได้กำไรแล้ว เช่นเดียวกับ Alibaba ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”

 

บทสรุปจาก Thumbsup

การหยุดทำตลาดไปช่วงไตรมาสแรกของ LAZADA ถือว่าเป็นการเพลี่ยงพล้ำอย่างหนักหน่วง เพราะก่อนหน้านี้ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากทีมบริหารเดิม ซึ่งเน้นเรื่องการจัดโปรโมชั่นและทำตลาดร่วมกับพาร์ทเนอร์มาต่อเนื่อง ถือว่ารักษาฐานลูกค้าได้ดีระดับหนึ่ง

แต่หลังจากเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนทีมบริหารมาเป็นลูกหม้อ Alibaba ช่วงไตรมาสสุดท้าย เกิดช่วงเว้นว่างของการสื่อสารตลาดในไตรมาส 2 ก็ไม่มีตัวเปรียบเทียบในตลาด ทำให้ผู้ใช้งานหันหน้าไปใช้บริการ Shopee มากขึ้น รวมทั้งตอนช่วงทดลองนำสินค้าจาก Taobao เข้ามาขาย คะแนนรีวิวก็ตกต่ำมาก

ยิ่งสินค้ากลุ่มแฟชั่น เป็นสินค้าที่คนซื้อออนไลน์มากที่สุด แต่กลับเจอปัญหา “สินค้าไม่ตรงปก” ทำให้นักช้อปเปลี่ยนใจไปใช้ Shopee กันมากขึ้น ทั้งที่ข้อเสียของ Shopee คือการใช้กลยุทธ์ประกาศว่าส่งสินค้าฟรี แต่พอกดสั่งจริงกลับต้องเสียเงินค่าส่งให้ EMS ของไปรษณีย์ไทย หรือ ค่ารับสินค้าผ่าน Kerry ไปซะอย่างนั้น

คุยกับ JD.com

นอกจากนี้ Thumbsup เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับ เฉินข่าย หลิง รองประธานฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการลงทุน ผู้อำนวยการ JD.com International ซึ่งเขาเล่าเกี่ยวกับการเติบโตของ JD.com ว่า

รายได้ของบริษัทในปีที่แล้ว ทำไปได้กว่า 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สร้างการเติบโตในปี 2017 มากกว่า 30% ถือว่าโตดีกว่า Amazon ของประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก

ทั้งนี้ JD.com ตั้งมากว่า 15 ปี มีอัตราการเติบโตมากกว่า 150% ในช่วง 2 ปีหลัง มียอดผู้ใช้งานประจำ (Active User) ทุกเดือน เกิน 300 ล้านคน มีร้านค้าในระบบกว่า 1.7 แสนร้านค้า และพนักงานมากกว่า 1.7 แสนคน

ด้านโลจิสติกส์ครอบคลุม ร้อยละ 99% และจัดส่งสินค้าได้ภายในวันเดียวกันหลังกดสั่งซื้อ มีแวร์เฮ้ามากกว่า 500 แห่ง (มี 1 แห่งเป็นระบบอัจฉริยะ ไม่มีคนเลย) ซึ่งการขยายบริการให้ครอบคลุมท่ัวโลกเป็นสิ่งที่น่าสนใจและตอนนี้ไทยก็เป็นอีกเป้าหมายที่สำคัญ

เช่น อินโดนีเซีย มีความร่วมมือกับทาง Go-Jek และเวียดนามร่วมกับ Viki ส่วนไทยร่วมมือกับ Central และยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งต้องการที่จะมีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อีกจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เรื่องกลยุทธ์ หรือการทำตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยนั้น ทางทีม JD.com จะเป็นคนจัดการทั้งหมด ส่วน JD.com จะเข้ามาเสริมในด้านของระบบหลังบ้าน เทคโนโลยีต่างๆ และสินค้าจากไทยไปขายในจีน

ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตด้านอีคอมเมิร์ซในไทย คืออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้รูปแบบธุรกิจ จากทุกอย่างอยู่ที่ศูนย์กลาง กลายเป็นการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นมากขึ้น นั่นคือ ในอนาคตค้าปลีก จะไม่มีพรมแดน

รวมทั้งวงการค้าปลีก จะมีหลายรูปแบบมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Conversation Commerce, Content Commerce , vr/ar เป็นต้น

บทสรุปจาก Thumbsup

ยอมรับตามตรงว่ายังไม่เคยลองสั่งสินค้าจาก JD Central เพราะแม้จะมีเครื่องมือหลายอย่างคล้ายกับเจ้าตลาดเดิม อย่าง Flash Sale, Coupon หรือนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย

แต่ราคาของสินค้าก็ยังนับว่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า จะสลัดภาพของการเป็นค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Central ออกจากช่องทางอีคอมเมิร์ซนี้ได้หรือไม่ เพราะปัญหาเดิมของ Delivery ที่ลูกค้าเคยเจอ ยังคงเป็นเรื่องเล่าขาน

เพราะแม้ว่าจะเกาะกระแสเข้ามาตอนอีคอมเมิร์ซบูมแล้ว แต่การจะดึงผู้ใช้งานให้เข้าไปสั่งซื้อหรือเลือกใช้แพลตฟอร์มไหน ก็ต้องลงทุนหนักไม่แพ้กัน

นอกจากนี้ Thumbsup ยังดึงข้อมูลจาก Priceza เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของวงการอีคอมเมิร์ซ มาสรุปในกราฟิกนี้ด้วย

บทวิเคราะห์จากคน IT

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้บริหารเว็บไซต์ Blognone และ Brand Inside ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับภาพรวมอีคอมเมิร์ซของปี 2018-2019 ไว้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ซึ่ง Thumbsup จะสรุปความน่าสนใจของวงการอีคอมเมิร์ซ ผ่านสายตาของผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยี ที่กล้าตอบคำถามแบบที่คนในวงการอีคอมเมิร์ซไม่กล้าฟันธงชัดๆ

ภาพรวมอีคอมเมิร์ซ ปี 2018 ที่ผ่านมา

อิสริยะ : ปี 2018 ที่เราเห็นชัดๆ คงเป็นสองเรื่องสำคัญ คือการเข้ามาของ JD Central ซึ่งเปิดตัวปีนี้ ถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ รายที่ 3 ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซอีกรายหนึ่ง หลังจากที่ 11 Street จากเกาหลี ถอนตัวไป

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ สงครามระหว่างผู้เล่นสองรายเดิม ก็คือ  LAZADA กับ Shopee ที่ต่อสู้กันดุเดือดมาก โดยเฉพาะเรื่องของค่าธรรมเนียมการขาย ซึ่งทาง Shopee มีการเปิดฟรีให้ก่อน ส่งผลต่อ LAZADA ต้องประกาศฟรีตาม ก็ทำให้การแข่งขันของอีคอมเมิร์ซปีนี้ ดุเดือดขึ้นเยอะมาก

และเมื่อบวกกับการเข้ามาของ JD Central ยิ่งทำให้กลายเป็น 3 ฝ่าย ก็ยิ่งดุเดือดขึ้นไปอีก สิ่งที่เราจับต้องได้ชัดเจนเลยเนี่ย ก็คือว่า จากเดิมเรามีเทศกาลเรื่องการลดราคาอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง หลักๆ เลยที่เริ่มมาจากเมืองจีนคือ 11.11 แต่ว่าพอปีนี้ แทบจะทุกเดือน 8.8 9.9 10.10 11.11 และล่าสุดที่ผ่านไป 12.12 ก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าอีคอมเมิร์ซต่อสู้กันดุเดือดมาก

ตลาดอีคอมเมิร์ซยังมาแรงไหม

 

ผมคิดว่ายังโตเรื่อยๆนะครับแน่นอนว่าตลาดใหญ่ขึ้นอัตราการเติบโตก็อาจจะช้ากว่าเดิมแต่ว่าตลาดก็ยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในอนาคตอันใกล้ซึ่งเราก็จะเห็นว่าเทศกาลขายของออนไลน์ยังมีสถิติใหม่เกิดขึ้นทุกปีไม่มีจุดที่มันช้าลงเลย

 

ปัญหาที่อาจส่งผลให้อีคอมเมิร์ซโตช้า

อิสริยะ : หลักๆเลยผมคิดว่าเป็นเรื่องของโลจิสติกส์ ผมคิดว่าต้นทุนโลจิสติกส์ในเมืองไทยยังค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับค่าสินค้าหรือค่าใช้จ่ายโดยรวมของการสั่งสินค้าเนี่ยค่าส่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเราคงต้องมีการจัดการต้นทุนโลจิสติกส์ที่ดีกว่านี้

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะมีบริษัทโลจิสติกส์เกิดใหม่เยอะมาก เพื่อตอบสนองความต้องการของอีคอมเมิร์ซ ซึ่งการแข่งขันก็สูง ต้นทุนก็อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปทางเดียวกันเราอาจต้องใช้รถขนส่ง 3-4 เจ้าเพื่อแข่งกัน พอไปถึงระยะหนึ่งตลาดเกิดการ consolidated เราอาจจะเห็นการรวมแพคเกจในเส้นทางเดียวกันเพื่อลดต้นทุนได้มากขึ้น

ทางด้านของไปรษณีย์ไทยเอง ตอนนี้ก็ประกาศแล้วว่าจะเปิดทุกวัน ก็ต้องเป็นการปรับตัวของไปรษณีย์ไทยในการแข่งขันกับบริษัทโลจิสติกส์ ที่เขาเปิด 7 วันอยู่แล้ว

อีกเรื่องหนึ่งก็คงเป็นเรื่องเพย์เม้นท์ ถ้าเทียบกับเมืองจีนอย่างที่ทราบเนี่ย โมบายเพย์เม้นท์ค่อนข้างไปได้ทุกที่จะใช้ Alipay หรือ Wechat ก็ตาม จ่ายได้แทบจะทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองจีนแล้ว

แต่ในไทยมันไม่ได้เป็นแบบนั้น คือในมุมของ User เนี่ยก็จะมี Frictionในการใช้ค่อนข้างเยอะ คือไม่สามารถใช้เพย์เม้นท์ค่ายนี้ ไปจ่ายเงินสินค้าฝ่ายตรงข้ามได้ ตอนหลังเรามีระบบอื่นๆ ที่ภาครัฐออกแบบมาให้ เช่น พร้อมเพย์เข้ามาก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ว่าภาพรวมของตลาดแล้วเนี่ย User ยังต้องลง Wallet จำนวนมากอยู่ในการซื้อสินค้าของแต่ละค่ายที่ต่างกัน คิดว่าเคสนี้ก็เป็นเคสที่ต้องพัฒนาไปอีกนะครับ

วิเคราะห์ 3 ยักษ์ อีคอมเมิร์ซ

อิสริยะ : เจ้าที่มาแรงปีนี้คือ Shopee นะครับ ซึ่งเคสของช้อปปี้เนี่ยจะเน้นแม่ค้ารายย่อยค่อนข้างเยอะ ยุทธศาสตร์ของเขา คือพยายามกวาดแม่ค้าออนไลน์ที่เคยอยู่ในช่องทางโซเชียล ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram หรือช่องทางอื่นๆ เข้ามาขายบนช่องทางของ Shopee แทน ก็เป็นยุทธศาสตร์ใช้แล้วก็ค่อนข้างเวิร์ค

ในขณะที่ LAZADA เอง หลังจากไปอยู่กับ Alibaba แล้ว ก็ไปเด่นเรื่องสินค้าจากจีน ซึ่งเขาก็จะมี Taobao Collection ซึ่งตรงนี้น่าสนใจตรงที่แม่ค้าออนไลน์จากไทยจำนวนไม่น้อยใช้วิธี Sourcing สินค้าจาก taobao อยู่แล้ว

หิ้วมาจากเมืองจีนด้วยวิธีการต่างๆ แต่ว่าพอเคสนี้ปุ๊บ มันกลายเป็นว่าพ่อค้าแม่ค้าจากเมืองจีนที่เคยขายบน Taobao อยู่แล้ว สามารถกระจายสินค้าเข้ามาผ่าน LAZADA โดยตรง ทำให้ตลาดนี้ถูก Shift มาอยู่บนแพลตฟอร์มแทน

ความน่าสนใจของ JD Central

JD Central จะโดดเด่นในเรื่องตลาดอิเลคทรอนิคส์ โดยเฉพาะในเรื่องของมือถือ พูดง่ายๆ คือในเมืองจีนคนส่วนใหญ่ซื้อมือถือใน JD แต่เมืองไทยมีช่องทางการขายอื่นๆ เยอะมาก ทั้งขายตาม Shop เอง หรือมาบุญครอง ก็เป็นความท้าทายเหมือนกันว่า JD จะสามารถใช้จุดเด่นเหมือนที่ทำในจีนกับเมืองไทยได้หรือเปล่า

โมเดลของ JD.com ที่น่าสนใจในเมืองจีน ซึ่งจะถูกยกมาใช้งานที่ไทยนั้น เด่นๆ เลยคือเรื่อง Logistics ซึ่งจะรันระบบโลจิสติกส์ของเขาเองทั้งหมด พูดง่ายๆ คือพนักงานส่งของเป็นของเขา ซึ่งเขาก็การันตีว่าจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าในการสั่งซื้อสินค้า เพราะว่าหลังจากสั่งซื้อสินค้าไม่ต้องลุ้นว่า ของจะมาเมื่อไหร่ สภาพดีแค่ไหน

 

ซึ่งผมเคยคุยกับทีม JD ที่เขายอมรับว่าก็อาจต้องใช้เวลา ช่วงแรกก็อาจจะใช้ขนส่งที่เป็นพาร์ทเนอร์กันก่อน แต่ว่าในระยะยาวก็อยากจะไปให้ถึงจุดนั้น

 

เป้าหมายหลักของแพลตฟอร์ม

วิธีคิดของบริษัทที่เป็นแพลตฟอร์มแบบนี้เนี่ยคือ “ผู้ชนะกินรวบ”

พราะฉะนั้น ช่วงแรกเนี่ยเขาจะไม่ต้องการทำกำไรเลย แต่สิ่งที่เขาต้องการทำคือ ขจัดคู่แข่งให้ออกจากตลาดเพื่อให้เหลือหลายเดียว พอเหลือรายเดียวปุ๊บ เขาก็จะสามารถทำกำไรชดเชยเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ

ในฝั่งของอีคอมเมิร์ซก็เหมือนกัน พูดง่ายๆ ว่าทุกคนต้องการเป็น Grab แต่ว่าสงครามยังไม่จบตอนนี้ก็ต้องประหัดประหารกันไปก่อน จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมถอนตัวออกไป

ช่วงนี้ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์กับสงครามโปรโมชั่นของแต่ละฝ่ายที่ออกมาสู้กัน แต่ว่าก็อยากให้ระลึกกันไว้ว่า สงครามมีวันจบ เพราะว่าเงินมีจำกัด ถึงแม้จะมีเยอะ แต่ก็มีจำกัด ไม่มีใครสามารถทนสภาวะขาดทุนได้ตลอดกาล พูดง่ายๆ ว่าสงครามสิ้นสุดก็อาจจะเหลือเพียง 1-2 รายก็ตามตอนนั้นเนี่ยโอกาสของผู้บริโภคก็จะน้อยลงสิทธิ์เสียงก็จะลดลง

เทรนด์โมบายคอมเมิร์ซจะเกิดในไทยได้ไหม

อย่างที่เห็นกันตามข่าวว่า ในจีนโมบายเพย์เม้นท์เติบโตมากและสามารถจ่ายได้ทุกอย่างเลย หลายเคสไม่รับเงินสดด้วย ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าคนจีนสามารถปรับตัวจากสังคม Cash มาเป็น Cashless ได้เร็วมาก

ซึ่งแบงค์ไทยหลายๆ แห่งก็พยายามทำเรื่องนี้กันอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะผลักดันได้สำเร็จแค่ไหน พฤติกรรมผู้บริโภคที่ผ่านมาๆ ก็ดีขึ้น แต่จะเปลี่ยนได้เร็วเหมือนในจีนหรือเปล่าก็คงไม่ขนาดนั้น

เห็นการผลักดันการใช้งาน QR Code กันมา 3-4 ปีแล้ว ปีต่อๆไป คงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้ว ไม่ว่าจะไปเห็นตามร้านค้าตามย่านช้อปปิ้งต่างๆ จะมีป้าย QR Code หมดแล้ว

แสดงว่าในฝั่งของ Merchant เอง ส่วนใหญ่ก็ยอมรับแล้วล่ะแต่ในทางปฏิบัติเอง อาจจะไม่มีใครมาจ่ายเงินจนเขาต้องเอาป้ายออกหรือเปล่า ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคเองว่าจะมีพฤติกรรมอย่างไร ในการใช้จ่ายเงินผ่านโมบายคอมเมิร์ซให้แพร่หลายมากกว่านี้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเหมือนกันครับ

ภาษีออนไลน์

อยากฝากประเด็นที่สำคัญไว้คือเรื่องการเก็บภาษีแม่ค้ารายย่อยที่เป็นอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีสองด้าน คือ รัฐเองก็อยากได้ภาษี อันนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ก็ตรงไปตรงมา

แต่ในอีกทางหนึ่งแม่ค้ารายย่อยที่ไม่เคยเสียภาษีมาก่อน หรือไม่เคยทำบัญชีมาก่อนแล้วพอจะเอาเข้ามาในระบบอิเลคทรอนิคส์ที่มี Record ชัดเจน ก็มีความขัดแย้งตามมา เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว ก็คงต้องหาจุดบาลานซ์อยู่ตรงไหน ที่รัฐเองก็เก็บภาษีได้ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยก็อยู่ได้เหมือนกัน

รับชมคลิปสัมภาษณ์

 
Source: thumbsup

The post โตแน่! แค่เจ้าตลาดไม่ใช่ของคนไทย Thumbsup สรุปภาพรวมอีคอมเมิร์ซปี 2018 และวิเคราะห์ปี 2019 appeared first on thumbsup.

อสังหากำลังสั่นคลอน!! สรุปภาพรวมบ้าน, คอนโดปี 2018 ชี้สัญญาณฟองสบู่ กูรูยังติดดอย

$
0
0

“ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง”  ไม่เว้นแม้แต่การลงทุนในอสังหาก็เช่นกัน  โดยว่ากันว่า “ถ้าอยากรู้ว่าราคาอสังหาจะดีไหม?” ก็ให้ลองไปดูสภาพเศรษฐกิจโดยรวม  เพราะภาพรวมของอสังหานั้นขึ้นอยู่กับเรื่องนี้  ซึ่งวงการอสังหานั้นมีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะตลอดปีทั้ง 2561 ที่ผ่านมา  ทั้งเรื่องของชาวจีนที่แห่แหนกันเข้ามาลงทุนคอนโดมิเนียมในเมืองไทย  หรือการออกเกณฑ์ใหม่ในการซื้ออสังหาที่ทำให้ตลาดเริ่มดิ่งลง

ทีมงาน thumbsup ได้ทำการสรุปภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 พร้อมทั้งพูดคุยกับกูรูในวงการอสังหาจากเว็บไซต์ Baania แล้วพบว่าในช่วงปีที่ผ่านมามีหลายอย่างที่น่าสนใจทั้งเรื่องของตลาดจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย  หรือภาพรวมของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังต้องเพิ่มความระมัดระวัง

ภาพรวมอสังหาปี 2018 ยังไม่โตเท่าที่คาด

มองย้อนกลับไปจะพบว่าในช่วงปลายไตรมาสเเรกตลาดค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น  จากนั้นจึงมาสะดุดในช่วงที่ธนาคารเเห่งประเทศไทยมีการออก “มาตรการควบคุมสินเชื่อ” ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  จนทำให้ตลาดเริ่มมีการชะลอตัวอีกครั้ง  ซึ่งหากมองภาพรวมของทั้งปี 2561 นั้นยังคงไปได้ดี  แต่ก็อาจไม่ได้ดีที่สุดเหมือนอย่างที่มีการคาดการณ์เอาไว้   เพราะจริงๆ แล้วตลาดอสังหามักจะเติบโตประมาณ 10% ต่อปี  แต่ในช่วงที่ผ่านมานั้นเติบโตเเพียงเเค่ประมาณ 5 %

กูรูอสังหาก็ติดดอยคอนโดได้

วราพงษ์ ป่านแก้ว Content Editor จากเว็บไซต์ Baania บอกกับเราว่าตอนนี้มีคนติดดอยคอนโดกันอยู่เยอะมาก  ทั้งในเหล่ากูรูและไม่ใช่กูรู  ซึ่งหากซื้อเพื่อการลงทุนระยะสั้นก็คงต้องทำใจ  แต่ถ้าถือคอนโดมิเนียมต่อไปได้ก็ไม่มีทางราคาลงอยู่เเล้ว  เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่กี่เหตุการณ์ที่ทำให้ราคาตก  อย่างเหตุการณ์ช่วงวิกฤติของปี 2540  ที่อสังหาราคาตกจากการหั่นราคาขายของผู้ประกอบการในช่วงนั้น    ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังไม่เหตุการณ์ใดที่ทำให้ราคาของอสังหาตกลงเลย  โดยจะราคาขึ้นมากหรือน้อยอยู่กับภาะวะเศรษฐกิจในช่วงนั้น

เขาแนะนำว่าสำหรับคนที่ติดดอยอยู่ถ้ามีความสามารถในการถือก็ควรจะถือต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าอย่างน้อยเกณฑ์การขึ้นราคาของคอนโดนั้นยังทำให้เรามีความหวัง  แต่ถ้าถือไม่ได้ก็คงต้องตัดใจ  และจริงๆ ตลาดเก็งกำไรในช่วง 2  ปีที่ผ่านมานั้นแทบจะเก็งกำไรอะไรไม่ได้เลย  เพราะไม่ว่าจะเป็นกูรู หรือไม่กูรู ต่างก็ติดดอยไปด้วยกันทั้งนั้น  ทำให้ทุกอย่างระวังและมีความเสี่ยง

ชาวจีนหันมาเก็งกำไรในคอนโดไทย

ตลาดคอนโดบ้านเราในช่วงที่ผ่านมากำลังซื้อในประเทศนั้นค่อนข้างชะลอตัว  เพราะไม่สามารถซัพพอร์ตตลาดได้ทั่วถึงทั้งหมด  จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องหันไปพึ่งการซื้อขายจากต่างชาติ  โดยตามกฎหมายแล้วโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ขายชาวต่างชาติได้นั้นคือ “คอนโดมิเนียม” ซึ่งชาวต่างชาติจะสามารถซื้อได้ไม่เกิน 49 เปอร์เซ็นต์ของโครงการทั้งหมด ดังนั้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการเกือบทุกบริษัทนั้นหันไปเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น

และกลุ่มประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ “ชาวจีน” เพราะชาวจีนชื่นชอบการลงทุน  ประกอบกับถูกจำกัดเรื่องการลงทุนในประเทศ  จึงทำให้ออกมาลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น  แต่ที่ผ่านมาทีเหตุการณ์ที่กระทบความสัมพันธ์กับคนจีนบ้าง  จนทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง  แต่ตอนนี้ในตลาดอสังหาริมทรัพท์คนจีนก็ยังมีการซื้อปกติ  ซึ่งการซื้อของคนจีน 80-90 % ก็เป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไร

การเมือง “จีน” กับ “สหรัฐ” อาจกระทบวงการอสังหา

มีความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่จีนมีกับประเทศสหรัฐว่าอาจส่งผลผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม  ดังนั้นทางการจีนจึงพยายามให้ประชาชนใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น  โดยในอนาคตอาจจะออกมาตรการณ์มาควบคุมการซื้อขายต่างๆ  ในเวลานั้นก็อาจมีปัญหาอีกอย่างคือ  ” ซื้อมาแล้วแต่ไม่โอน ”  แต่ตอนนี้หลายบริษัทยังยืนยันว่าตลาดคนจีนที่เข้ามาซื้อก็ยังคงโอนกันเป็นปกติอยู่

ไทยยังห่างไกลกับ “ภาวะฟองสบู่อสังหาแตก”

ในตอนนี้หลายคนเริ่มกังวลกับ “ภาวะฟองสบู่อสังหา” โดยฟองสบู่เป็นภาวะที่เกิดจากการคาดหวังว่าราคาอสังหาริมทรัพท์จะมีราคาสูงเรื่อยๆ ทำให้เกิดการ “เก็งกำไร” จนถึงจุดหนึ่งที่เกิดเป็นฟองสบู่

ซึ่งการที่ฟองสบู่จะแตกได้นั้นต้องเกิดมาจากความเปราะบางของเศรษฐกิจ  หากมองในตอนนี้จะพบว่าไทยเกิดภาวะเปราบางบ้าง  แต่เล็กมากและมีเพียงการเก็งกำไรเล็กๆ น้อยๆ  เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี 2540 โดยดูตัวอย่างได้จาก “ทาวน์เฮ้าส์” ที่ไม่ใช่สินค้าที่เก็งกำไรกัน  แต่กลับมีการต่อแถวซื้ออย่างยาวเหยียด

เกณฑ์ใหม่ในการซื้ออสังหาทำตลาดชะลอตัว

คาดการณ์ว่าตลาดจะชะลอตัวลงไปหลังจากที่ประกาศใช้แบบเป็นทางการ  โดยหลายๆ บริษัทนั้นไม่อยากเจอมาตรการณ์นี้  เพราะทำให้ผู้ซื้อกู้เงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ยากยิ่งขึ้น  หรือเกิดความไม่เชื่อมั่นที่จะกู้จนตัดสินใจชะลอการซื้อออกไปก่อน

แต่ก็มีอีกกลุ่มที่มองว่าตัวเองมีศักยภาพมากพอพร้อมกู้  จึงหันมาเลือกซื้อสินค้าพร้อมอยู่แทน  ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มเทสต็อกออกมาขายให้ทันก่อนที่กฎหมายอสังหาจะออกมาใช้จริงช่วงปีหน้า  โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการเตือนเรื่องการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหามาตั้งแต่ปีที่แล้ว  เพราะมองว่าตลาดอสังหามีความเปราะบาง  และส่งสัญญาณที่ไม่ดีออกมา  จึงได้ประกาศในมาตรการณ์นี้ออกมาและจะบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป

เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่

การวางดาวน์ซื้ออสังหาริมทรัพท์ที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท :

  • ที่อยู่อาศัยหลังที่ 1 วางดาวน์ 0-10 เปอร์เซ็นต์ (ไม่เปลี่ยนแปลง)
  • ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 (กรณียังผ่อนสัญญาแรก) วางดาวน์ 10 เปอร์เซ็นต์ (กรณีผ่อนสัญญาแรกมาแล้ว 3 ปีขึ้นไป) และ 20 เปอร์เซ็นต์  (กรณีผ่อนสัญญาแรกไม่ถึง 3 ปี)
  • ที่อยู่อาศัยหลังที่ 3++  วางดาวน์ 30 เปอร์เซ็นต์ (กรณีผ่อนสัญญาอื่นๆ ยังไม่หมด)

การวางดาวน์ซื้ออสังหาริมทรัพท์ที่ราคา 10 ล้านบาท ขึ้นไป :

  • ที่อยู่อาศัยหลังที่ 1-2 วางดาวน์ 20 เปอร์เซ็นต์
  • ที่อยู่อาศัยหลังที่ 3 วางดาวน์ 30 เปอร์เซ็นต์

*  ใช้กับสินเชื่อที่มีการทำสัญญากู้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 62 ขึ้นไป  และยกเว้นให้กับกรณีทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือผ่อนดาวน์ก่อน 15 ต.ค. 61

โดยเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่กระทบประชาชนที่กู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และจะไม่บังคับใช้กับการกู้เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเอง รวมทั้งจะไม่กระทบการรีไฟแนนซ์สำหรับผู้กู้ที่มีภาระผ่อนเพียงหนึ่งหลัง ทั้งนี้การรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัยในทุกกรณีให้ใช้ราคาประเมินใหม่เพื่อสะท้อนมูลค่าปัจจุบัน

“คอนโดมิเนียม” ยังครองใจ แต่ “ทาวน์เฮ้าส์นอกเมือง” ก็มาแรง

พบว่า “คอนโดมิเนียม” ยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงอยู่  โดยเฉพาะคอนโดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  แต่มีบางส่วนที่คิดต่างคือตลาดทาวน์มันเริ่มโต  เพราะว่ารถไฟฟ้านั้นออกไปนอกเมืองมากขึ้น  ทำให้หลายคนมองว่าถ้าซื้อคอนโดอยู่ในเมืองก็ได้พื้นที่น้อย  เมื่อเทียบกับการไปอยู่นอกเมืองมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านแต่ได้ทาวน์เฮาส์ มีที่ดิน และมสามารถใช้ชีวิตได้มากกว่า

จึงเป็นโอกาสของ “ตลาดทาวน์เฮ้าส์นอกเมือง” ที่น่าจะเติบโตต่อไปได้อีก  แต่ในปัจจุบันยังคงเป็น คอนโดมิเนียม ที่ยังครองใจ  แต่ไม่ได้หมายความว่าคอนโดติดแนวรถไฟฟ้าทุกที่จะขายหมด  เพราะตอนนี้สายสีม่วงก็ยังมีคอนโดเหลือขายอยู่เยอะเช่นกัน

เทียบรายได้อสังหาเจ้าใหญ่ในปี 2017 กับ 2018

หากลองเทียบรายได้จากอสังหาแต่ละเจ้าแล้วจะพบว่ามีสัดส่วนรายได้ กำไร ที่ต่างกันเยอะ  ลองมาดูกันว่าแต่ละเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง

**นับถึงไตรมาสที่ 3

รายได้จากธุรกิจหลัก ปี 2017 :

  • แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) 27,092  ล้านบาท
  • แสนสิริ (SIRI) 22,748 ล้านบาท
  • อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์(ANAN) 8,407 ล้านบาท
  • แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) 6,857 ล้านบาท

รายได้จากธุรกิจหลัก 2018 :

  • แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) 25,335 ล้านบาท
  • แสนสิริ (SIRI) 17,062 ล้านบาท
  • อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) 7,599 ล้านบาท
  • แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) 7,073 ล้านบาท

กำไรสุทธิปี 2017 :

  • แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) 8,508 ล้านบาท
  • แสนสิริ (SIRI) 2,046 ล้านบาท
  • อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) 561 ล้านบาท
  • แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN) 767 ล้านบาท

กำไรสุทธิปี 2018 :

  • แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) 8,204 ล้านบาท
  • แสนสิริ (SIRI) 1,003 ล้านบาท
  • อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) 1,708 ล้านบาท
  • แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) 840 ล้านบาท

รายได้เติบโต :

  • แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) -3.6%
  • แสนสิริ (SIRI) -51%
  • อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) 204.6 %
  • แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) 9.5 %

ตลาดคอนโด Luxury ไม่ได้โตอย่างที่คิด

ที่ผ่านมาการเติบโตคือมีการซื้อขายในระดับหนึ่ง  แต่ถึงจุดนี้มันเริ่มจะชะลอตัวแล้ว  เพราะผู้ซื้อที่สามารถซื้อคอนโดระดับนี้นั้นเป็นส่วนเล็กๆ ในตลาด  และมีสินค้าหลายโครงการที่ยังขายไม่หมด  โดยกลุ่มคนที่มาถือสินค้า Hi-End นั้นถือกันเพื่อการลงทุน  หรือถือเพราะไม่มีสินค้าประเภทนั้นในมืออยู่แล้ว  และตลาดเป็นของรายใหญ่เกือบทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร

ตลาดต่างจังหวัดยังเน้นซื้อ “บ้าน” มากกว่า “คอนโด”

มีโอกาสกระจายตัวไปอีกมาก  โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการลงทุนของภาครัฐสูงๆ  เช่น  พื้นที่ภาคตะวันออกที่มีการกระจายตัวของแรงงานเยอะ  หรือหัวเมืองใหญ่ๆ ที่มีการกระจายตัวของแรงงานจุดนั้นสูงๆ

ในส่วน เชียงใหม่ ภูเก็ต เริ่มชะลอตัว  เพราะภาวะภูมิภาคของรากหญ้านั้นไม่ดี  จึงทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง  แต่หลังจากนี้อาจเริ่มฟื้นตัวมากขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐ   รถไฟฟ้า และการเข้าไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเมืองใหญ่ๆ อย่างภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น  ที่จะทำให้เกิดการปลุก Demand ขึ้นมาอีกครั้งแบบค่อยเป็นค่อยไป  เพราะขนาดของต่างจังหวัดนั้นเล็กกว่าของกรุงเทพ  ถ้าเปิดคอนโดสัก 2 โครงการก็ตอบโจทย์ความต้องการหมดแล้ว  ที่สำคัญต่างจังหวัดยังเป็นตลาดของแนวราบอยู่ (บ้าน) มีเพียงเชียงใหม่ ภูเก็ต ที่เปิดตลาดคอนโดได้

สรุปแนวโน้มอสังหาปี 2019 ยังต้องระวัง

มีหลายคนฟันธงว่าอสังหาปีหน้านั้นไม่ดี  เพราะภาพรวมของอสังหาจะล้อกับภาพรวมของเศรษฐกิจ  ซึ่งสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอาจมาสร้างปัญหาตรงนี้ได้  จึงยังไม่น่าจะดีกับประเทศไทย

ดอกเบี้ยบ้านเราอยู่ในช่วงขาขึ้น  ซึ่งส่งผลต่อการซื้อขาของตลาด  ส่วนการเลือกตั้งก็มีผล 2 ด้าน คืออาจะดี หรืออาจจะไม่ดีก็ได้  เพราะในช่าวงเลือกตั้งนั้นทำให้เงินจะสะพัด  แต่หลังเลือกตั้งก็ต้องมาคอยดูว่าการจัดตั้งรัฐบาลต่างๆ จะมีปัญหาเกิดขึ้นไหม  เพราะหลายคนค่อนข้างกังวลว่าจะย้อนรอยกลับไปในจุดที่เรากังวลหรือเปล่า  บวกกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว  จึงทำให้ปีหน้าต้องจับตามองอย่างระมัดระวัง

ส่วนภาคอสังหาก็ย่อมที่จะต้องชะลอตัวตามเศรษฐกิจ  หนึ่งคือดอกเบี้นที่จะมีการปรับขึ้นแน่นอน  ซึ่งถ้าอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยของไทยก็ต้องขึ้นตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะการซื้อขายน่าจะชะลอตัวลงหลังจากมาตรการณ์ของแบงค์ชาติออกมา

สรุปคือปีหน้ายังเป็นปีที่ “ต้องระมัดระวัง” ทั้งคนซื้อที่ต้องระวังการใช้จ่ายของตัวเอง  กับภาวะดอกเบี้ยที่ยังขึ้นจนทำให้ภาวะการผ่อนต่อเดือนเพิ่มขึ้น  ว่าซื้อไปแล้วผ่อนไหวมั้ย  นั่นคือสุขภาพทางการเงินของเรานั้นต้องดีพอ  แต่ไม่ต้องถึงกับกังวลจนไม่กล้าซื้อไปเสียเลย  เพราะทุกสถานการณ์ย่อมมีโอกาสอยู่เสมอคนที่มีเงินเย็นก็มีอำนาจต่อรองที่สูง  แต่คนที่มีเงินเก็บไม่เยอะก็ต้องระวังหน่อย  แต่หากเคยตั้งใจว่าจะซื้อบ้านราคา 2 ล้านก็อาจลดราคาลงหน่อย  เพื่อให้ตัวเองมีภาระต้องผ่อนน้อยลง

นอกจากนั้นสิ่งที่เราอาจเห็นในอสังหาหลายๆ ที่ในปีต่อจากนี้  คาดว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น  เรื่องของ Smart Home และ Smart Building เพื่อตอบโจทย์เหล่า Smart Buyer โดยจะเป็นจุดที่คอนโดมิเนียมนำมาเเข่งขันกันมากขึ้น

ชมวิดีโอสัมภาษณ์ :

 

ขอบคุณข้อมูลจาก :

home

efinancethai

prop2morrow

 

 
Source: thumbsup

The post อสังหากำลังสั่นคลอน!! สรุปภาพรวมบ้าน, คอนโดปี 2018 ชี้สัญญาณฟองสบู่ กูรูยังติดดอย appeared first on thumbsup.

::EXCLUSIVE INTERVIEW :: CMO หญิงของ LINE MOBILE กับกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่น การันตีด้วย 3 รางวัลทั้งไทยเเละเทศ

$
0
0

ผ่านมา 1 ปีแล้ว สำหรับ LINE MOBILE ซิมมือถือโทร แชท เล่นเน็ต ราคาถูกกว่าแน่อน ที่มีกระบวนการซื้อและจัดการทุกอย่างจบเบ็ดเสร็จได้เองผ่านทางช่องทางออนไลน์ ไม่ต้องเดินหาชอปให้วุ่นวาย ซึ่งทาง Thumbsup ได้รับเกียรติจากคุณปวริศา ชุมวิกรานต์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาด LINE MOBILE ประเทศไทย มาร่วมพูดคุยถึงชีวิตการทำงาน ไลฟ์สไตล์และรางวัลที่ได้รับกันค่ะ

LINE MOBILE เปิดมาครบปีแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง

ในช่วงแรกของการทำการตลาด ผู้บริโภคเข้าใจว่า LINE MOBILE คืออีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นของ LINE เหมือนอย่าง LINE TV หรือ LINE MAN  เเต่ในความเป็นจริงเเล้ว LINE MOBILE คือ ซิมมือถือ โทร แชท เล่นเน็ต ที่ให้บริการในรูปแบบดิจิทัลรายแรกของประเทศไทย

 

เราเข้ามาพลิกโฉม(Disrupt) วงการโทรคมนาคมด้วยบริการออนไลน์ 100% ซึ่งเป็นการฉีกกฏการให้บริการในรูปแบบเดิมๆ ที่ต้องไปใช้บริการที่ shop

 

Concept ของ LINE MOBILE คือการ turn customer’s frustration (pain points) into delight จึงเน้นเรื่อง consumer centric เป็นสำคัญ เพื่อให้ consumer ได้สิ่งที่เค้าต้องการจริงๆ เช่น ราคาที่ถูกกว่าแน่นอน การไม่มีสัญญาผูกมัด และการใช้บริการ LINE ฟรี แบบไม่เสียโควต้าเน็ต เช่น การเล่น LINE Messenger ทั้งแชท และการโทรผ่าน Voice Call หรือ Video Call รวมถึงการดู LINE TV ฟรี โดยไม่เสียโควต้าเน็ต

สำหรับวันนี้ มียอดผู้ใช้งานมากกว่าที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้เกินกว่า 100% ผู้บริโภคเข้าใจมากขึ้น ว่าคืออะไร เเละจะมาทำให้ชีวิตด้านการใช้บริการโทรศัพท์มือถือของพวกเขาดีขึ้นอย่างไง

ความท้าทาย

อย่างที่ทราบกันว่าตลาดนี้แข่งขันกันสูงมาก มีผู้ให้บริการรายใหญ่หลายรายที่อยู่ในตลาดมานาน การที่แบรนด์ใหม่อย่าง LINE MOBILE จะเข้ามาในตลาดนี้ และการที่ผู้บริโภคยังไม่เคยใช้โปรดักต์หรือบริการรูปแบบนี้มาก่อนจึงถือเป็นความท้าทาย แต่ด้วยความแตกต่างของ LINE MOBILE เองที่เรียกว่าเป็นซิมมือถือใหม่ ซึ่งให้บริการในรูปแบบดิจิทัล 100% เจ้าแรกในตลาด

การเข้ามาก็เรียกได้ว่า เข้ามา Disrupt การให้บริการแบบเดิมๆ ที่มีมาหลายสิบปี เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคตั้งแต่การสั่งซื้อซิม การบริหารจัดการเรื่องการใช้งานด้วยตัวเอง จนถึงการจ่ายเงินค่าโทรศัพท์

โดยทุกขั้นตอนทำได้บนออนไลน์ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาให้ผู้บริโภคคุ้นชิน ดังนั้น จะสื่อสารออกไปอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจและเชื่อมั่นในบริการของ LINE MOBILE  ยิ่งเฉพาะคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของดิจิทัลแต่ต้องการความทันสมัย ก็ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และทีม LINE MOBILE ก็กำลังสนุกกับการแก้โจทย์นี้

Techonology ช่วยให้ทำการตลาดง่ายขึ้นยังไงบ้าง

ย้อนกลับไปเมื่อ 10-15 ปีที่แล้วเทคโนโลยียังไม่ได้ก้าวไกลเหมือนตอนนี้ การทำความเข้าใจผู้บริโภค การทำการตลาด และการวัดผล ต้องอาศัยเวลา ต้องทำรีเสิร์ช ที่บางครั้งก็ไม่ทันสถานการณ์

แต่การที่ทุกวันนี้ มีเทคโนโลยีเพื่อทำ Digital Marketing มี Big Data ที่ช่วยให้วางแผนได้แม่นยำ ชัดเจน วัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญทำให้เข้าใจผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง รู้ว่าเค้ามองหาอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ซึ่งอดีตไม่สามารถเข้าใจได้ขนาดนี้

ตัวอย่างชัดๆ ในเรื่องนี้คือการทำ Performance Marketing ที่สมัยนี้สามารถเห็น Consumer Journey ได้เลยว่า ลูกค้าดูอะไร กดตรงไหน อ่านอะไร ผ่านสื่อไหน ก่อนจะตัดสินใจซื้อ

ซึ่งสามารถนำดาต้าเหล่านี้มา Crack เป็น Insight  วิเคราะห์เห็นภาพรวมเเละทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้สามารถปรับปรุงแก้ไขให้แคมเปญการตลาดดียิ่งขึ้นได้ง่ายดายกว่าสมัยก่อนมาก

CONCEPT ในการทำงานบริษัทออนไลน์

 

ในฐานะที่ทำงานอยู่ในวงการการตลาดมามากกว่า 16 ปี โดยเฉพาะกับ Tech Company อย่าง Tencent และ GRAB Concept ในการทำงานของวีที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ วีมองที่ Consumer หรือลูกค้าของเราเป็นหลัก

 

เพราะพวกเขาคือเป้าหมายหลักของความสำเร็จ และเป็นเสียงสะท้อนที่จริงใจที่สุดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทำว่าสามารถตอบโจทย์พวกเขาหรือไม่อย่างไร ทุกอย่างเราต้องสามารถปรับเปลี่ยนตามเทรนด์ผู้บริโภคและตาม เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา

การรับรางวัลใหญ่จากแวดวงการตลาด 3 รางวัล

 

วีมองว่า รางวัลต่างๆ ที่เราได้รับนั้นจริงแล้วเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเรา ที่เราตั้งใจจะนำเสนอบริการในรูปแบบใหม่ๆ ที่ฉีกกฏเดิมๆ ออกไป มอบสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า เรายังคงต้อง keep developing and improving เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า

 

โดยสิ่งที่โดดเด่นและเห็นชัดที่สุดคือความสำเร็จด้านการตลาดของ LINE MOBILE ซึ่งมีกิจกรรมและแคมเปญหลายอย่างที่ได้รับการยอมรับในวงการการตลาดและโฆษณา ซึ่ง concept ของทั้งแคมเปญหรือหนังโฆษณานั้น พัฒนามาจาก DNA มาจาก Brand Essence ของ LINE MOBILE อย่างแท้จริง

และรางวัลเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าไม่เฉพาะลูกค้าเท่านั้นที่ให้ feedback ที่ดีๆ กับแบรนด์ แต่รวมถึงหน่วยงานด้านการตลาดชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยตลาดในเอเชียมากว่า 20 ปี อย่าง Influential Brands ได้เห็นและให้การยอมรับในสิ่งที่ทีม LINE MOBILE ทุกคนตั้งใจทำ ซึ่งทำให้พวกเราภูมิใจมาก

 

รางวัล “Outstanding Brands 2018” จาก Influential Brands® ในงาน “2018 ASIA CEO SUMMIT & AWARD CEREMONY”

 

สำหรับรางวัลเเรก ซึ่งเป็นรางวัลในระดับ International รางวัลเเรกของ LINE MOBILE กับรางวัล  “Outstanding Brands 2018” จาก Influential Brands® ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ในเอเชียจากประเทศสิงคโปร์  ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านการศึกษาวิจัยตลาดในเอเชียมากว่า 20 ปี  

รางวัลในครั้งนี้ได้มาจากการที่วันนี้ LINE MOBILE กล้าที่จะลุกขึ้นมา disrupt วงการ Telco Business ของเมืองไทย เเละ disrupt ตัวเองในการทำการตลาด

“เรามองว่าคนไทยทุกวันนี้พร้อมเเล้วสำหรับรูปเเบบการให้บริการของ LINE MOBILE ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทุกวันนี้เข้ามาทำให้ชีวิตมนุษย์ง่ายขึ้น เเละส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค”

ไม่ว่าจะเป็น การซื้อขาย ใช้บริการ หรือการบริโภคสื่อต่างๆ  ที่ทุกวันนี้ คนเราต้องการอะไรที่มัน on demand ณ เวลานี้ ตอนนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม เเละตลอด 24 ชมด้วย จากตรงจุดนี้ทำให้การใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปในแนวทางของดิจิทัลเยอะขึ้นมาก ซึ่ง LINE MOBILE ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลอย่างเเท้จริง

นอกจากนี้ จากสถิติของประเทศไทยทุกวันนี้ ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ 1 คน ถือซิมมากกว่า 1 ซิม  ประกอบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ มียอดขายจากช่องทางออนไลน์แค่ 8% เท่านั้น มันคือ blue ocean ที่ LINE MOBILE จะเป็นเจ้าแรกที่กระโดดเข้ามา และครองตลาดนี้

รางวัล Bronze Awards ประเภทธุรกิจ บริการ (Service) ปี 2018 จากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT)

ต่อมาคือ รางวัล Bronze Awards ประเภทธุรกิจ บริการ (Service) ปี 2018  ชื่อผลงาน “แคมเปญ LINE MOBILE ซิมถูกสุด หยุดโลก” จากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT)

รางวัลนี้มาจากความสำเร็จของแคมเปญ “LINE MOBILE ซิมถูกสุด หยุดโลก” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของทีมงาน เพราะถือว่าเป็นแบรนด์หรือผู้เล่นรายใหม่ในตลาด

แต่สามารถสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจให้เกิดขึ้นในวงการการตลาดได้ในปีแรกที่เข้ามา จากสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจทำ โดยอาศัยความคิดนอกกรอบในการนำเสนอแคมเปญสู่กลุ่มเป้าหมาย

LINE  MOBILE เชื่อมั่นว่าเป็นแคมเปญที่ดีคือการผสมผสานการสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อโฆษณาในรูปแบบเดิมๆเข้ากับสื่อโฆษณาในรูปเเบบใหม่ๆ และมองว่าเเคมเปญนี้ จะเป็นไอเดียหนึ่งให้กับนักการตลาดยุคใหม่ในการที่กล้าจะฉีกกฏการทำโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ

 

เราอยากให้วงการโฆษณาเมืองไทยมีสีสัน ด้วยการที่แบรนด์ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

โจทย์ของ LINE MOBILE คือ ต้องการสร้าง Brand Awareness เเบบให้เกิด Impact มากที่สุด และอยากให้ทุกคนได้ลองใช้บริการซิม LINE MOBILE ในราคาถูกกว่าแน่นอน

“เราเลือกที่จะใช้สื่อ Online ควบคู่ไปกับการใช้  Digital Billboard กว่า 3,000 จอทั่วกรุงเทพฯ โดยการแอร์โฆษณา LINE MOBILE ไว้ถึง 5 นาที ไม่มีโฆษณาอื่นแทรกถึง 5 นาที”

อาจพูดได้ว่า LINE MOBILE เป็น ซิมที่เอาไว้ โทร เเชท เล่นเน็ตด้วยค่าบริการที่ถูกกว่าเเน่นอน  และมีโปรโมชั่นที่ถูกแบบไม่เคยมีมาก่อน ให้คนได้สแกนซื้อซิมและใช้ในราคา 5 บาท/เดือน เท่านั้น เพื่อเชิญชวนให้ผู้ที่พบเห็นได้ engage กับแคมเปญของ “LINE MOBILE”

ผลตอบรับเป็นอย่างไร

แคมเปญฯ นี้ ได้รับผลตอบรับดีเกินคาด และกลายเป็นหัวข้อข่าวการตลาดที่พูดถึงความสำเร็จของแคมเปญที่กล้าและท้าทายทฤษฏีการตลาดในปัจจุบัน ทั้งในช่องไทยรัฐทีวี หรือรายการข่าวเช้าช่อง One

นอกจากนี้ ในโลกโซเชียลก็มีกระแสของแคมเปญนี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง  มีการกล่าวถึงในโซเชียลมีเดียทั้งแชร์ ทวีต และติดแฮชแท็ก กระหน่ำโลกโซเชียล ถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้ด้วยยอดวิวสูงถึง 22 ล้านวิว

“คนส่วนใหญ่ถามเข้ามาว่าจะมีอีกไหม ส่วนใหญ่รีเควสขอ 0 บาทเลยได้ไหม แบบแอร์เอเชีย ก็ต้องรอดูกันไป แต่ปีนี้ขอมาที่ 5 บาทก่อนค่ะ”

เล่าเบื้องหลังตอนคิดแคมเปญ LINE MOBILE ซิมถูกสุด หยุดโลก นี้ให้ฟังหน่อยค่ะ

วีมองว่าไอเดียที่ดี มักเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ รอบๆ ตัวเรา ในหัวตอนนั้นคิดเพียงว่า เราจะทำยังไงให้คนพูดถึง LINE MOBILE เยอะๆ รู้ว่า LINE MOBILE คืออะไร เรามีดีอะไรบ้างเเละเราจะมาช่วยให้ชีวิตเค้าดีขึ้นได้ยังไง

ระหว่างที่คิดไปคิดมาอยู่นั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถติด เเละจอ Digital Billboard เยอะแยะกับโฆษณาหลากหลายวนไปมา จึงเกิดไอเดียขึ้นมาว่าเราน่าจะทำอะไรกับจอแบบนี้ได้บ้าง และถ้าเรา Freeze มันล่ะ ให้เป็นของเราคนเดียว ก็เลยเกิดเป็นไอเดียสำหรับเเคมเปญ ซิมถูกสุดหยุดโลกขึ้นมา

รางวัล YouTube Ad Leaderboard ประเภท Bumper Ads ประจำปี 2018

สำหรับรางวัลสุดท้าย เป็นรางวัลสำหรับ Online Ad อย่างที่ทราบกันดีกว่าโฆษณาออนไลน์ทุกวันนี้มีหลายรูปแบบมาก ซึ่งการใช้งานก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีวัตถุประสงค์อะไรที่อยากจะนำเสนออะไร

และเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา โฆษณา “LINE MOBILE รักได้…ง่ายๆ ค่าบริการถูกกว่าแน่นอน”  ของ LINE MOBILE ได้รับการประกาศจาก YouTube ว่าติด Top 5 บน YouTube Ads Leaderborad 2018 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการการวางแผนโฆษณาของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ปีแรกในฐานะแบรนด์น้องใหม่ ซึ่งนับเป็นรางวัลที่ 3 ของ LINE MOBILE ในปีนี้

อนาคตของไลน์โมบาย

หากย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ความตั้งใจแรกของ LINE MOBILE ก็คือ ต้องการ Delight Our Consumers เพราะฉะนั้น จึงยึดเรื่องของ Consumer centric เป็นแนวทางในการทำงาน ไม่ได้ทำธุรกิจโดยยึดตัวเองเป็นหลัก แต่เลือกที่จะยึด consumer เป็นหลัก

นั่นแปลว่า LINE MOBILE จะไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาทั้ง product และ service เพราะ consumer ทุกวันนี้ ไม่ได้หยุดนิ่ง โลกเปลี่ยนไป Consumer behavior ก็เปลี่ยนไปทุกวัน

ดังนั้นอนาคตของ LINE MOBILE คือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่พฤติกรรมเปลี่ยนไป Growth strategy ของ LINE MOBILE ยังเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง เพื่อเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม เพื่อแก้ Pain Point และทำให้ LINE MOBILE เป็นซิมมือถือในรูปแบบดิจิทัล ที่ผู้บริโภครักได้…ง่ายๆ

 

ความสนุกของการได้ลองทำธุรกิจใหม่ๆคืออะไร

ความสนุกของการได้ลองทำธุรกิจใหม่ๆ ก็คือ ความที่มันใหม่ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เเละไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ทำให้ได้ลองทุกอย่าง ถูกบ้างผิดบ้าง เรียนรู้กันไป ก็เลยเป็นความสนุก

กดดันไหม

อันนี้เเน่นอนค่ะ ความกดดันมาควบคู่กันอยู่เเล้ว ยิ่งมา disrupt วงการ Telco ด้วยสินค้าเเละบริการที่ตลาดไม่เคยมีมาก่อน ย่อมมีความกลัว มีความกดดันว่าสิ่งที่ทำมันจะดีไหม จะทำสำเร็จหรือเปล่า

เเต่ถ้าเทียบกันระหว่างความกดดันกับความสนุกเเละความท้าทายเเล้ว อย่างหลังชนะค่ะ เพราะเป็นอะไรที่สนุกมาก ท้าทายมากในการสร้างทุกอย่างจากศูนย์จนขึ้นมาจนเป็นรูปร่างแบบทุกวันนี้ได้ ก็นับเป็นอีกนึงความภูมิใจของชีวิตเลยค่ะ

ฝากถึงนักการตลาด

วีมองว่า DNA ที่นักการตลาดต้องมี เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จมีหลักๆ อยู่ 3 ข้อนะคะ ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ ก็เป็นสิ่งที่วีก็ใช้กับตัวเองด้วยเหมือนกัน นั่นคือ 

 

    Stay Hungry, Stay Foolish. : นักการตลาดยุคดิจิทัลต้องเป็นคนเปิดกว้างและเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ เนื่องจากโลกเราทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งเรื่องนี้รวมถึงเทรนด์ต่างๆ ในโลกด้วยเช่นกัน เราควรจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการออกไปเทรนนิ่ง การสัมมนา หรือเรียนรู้จากการทำงานจริง การที่เรารู้มากกว่า เราย่อมได้เปรียบเสมอ

   Never be satisffiied in what you do : อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต ไม่มีอะไรที่เพอร์เฟ็กต์ ทุกอย่างสามารถทำให้ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้เสมอ เมื่อไหร่ที่เราพอใจเเล้วเราจะหยุดคิด หยุดทำ หยุดทุกอย่างไว้ตรงจุดนั้น

    Can do attitude : สำคัญมาก หากเราคิดว่าทุกสิ่งยาก หรือไม่น่าจะทำได้กับสิ่งที่ไม่เคยลองทำมาก่อนก็จบ เพราะชุดความคิดของคุณผิดตั้งแต่แรก และหากเป็นเช่นนั้น วันนี้คงไม่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น รวมถึง LINE MOBILE ด้วย

 

ชมคลิปสัมภาษณ์

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post ::EXCLUSIVE INTERVIEW :: CMO หญิงของ LINE MOBILE กับกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่น การันตีด้วย 3 รางวัลทั้งไทยเเละเทศ appeared first on thumbsup.

ดาวรุ่ง-ดาวร่วง!! สรุปธุรกิจบันเทิงไทยปี 2018 หนัง เพลง ทีวี และสิ่งพิมพ์ ใครรอด?

$
0
0

คุณสายทิพย์ มนตรีกุล  ณ อยุธยา ได้พูดถึงวงการบันเทิงไทยกับ thumbsup เอาไว้ว่าเป็นวงการที่มีเอกลักษณ์และ “มีความทำอะไรคือไทยแท้ ” อยู่ ซึ่งในปี 2018 ที่ผ่านมาก็มีความเคลื่อนไหวอันน่าสนใจมากมายในวงการหนัง ละครไทย เพลง วิทยุ รวมไปถึงสิ่งพิมพ์   เราจึงลองสรุปภาพรวมพร้อมทั้งเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เอาไว้ในบทความนี้ให้ลองอ่านกันค่ะ

แน่นอนว่าวงการบันเทิงคืออีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่มหาศาล  โดยในแต่ละสื่อต่างก็แย่งชิงรายได้ด้วยกลยุทธ์หลากหลาย  โดยมีปรากฎการณ์เด่นๆ ที่น่าจับตามองอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว

3 ปรากฎการณ์เด่นวงการบันเทิงไทย

“บุพเพสันนิวาส” กวาดรายได้ทะลุเป้า

ละครไทยแนวย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์สมัยยุคสมัยพระนารายณ์  ซึ่งสร้างคำพูดติดปากอย่าง “ออเจ้า” ไปทั่วทั้งเมือง  และทำให้ชุดไทยขายดิบขายดีในช่วงที่กระแสของละครกำลังมา

ความสนุกและความน่ารักของพระนางทำให้มีเรตติ้งขึ้นแท่นมาเป็นอันดับ 1 ของละครไทย   โดยมีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 8.0

และอีกหนึ่งเหตุผลที่เรายกให้ละครไทยเรื่องนี้เป็นหนึ่งปรากฎการณ์บันเทิงที่สำคัญ  นั่นเพราะทำรายได้รวมไปประมาณ 500 ล้านบาท  โดยมาจากทั้งค่าโฆษณาและหลายๆ ส่วนรวมกัน

รายได้จากค่าโฆษณา

มีค่าโฆษณาสูงถึง 270 ล้านบาท  โดยมาจากค่าโฆษณาช่วงไพรม์ไทม์ของช่อง 3 ที่ประมาณไว้ 480,000บาท/นาที มีการออกอากาศทั้งหมด 18ตอน (รวมตอนพิเศษ) และโฆษณาเฉลี่ยตอนละ 31.25 นาที

รายได้อื่นๆ

  • LINE Sticker
  • สินค้า Limited จากละคร
  • งานอีเวนต์

ดารานําคว้าพรีเซ็นเตอร์

ทางด้านดารานำอย่าง เบลล ราณี ก็มีงานโฆษณามากมายหลายตัวที่เข้าต่อจากกระแสละครจบไม่ว่าจะเป็น AIS, SCB, เมืองไทยประกันชีวิต, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), 7-Eleven เป็นต้น ส่วนโป๊ป ธนวรรธน์  ก็ไม่น้อยหน้าเพราะมีงานโฆษณาจากกลุ่ม TRUE, เครื่องสำอางค์ BSC, Betagro, Air Asia, Cathy Doll, 7-Eleven และอีกมากมาย

BNK48 ทำรายได้แบบไม่ต้องเสี่ยงทาย

วงไอดอลน้องสาวของ AKB48 จากประเทศญี่ปุ่น  ที่มีความน่ารักสดใสของสมาชิกแต่ละคนเป็นจุดเด่น  จนสามารถคว้าหัวใจของเหล่า “โอตะ” หรือแฟนคลับ  ไปพร้อมทั้งรายได้ไปไม่น้อย  โดยจิรัฐ บวรวัฒนะ ประธานบริษัท BNK48 Office เคยให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทลงทุนเป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท ภายในปี 2560 และ 2561 และตั้งเป้าว่าจะต้องคืนทุนได้ในภายปี 2562

สำหรับโครงของบริษัทนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน  และมีผู้ถือหุ้นแตกต่างกัน  โดยประเมินกันว่าปัจจุบันวงมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 520.7 ล้านบาท

BNK48 Office

  • Rose Media Entertainment 55%,
  • Plan B Media 35%
  • AKS 10%

(ผลิตสินค้า ดูแล และจัดการวง)

BNK Production

  • Workpoint 50%
  • BNK48 Office 49.99
  • จิรัฐ บวรวัฒนะ 0.01%

(ผลิตรายการโทรทัศน์ รายการออนไลน์ ธุรกิจจัดอีเวนท์ และคอนเสิร์ต)

รายได้หลักมาจาก

  • ขาย Sponsorship ให้แบรนด์สินค้า
  • ขายสินค้า Official
  • ขายบัตรคอนเสิร์ต
  • เงินทุนจากบริษัทคูลเจแปน (สนับสนุนเงินทุนให้ AKB48 ด้วย)

ด้วยความสำเร็จอย่างงดงามของ BNK48 จึงไม่แปลกที่มีงานพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆ เข้ามามากมาย เช่น TruePoint, Fujifilm, A.P. Honda Racing, Jele Beautie, Yayoi, Lactasoy ฯลฯ

นาคี 2 ต่อยอดความสำเร็จจากละคร

ภาพยนต์ไทยที่ต่อยอดจากความสำเร็จของละครเรื่อง นาคี  ที่เคยออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อ พ.ศ. 2559 โดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ผู้กำกับของละครเรื่องนี้เล็งเห็นว่าสามารถเติบโตไปได้มากกว่านี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจนำโครงเรื่องมาเรียบเรียงบทใหม่ทั้งหมด และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เพื่อออกฉายใน พ.ศ. 2561

รายได้เปิดตัวสูงเป็นอันดับ 1

  • วันแรกกวาดรายได้ไป 17.77 ล้านบาท (ทำสถิติเป็นภาพยนต์รายได้เปิดตัวสูงที่สุดอันดับ 1 ในปี พ.ศ. 2561)
  • รายได้รวม 5 วันแรก 73.54 ล้านบาท
  • รายได้สัปดาห์แรก 120.06 ล้านบาท
  • รวมรายได้ทั่วประเทศอยู่ที่ 441.2 ล้านบาท

“สื่อทีวี” และ “ดิจิตอลทีวี” ทำยังไงก็ไปไม่ถึงดวงดาว

หากติดตามวงการบันเทิงไทยมาอย่างต่อเนื่อง  จะพบว่ามีความพยายามเปลี่ยนจาก “ยุคอนาล็อกทีวี” แบบดั้งเดิมไปเป็น “ดิจิทัลทีวี”  แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าที่วางไว้จากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน  จนทำให้หลายเจ้าที่เข้าประมูลดิจิตอลทีวีต่างต้องกลับมารักษาแผล  ด้วยการปรับตัวลดค่าโฆษณาลง  หรือรายการทีวีบางเจ้าที่ไปไม่ไหวก็ต้องมีหลุดผัง หรือย้ายช่องไปเลย

รายการทีวีที่หลุดผังในปี2018

  • ร้องแลกไข่
  • เกมพันหน้า
  • จันทร์พันดาว
  • ที่นี่หมอชิต
  • ฮัลโหลซุปตาร์
  • ดันดารา
  • ดาวกระจาย
  • Money Channel (หยุดออกอากาศในปี 2562)

รายการทีวีย้ายช่องในปี2018

  • The Face Thailand
  • The Voice Thailand
  • Thailand’s Got Talent 2018
  • ถ่ายทอดสดการประกวด Miss Universe
  • กิ๊ก ดู๋ สงครามเงาเสียง

โดยรายการข้างต้นย้ายไปลงที่ช่อง PPTV

วิกฤติของสื่อทีวีไทย

 

“สื่อสิ่งพิมพ์​” ที่ในตอนนี้มีแต่ทรงกับทรุด

นอกจากนั้น สื่อสิ่งพิมพ์” ก็ต่างปิดตัวกันไปหลายเจ้า  เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนของสิ่งพิมพ์ที่สูงขึ้นได้  จนมีนิตยสารชื่อดังหลายหัวที่หายไปจากแผงหนังสือไปอย่างน่าเสียดายไม่ว่าจะเป็น Starpics, Student Weekly, Secret, Maxim, Attitude

วิกฤติของสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่อยู่คู่คนไทยมานานอย่าง “ไทยรัฐ” ก็ถึงคราวต้องปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่  เพราะมีการออก “โครงการลาออกด้วยความสมัครใจ โดยได้รับความช่วยเหลือ” เพราะไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงไหว

“สื่อออนไลน์” บูมแทนที่ “สื่อเดิม”

ปี 2018 ยังเป็นปีที่ “สื่อออนไลน์” ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาแทนที่สื่อดั้งเดิม  เพราะมีจุดเด่นเรื่องต้นทุนและการเสนอคอนเทนต์ด้วยความรวดเร็ว  และเข้ากับไลฟ์สไตล์ในการใช้สมาร์ทโฟนของคนไทย  และสามารถทำเงินได้จากค่าโฆษณาที่หลายๆ แบรนด์ที่เปลี่ยนมาลงในสื่อออนไลน์แทน เช่น MangoZero, The Cloud, The Standard, The Matter ฯลฯ

“สื่อวิทยุ” ปรับตัวใหม่ให้สดใสรับไลฟ์สไตล์ผู้ฟัง

  •  Atime คลื่นวิทยุในเครือของแกรมมี่มีการปรับแบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้น  และมีรูปแบบรายการคล้ายรายการทอล์กโชว์  ดึงดูดกลุ่มคนฟังที่เป็นคนรุ่นใหม่
  • BEC Tero Radio มีการแยกทางกับ “Virgin Group” แบรนด์วิทยุจากอังกฤษ  โดยเปลี่ยนจาก Virgin Hitz เป็นHITZ 955 และ Virgin Star FM ไปเป็น STAR FM

ส่อง “สื่อเดิม” ที่ปรับตัวรับมือกับโลกปัจจุบันได้ดี

  • Banlue Group ปรับตัวเองจากหนังสือการ์ตูนไทยเล่มบางที่เราคุ้นเคยกันดี  ไปสู่สื่อออนไลน์เป็นเจ้าแรกๆ แบบไม่รอให้ถึงความวิกฤติแล้วค่อยปรับตัว  ทำให้ในปัจจุบันบันลือกรุ๊ปมีสื่อมากมายทั้ง The MATTER, Bunbooks, Salmon House, M.O.M ฯลฯ
  • Mono Group เป็นสื่อที่ฝ่ากระแสและนำตัวเองไปนั่งในใจของคนดูได้ โดยช่อง Mono 29 มีการวางแผนคอนเทนต์อย่างดีด้วยการนำภาพยนต์ขวัญใจอย่าง Harry Potter มาฉายแบบติดกันรวดในช่วงที่ Fantastic Beats กำลังจะเข้าฉาย  และการเสนอข่าว “ถ้ำหลวง” แบบรวดเร็ว ฉับไว ถึงที่ของ MThai
  • RS จากธุรกิจเพลงกลายมาเจ้าของช่อง 8 แต่วันนี้ได้ยื่นเรื่องต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อย้ายหมวดบริษัทจาก “กลุ่มสื่อ” ไปเป็น “กลุ่มพาณิชย์” โดยเปลี่ยนมใาขายสินค้าในธุรกิจ “สุขภาพและความงาม” ผ่านแบรนด์ “ไลฟ์ สตาร์” ผ่านทางรายการต่างๆ ที่ตัวเองมีในมือ
  • Workpoint เน้นการทำข่าวสั้นสรุปข่าวแบบเข้าใจง่าย และดึงความน่าสนใจด้วยภาพ ข้อความสั้นๆ ทำให้ Workpoint News มียอดไลค์เพจกว่า 2 ล้าน นอกจากนั้นยังได้สิทธิ์ผลิตรายการให้ Facebook และ Confetti Thailand ด้วย

มองรายได้อนาคตสื่อไทย

PwC คาดว่ามูลค่าการใช้จ่ายผ่านอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงของไทยปี 2565 อาจไปถึง 4.8 แสนล้านบาท  โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2561-2565) อยู่ที่ 6.5%

ซึ่งโฆษณาออนไลน์จะเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุด รวมไปถึงสื่อใหม่ๆ อย่าง Game-eSport, VDO on Demand ที่จะกลายมาเป็นแหล่งรายได้หลักอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงไทยในอนาคต และสวนทางกับสื่อดั้งเดิมกำลังเผชิญกับแนวโน้มรายได้ที่ถดถอยลงไป

นอกจากนั้น thumbsup ยังได้สอบถามมุมมองจากสื่อบันเทิงออนไลน์  ที่มีการติดตามข่าวสารในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องด้วย

คิดว่าภาพรวมบันเทิงไทยปี 2018 จะเป็นอย่างไร?

เพจ “ดาราปัง หนังเปรี้ยง” :
ภาพรวมธุรกิจสื่อในไทยของปี 2018 เกิดการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มมาอยู่บนออนไลน์ทั้งหมด ทุกที่มีช่องทางออนไลน์เป็นของตัวเองเกือบทั้งหมด หรือมีสื่อโซเชียลของตัวเอง เพื่อนำเสนอคอนเท้นต์ของตัวเอง ถ้าชัดเจนสุดคือสื่อโทรทัศน์ หนัง ละคร ที่แต่ละช่องเริ่มมีเว็บ Streaming เป็นของตัวเอง ทั้งย้อนหลังและ Original Content ลงเว็บตัวเอง

รวมถึงการไปร่วมกับ Streaming เจ้าใหญ่ๆ อาทิ LineTV, Vui หรือ Netflix, ส่วนเพลงก็มีความทำน้อยได้มาก และอิสระมากขึ้น จนเพลงไทยเริ่มไปไกลถึงต่างประเทศก็เพราะออนไลน์ แทบไม่เห็นใครทำอัลบั้มแล้ว ทำเป็น Single แล้วปล่อยออนไลน์เกือบทั้งหมด และเห็นการทำเพลงกันเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

การเคลื่อนไหวทางโลกออนไลน์เลย ทั้งข่าวกระแสต่างๆ ไปไวมาก ข่าวดารามาแรงมากๆตั้งแต่ต้นปี ยันท้ายปี มี hashtag เกิดใหม่เพียบ และข่าวบันเทิงสมัยนี้ไม่ได้มาจากแหล่งข่าวหรือปาปารัสซี่อีกต่อไปแล้ว แต่นักข่าวบันเทิง จับเหตุการณ์บนโซเชี่ยลแอคเค้าท์ของดารา เพื่อนำมาเขียนข่าวแทน เช่นงานแต่ง ข่าวคบ ข่าวเลิก เกาเหลากัน คลิปสัมภาษณ์ คลิปหลุด รูปหลุด ล้วนเกิดบนโลกออนไลน์หมดเลย ซึ่งมีทั้งข่าวจริง และปั่นเอากระแส

สิ่งที่น่าตื่นเต้นของวงการบันเทิงไทยปี 2018  คือการที่ดาราย้ายค่าย ย้ายช่อง รวมถึงนักแสดงอิสระมากขึ้น และดาราเริ่มผลิตและสร้างสรรค์รายการของตัวเองในสื่อออนไลน์ เพื่อเป็นช่องทางโปรโมทตัวเองและขายโฆษณา ดารา นักแสดงในไทยเริ่มยึดติดกับช่องน้อยลงแล้ว ในขณะที่สื่อทีวีก็ถดถอยแล้วหันมาจับออนไลน์กันหมด อาทิ ช่อง 3 มี Mello, ช่อง 7 มี bugaboo, ช่อง Workpoint และ One มี Youtube หลายล้านซับ, Mono29 มี Monomax, ช่อง GMMTV มีป้อนคอนเท้นต์ลง LineTV และ Netflix

และด้วยความที่ออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่คนดูเลือกดูมากที่สุด คุณภาพของละคร/ซีรี่ส์ เลยดีขึ้นมากๆ ไม่มีอีกแล้วเสือกระดาษ มีแต่เสือสมจริง นาคีตัวใหญ่ยักษ์จนกลายเป็นหนังฟอร์มใหญ่ในโรงได้ไม่มีพลอตไม่จำเจอีกต่อไป  ไม่มีอีกแล้วดาราวัยรุ่นเล่นเป็นพ่อแม่ จนเกิดการคัมแบ็คของดารารุ่นใหญ่ๆมากขึ้น เพื่อความสมบทบาทมากกว่าที่ละครเคยเป็นมา

เราจะได้เห็นอะไรในปี 2019 ของอุตสาหกรรมบันเทิงไทย

เพจ “ทีวีไทยเล่นใหญ่ไปไหน” :
ภาพรวมสื่อปีหน้า คิดว่าจะมาทางการโปรโมทผ่านสื่อโซเชียล สื่อออนไลน์ สำนักข่าวต่างๆ มากขึ้น  ส่วนข้อมูลจะเป็นแบบกระแสมาเร็วไปไว  แต่คิดว่าจะมีคอนเทนต์ที่จริงจังมากกว่าปีที่ผ่านมานะ เพราะว่าคนเริ่มมองหาเนื้อแท้ที่มันชัดเจนกว่ากระแสในช่วงแรกที่เราเห่อโซเชียลกันแล้วอ่ะ  ถึงเวลาสื่อออนไลน์ต้องจับคอร์ที่แท้ทรูแล้ว

ด้านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปี ก็น่าจะกระแส บุพเพสันนิวาสที่บูมมากๆ และนั่นก็ยิ่งตอกย้ำว่าคอนเทนต์ที่มีคุณค่าคือของที่แท้จริง จึงทำให้สามารถสร้างกระแสได้ขนาดนั้น  แต่สุดท้ายธรรมชาติของวงการบันเทิงไทยนั้น แสดงให้เห็นว่าคนไทยมักจะอินกับข่าว รักๆเลิกๆ แย่งแฟนชาวบ้านกันอยู่ดี แต่ที่เห็นแตกต่างคือเราจะได้พบกับคนที่ออกมาพูดถึง “จรรยาบรรณสื่อ” กันมากขึ้น  เพราะเราไม่ได้ถูกชักจูงด้วยสื่อเพียงสื่อเดียวแล้ว แต่เลือกเสพนั้นยังเป็นปัจเจกบุคคลได้มากขึ้น

ด้านการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงปีนี้จนถึงปีหน้า  ก็จะเป็นการขยับขยายปรับคอนเทนต์ต่างๆ ของพวกช่องหลัก  เพราะหัวเรือใหญ่ดูท่าว่าจะเบนเข็มออกไปจากช่อง 3 ช่อง 7

ส่วนกลยุทธ์ของ PPTV ก็น่าจับตามาก  เพราะถึงเวลาที่ผู้ผลิตรายการ กับทางช่องต้องช่วยกันหาโฆษณาเข้าช่องแล้ว ซึ่งการช่วยกันแบ่งรายได้จากโฆษณา ลดต้นทุนการเช่าพื้น ทำให้ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันต่อไปอย่างมีความสุขได้  ในปีหน้าก็ลุ้นว่า PPTV จะขึ้นมาเป็นแกนนำหลักในวงการได้แล้ว ประกอบกับการได้ผู้บริหารอย่าง ได้ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ มาคุมทีมบริหารใหม่

“ทางรอด” ของสื่อไทยในวันที่ถูกเทคโนโลยี Disrupt

พี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ผู้บริหารบริษัท Change2561  ได้พูดถึงเรื่องการถูก Disrupt ของคนทำสื่อในยุคปัจจุบันว่าวันนี้อาจจมีแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย  แต่ก็ยังมองภาพว่า “แพลตฟอร์มคือแพลต์ฟอร์ม” และ “คอนเทนต์คือคอนเทนต์” ดังนั้นในมุมคนทำคอนเทนต์ไม่ว่าจะดูจากแพลต์ฟอร์มไหนใดๆ ก็ตาม  นั้นควรแค่ทำคอนเทนต์ให้ดีและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชม  สิ่งเหล่านี้จะทำให้มีโอกาสที่กำลังจะเติบโตอยู่

ในมุมมองของเราก็เห็นด้วยกับพี่ฉอด-สายทิพย์ ในด้านการทำคอนเทนต์ออกมาให้ดีที่สุด  เพราะ “เนื้อหา” คือหัวใจสำคัญของการทำสื่อ  และคงต้องจับตามองต่อไปในปี 2562 ที่น่าจะมีเรื่องของการทำคอนเทนต์ออกมาแข่งขันกันในสมรภูมิออนไลน์อันดุเดือด  ซึ่งไม่แน่ว่าสื่อที่เราเสพอยู่ทุกวันนี้อาจจะหายไปในปีหน้าที่จะถึงนี้ก็ได้

ข้อมูลจาก :

Wikipedia
Wikipedia01
Thumbsup
Rainmaker
PwC

 
Source: thumbsup

The post ดาวรุ่ง-ดาวร่วง!! สรุปธุรกิจบันเทิงไทยปี 2018 หนัง เพลง ทีวี และสิ่งพิมพ์ ใครรอด? appeared first on thumbsup.

สรุปธุรกิจธนาคารปี 2018 ปรับตัวตามกระแสได้ดี แม้รายได้จะหดแต่ก็ไม่ยอมโดนเทคโนโลยีทำลาย

$
0
0

เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2019 แล้ว ในปี 2018 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ากลุ่มธุรกิจธนาคารเรียกว่าเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ทั้งการยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอน ที่เคยเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงหลัก การลงทุนด้านเทคโนโลยีกันมหาศาลเพื่อปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลและสู้กับกลุ่มฟินเทคที่เดินหน้าทำตลาดอย่างรุนแรง ไปจนถึงการถูกแฮคระบบที่เป็นข่าวใหญ่โตให้ได้เห็นกัน

ทาง Thumbsup จึงได้สรุปภาพรวมธุรกิจธนาคาร พร้อมการวิเคราะห์อย่างมีชั้นเชิงกับ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตร Master in Branding and Marketing ภาษาอังกฤษ และอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทั้งยังเป็นปรึกษาด้านแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และผู้แต่งหนังสือ “อัจฉริยะการตลาด” ที่สร้างปรากฏการณ์หนังสือขายดีอันดับหนึ่งนานกว่า 161 สัปดาห์ทั่วประเทศ

วิเคราะห์ภาพรวมธุรกิจการเงินปีที่ผ่านมา

ปี 2018 เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะการเข้ามา Disrupt ของกลุ่มฟินเทค ที่ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมการเงินต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพฤติกรรมของคนที่เข้าสู่การใช้โมบายแอพพลิเคชั่นในการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ผู้ให้บริการต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ให้ทันกับเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

จากการวิเคราะห์ภาพรวมธุรกิจธนาคาร หลายฝ่ายคาดว่า มีการขยายตัวในอัตราที่ลดลง สะท้อนจากกำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 พบว่า ลดลง -3.4% หรือ 5,119 ล้านบาท

ทั้งนี้ มาจากการที่ธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการกันสำรองเพิ่มขึ้นจากคุณภาพสินเชื่อที่ลดลง รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนระบบการชำระเงินแบบอิเลคทรอนิคส์ หรือ National e-payment ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารลดลง ประกอบกับผู้ใช้บริการทางการเงินหันมาทำธุรกรรมด้วยตนเองผ่านทางออนไลน์มากขึ้น

แน่นอนว่า ดอกเบี้ยเงินฝากก็ยังอยู่ในระดับต่ำ การปล่อยสินเชื่อยังต่ำกว่าเป้าหมาย เมื่อการแข่งขันไม่รุนแรงยิ่งทำให้ธนาคารไม่ออกโปรดักส์ที่ดึงดูดใจทำให้เป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิมเป็นหลัก

ก็ได้แต่หวังว่าในปี 2561 จะมีผลดีจากการขยายการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ที่จะส่งผลให้เอกชนเกิดความเชื่อมั่นและขยับการลงทุนให้มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

ผลประกอบการของแต่ละราย

Thumbsup ได้ทำภาพสรุปผลประกอบการของ 5 ธนาคารใหญ่เพื่อเปรียบเทียบให้ได้รับชมกันค่ะ

ผลประกอบการ ธนาคารกรุงเทพ ปี 2561

 

ผลประกอบการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ปี 2561

 

ผลประกอบการ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปี 2561

 

ผลประกอบการ ธนาคารกรุงไทย ปี 2561

 

ผลประกอบการ ธนาคารกสิกรไทย ปี 2561

การแข่งขันของ 5 ค่าย

ทางด้านภาพลักษณ์ของ 5 ธนาคารใหญ่ของไทยนั้น เริ่มมีการสื่อสารที่ชัดเจนขึ้น โดยในอดีตแต่ละรายจะเน้นแข่งกันในเรื่องแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินหนักมาก ซึ่งการปรับเปลี่ยนในปี 2018 นี้ เรียกได้ว่าเป็นไปตามกระแสปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ รวมทั้งกลุ่ม GEN X และ Baby Boomer ที่ปรับใช้งานเครื่องมือดิจิทัลกันมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาพลักษณ์ของธนาคารที่สื่อออกมาจะเน้นจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น

BAY จะเน้นเรื่องความง่ายในการเข้าถึงบริการผ่านแอพ โดยใช้แมสเสจที่ชื่อว่า กรุงศรีอยู่นี่นะ ให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณสามารถเข้าใกล้ธนาคารเพียงปลายนิ้ว

KBANK ถือว่าเป็นปีแห่งการลงทุนเทคโนโลยีหนักมาก รวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับแอพพลิเคชั่นที่มีการใช้จ่ายอย่าง GRAB, LINE, FACEBOOK ที่ไม่ได้ตอบโจทย์แค่ผู้ซื้อเท่านั้น ในมุมของผู้ขายออนไลน์ก็เอื้อประโยชน์ได้มากขึ้น เพียงแค่มีบัญชีกับ KBANK ไว้ผูกกับหน้าร้านก็สามารถทำการซื้อขายได้สะดวกสบาย

SCB ที่ใครนึกถึงภาพของธนาคารสีม่วงต้องนึกถึง แม่มณี ที่เรียกได้ว่าภาพของนางกวักแบบดิจิทัลนี้ ตอบโจทย์แม่ค้าออฟไลน์ได้ดีมาก รวมทั้งการเดินหน้ากลยุทธ์ออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้ภาพของไทยพาณิชย์เป็นเรื่องง่ายและใกล้ชิดกับผู้ใช้งาน

BBL แม้ว่าในปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพจะไม่ได้มีกระแสเคลื่อนไหวตามเทคโนโลยีแบบค่ายอื่น แต่ก็ยังจัดการในมุมธุรกิจ B2B ได้ดี

KTB แม้ในอดีตกรุงไทยจะเริ่มต้นด้วย Netbank แต่การปรับโฉมแอพพลิเคชั่นแบบ 360 องศา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนรุ่นใหม่ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งลูกค้าเก่าแก่ เพียงแค่ไม่อยากตกขบวนในการใช้จ่าย และเลือกที่จะสื่อสารกับลูกค้า ด้วยการเน้นธีมใช้เงินอย่างมีสติ เพื่อจะได้ไม่หมดเงินไปกับไลฟ์สไตล์ที่สุ่มเสี่ยง

ความปลอดภัยยังดีอยู่ไหม

แน่นอนว่าการลงทุนหนักเรื่องเทคโนโลยี ย่อมมาพร้อมกับปัญหาเรื่องความปลอดภัย แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีข่าวการแฮคระบบธนาคารใหญ่โต นั่นยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกธนาคารตระหนักถึงเช่นกัน ทั้งในแง่ของการหาเครื่องมือและความปลอดภัยที่มากกว่าแค่รหัสพาสเวิร์ด แต่ก้าวไปถึงลายนิ้วมือ สแกนม่านตา หรือกำลังจะไปสู่แหวน ที่ช่วยให้คนใช้จ่ายสะดวกขึ้น

นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายตามไลฟ์สไตล์ ก็ย่อมเกิดการนำ Big Data มาใช้งานมากขึ้น จากเดิมคนอาจจะคิดว่าเป็นการเอาข้อมูลเดิมที่ธนาคารมีอยู่ มาใช้พัฒนาบริการ แต่อาจจะเกิดคำถามว่า “คุณมีข้อมูลมากพอมาใช้งานหรือยัง”

เพราะในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลเดิมที่ธนาคารมี อาจจะไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งหมด แต่ต้องนำมาประกอบกับพฤติกรรมกับความต้องการในยุคปัจจุบันด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น ก็เท่ากับว่าคุณนำของเก่ามาให้คนยุคใหม่ใช้ ซึ่งอาจไม่ตรงกับทั้งหมดที่เขาต้องการและกลายเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า

แล้วถ้าอย่างนั้น ควรลงทุน Big Data ต่อหรือไม่ แน่นอนว่าการนำข้อมูลเดิมมาใช้นั้นยังคงเป็นประโยชน์เพราะจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตอย่าง AI หรือ AR มาใช้ด้านงานบริการให้ลูกค้าได้ดีกว่าเดิม เพียงแต่ต้องรู้จักใช้ให้ควบคู่กัน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เล่าว่า พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยแปลงไปมาก คนเคยอาจคิดว่าภาพการลงทุนของกรุงไทยคงจะเน้นไปที่การให้บริการแก่ภาครัฐ แต่ความเป็นบริการให้ภาครัฐไม่ได้หมายความว่าจะแก่และเชย

นอกจากนี้ ธนาคารยังลงทุนต่อเนื่องในปี 2562 ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท ในการนำเรื่องของ AI และ แมทชีนเลิร์นนิ่งมาตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้มีมิติของ Human ครบรอบด้าน เพราะ AI เพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่ทุกอย่างของการลงทุน

อย่างไรก็ตาม กรุงไทยยังโฟกัสที่ 5 ระบบนิเวศน์ คือ ความต้องการใช้งาน Funding ต้องเป็นไปแบบ realtime ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ personal life ได้อย่างผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ การลงทุนด้าน Workforce และ Network ก็ยังอยู่ในแผน

เพื่อให้ธนาคารสามารถเดินหน้าแบบ S Curve Driver ได้อย่างมั่นคงในอีก 10 ปีข้างหน้า แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ทั้งหมดที่ลงทุนคือตอบโจทย์ปัจจุบันและอนาคตควบคู่กัน

ทั้งนี้ นายผยง ยังกล่าวอีกว่า ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง Disrupt ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าย่อมเปลี่ยนอีก หากไม่เริ่มลงทุนตามเทรนด์ตั้งแต่ตอนนี้อาจลำบากในการเปลี่ยนยุทธศาสตร์อีก ดังนั้น ธุรกิจควรมองเรื่องการ Disrupt ให้เป็นโอกาสไม่ใช่เข้ามาแทนที่

Cashless Society มีโอกาสเกิดไหม

เรื่องของกระแส Cashless Society มาจนถึงวันนี้ ก็ยังนับว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน การพกเงินสดยังคงมีความเสี่ยงสูงและเป็นต้นทุนที่หลายฝ่ายต้องแบกรับ ไม่ว่าจะเป็น ค่าพิมพ์ ค่าขนส่ง หรือเชื้อโรคสะสม เป็นต้น แต่ก็มีหลายเหตุผลที่ทำให้กระแสสังคมไร้เงินสดเกิดได้ช้า

แม้ว่าจะมีการใช้จ่ายผ่าน QR Code หรือ Mobile Banking ก็ตาม แต่หลายประเทศก็ไม่ใช่จะสำเร็จได้ในปีแรกที่โปรโมท เพียงแต่ในหลายประเทศจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะการเอื้อประโยชน์ของหลายส่วนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็น ความพร้อมของเครือข่าย พฤติกรรมของผู้ใช้งาน นโยบายภาครัฐหรือโปรโมชั่นกระตุ้นการใช้งาน เป็นต้น

แต่เหตุผลที่ในไทยยังชะลอตัว อาจเพราะความลังเลของผู้ใช้งาน ทั้งการประกาศเรื่องภาษีแม่ค้าออนไลน์รายย่อย ความกังวลเรื่องการขโมยข้อมูล ไปจนถึงการไม่เปิดรับเทคโนโลยี ต่างก็เป็นปัจจัยรอบด้านที่ส่งผลถึงการปรับตัวตามกระแสทั้งสิ้น แม้หลายธนาคารจะมีแคมเปญกระตุ้นให้การใช้จ่ายผ่านมือถือเป็นเรื่องง่ายก็ตาม

นอกจากนี้ เรื่องภาษีที่ภาครัฐต้องการกับประชาชนระดับกลางถึงล่าง ยังคงเป็นเหมือนเส้นขนานกัน อาจเพราะความพยายามเก็บภาษีของภาครัฐไม่ได้ชัดเจนและเอื้อประโยชน์ให้แก่คนกลุ่มนี้เท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศหลายอย่าง ที่ทำให้ถูกมองว่า “เอาเปรียบคนจน ช่วยเหลือคนรวย”

แต่ในความเป็นจริง ความพยายามดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศย่อมเป็นสิ่งที่ภาครัฐไม่ปฏิเสธเพราะจะเกิดโอกาสในหลายๆ อย่าง เช่น การจ้างงาน การเปิดรับความรู้หรือนวัตกรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจว่าภาครัฐก็ไม่ได้เข้ามาเรียนรู้พฤติกรรม การใช้จ่าย หรือความเป็นคนดิจิทัลของประชาชนได้ดีเท่าไรนัก

จึงทำให้ยังคงเกิดปัญหาต่อเนื่องและนโยบายต่างๆ ก็เดินได้ไม่สุด หากมีการร้องเรียน หรือ ต่อต้านบนโลกออนไลน์ ซึ่ง Crisis เหล่านี้ ธุรกิจธนาคารเองก็มองเห็น คนที่เสพข่าวหรือคนในแวดวงจะสัมผัสได้ว่า ผู้บริหารกลุ่มธนาคารพาณิชย์เองก็ไม่ได้เปิดรับหรือผลักภาระทั้งหมดให้ลูกค้าของเขา

เพราะไม่ต้องการให้เกิด Brand Crisis บนโลกออนไลน์ เพราะข้อมูลจริงเท็จหลายอย่างส่งต่อในโลกออนไลน์รวดเร็ว ยิ่งเป็นเรื่องเชิงลบยิ่งเป็นผลกระทบหนักที่เจ้าของธุรกิจธนาคารไม่อยากให้เกิด

ดังนั้น ผู้บริหารธนาคารเอง จึงต้องเป็นตัวกลางแบกรับต้นทุนบางอย่างไว้ และประเมินสถานการณ์ความพร้อมของลูกค้าก่อน ยกตัวอย่างเช่น Promtpay ที่ช่วงแรก ภาครัฐเปิดให้บริการข้ามค่ายและใช้จ่ายได้สะดวก แต่การถูกโจมตีทั้งความปลอดภัย การแอบเก็บข้อมูลการใช้จ่าย หรือเรื่องของภาษี ทำให้ประชาชนไม่อยากใช้งาน

เมื่อธนาคารพัฒนาแอพ โปรโมทอย่างมหาศาลทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้เกิดการใช้งานมากขึ้น ทำให้ประชาชนก็เปิดรับการใช้จ่ายผ่านพร้อมเพย์มากขึ้น แต่หลังการประกาศเรื่องภาษีสำหรับแม่ค้าออนไลน์อีกจะส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจหรือไม่ก็ต้องรอดูในปีหน้า

เพราะอย่างที่รู้ว่าแม่ค้าที่ขายของออฟไลน์หากเลือกได้ก็ยังเลือกรับเงินสดมากกว่าเพราะไม่อยากให้เกิด Transaction โชว์บนบัญชี เพื่อเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ซึ่งไม่ว่าพ่อค้าแม่ค้าจะเข้าใจถูกหรือผิด แต่การเกิด Crisis แบบนี้ ย่อมส่งผลต่อการชะลอใช้จ่ายหลายอย่างแน่นอน

ลดสาขาไม่ใช่ทางออก

นอกจากนี้ กระแสเรื่องการลดสาขาธนาคารในไทยยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2560 จำนวนสาขาของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบหายไป 230 สาขา แต่ในปี 2561 สาขาที่ยังอยู่ก็ถูกปรับโฉมให้เป็นดิจิทัลและใช้เครื่องแมทชีนมาอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้น

แม้ว่าการลดสาขาจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เห็นได้จากในหลายประเทศ ที่เคยประกาศลดจำนวนสาขาลง เกิดปัญหา Alien ทำให้หลายธนาคารต้องกลับมาเปิดสาขาอีกครั้ง อย่างเช่น TDBank ที่ลูกค้าเรียกร้องว่าธุรกรรมบางอย่างต้องผ่านการพูดคุยกับพนักงาน เช่นเรื่องของการวางแผนลงทุน วางแผนกองทุน ซื้อหุ้น เป็นต้น

ทำให้การลดจำนวนสาขาอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไปและอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่ทุกธนาคารควรทำ อย่างเช่น ธนาคารออมสินเองก็ประกาศชัดว่าลูกค้ายังไม่พร้อมกับการปิดสาขา แต่อาจมีการติดตั้งเครื่อง automation matchine เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก

แต่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งของไทยเอง ก็ค่อนข้างให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าการลดจำนวนสาขานั้น ไม่ใช่การปิดเพื่อใช้เครื่องอัตโนมัติทั้งหมด แต่ลดปริมาณในสาขาที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อนในบางสถานที่ และกระจายไปในสถานที่ที่เหมาะสมขึ้น เพราะการเดินทางที่สะดวกและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทำให้รูปแบบการให้บริการจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของแต่ละท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มนุษย์และพนักงานที่ทำงานในทักษะเดิมต้องพัฒนาและเรียนรู้ให้มากขึ้น เพราะคนที่ใช้ทักษะเรื่องโอเปอร์เรชั่นแบบเดิมจะอยู่ยาก ทำให้ต้องเพิ่มคุณภาพของทักษะ 4 ด้าน ประกอบด้วย

  • คิดอย่างสร้างสรรค์ : มีความคิดที่หลากหลาย จะช่วยให้มีมุมมองที่น่าสนใจ
  • ต้องเก่งด้านการเล่นกับอารมณ์ : เพราะการสื่อสารกับลูกค้าที่มีอารมณ์แตกต่างกัน ใครที่สามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราและบริการได้ดี ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่สื่อสารไม่เก่ง
  • ทักษะการเข้าสังคม มีความสำคัญมาก : เช่น งานขายประกันจะอยู่รอดได้ หากคุณพูดเก่ง ขายเก่ง สื่อสารดี บริษัทยังต้องรักษาคุณไว้และอาจส่งต่อไปในหน้าที่อื่นๆ
  • เซ้นส์ด้านศิลปะการใช้คำพูด ย่อมอยู่ได้นานกว่าคนทั่วไป

ส่วนแนวทางการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้ คือ ต้องวางแผนชีวิตให้ดี ประกอบด้วย 3 ด้านคือ

  • จด : เลือกได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้รู้ว่าในแต่ละวันใช้จ่ายอะไร วางแผนให้ดี
  • แจกแจง : ใส่รายละเอียดเพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราใช้ไปนั้น มีอะไรบ้าง และประเมินความสำคัญในการใช้จ่าย
  • จุนเจือ : เมื่อมีเงินเก็บออมแล้ว ก็แบ่งปันบางส่วนไว้ยามฉุกเฉินหรือช่วยเหลือคนอื่นบ้าง

รับชมคลิป

 

ทั้งนี้ เทคโนโลยีหรือโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใหญ่คือมาจากมนุษย์ ดังนั้น การใช้ชีวิตหรือวางแผน ต้องควบคุมและใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

 
Source: thumbsup

The post สรุปธุรกิจธนาคารปี 2018 ปรับตัวตามกระแสได้ดี แม้รายได้จะหดแต่ก็ไม่ยอมโดนเทคโนโลยีทำลาย appeared first on thumbsup.

7 เหตุผลว่าทำไมควรเพิ่มงบประมาณให้แผนก PR ของคุณในปี 2019

$
0
0

ออกมาเปิด Digital PR Agency เองสักพัก หนึ่งในปัญหาที่ผมเจอคือแบรนด์ต่างๆ มักจะบอกว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์ หรือ PR ทำงานเน้น Earned Media (สื่อที่ได้มาเป็นผลพลอยได้ของการกระทำ เช่น ทำให้คนแชร์ต่อ ทำให้บล็อกเกอร์เอาไปเขียนต่อ) เลยจัดงบประมาณของแผนก PR ไม่สูงเท่ากับฝ่ายการตลาด ทั้งที่มันอาจจะขัดกับสภาพความเป็นจริงในตลาดไปแล้ว วันนี้ผมมีเหตุผลชวนคิดสำหรับผู้บริหารว่าทำไมควรที่จะพิจารณาจัดงบประมาณใหม่ให้แผนก PR ในฐานะแผนกสำคัญด้าน Brand Communication นะครับ

Communication Platform ต่างๆ กำลังกลายเป็น “Paid Media” มากกว่า “Earned Media”

ถ้าสังเกตกันดีๆ ปัจจุบัน เส้นแบ่งระหว่าง “Paid” กับ “Earned” กำลังจางลง Communication Platform อย่าง Facebook, Instagram, YouTube, Twitter และ Search อย่าง Google ล้วนแล้วแต่อยู่ได้ด้วยเงินโฆษณา ดังนั้นการที่ Communication Platform เหล่านี้จะ ‘เปิดท่อ’ ให้ข้อมูลข่าวสารของเราไหลบ่าไปสู่ผู้คนจำนวนมากนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจ่ายเงิน มันจึงมีความจำเป็นที่เราต้องปรับวิธีคิดที่ว่า Earned นั้นไม่ต้องจ่ายเงิน และข้อนี้เองที่ PR Department ควรได้รับงบประมาณเพิ่ม

Publisher สื่อสารด้วยดิจิทัลเท่านั้นที่จะอยู่รอด

เราทุกคนรู้ดีว่าธุรกิจทางด้านสื่อสารมวลชนนั้นอยู่ได้ด้วยโฆษณา แต่ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารไปทางดิจิทัล โฆษณาจึงต้องตามไปที่ดิจิทัลด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาก็คือรายได้ที่มาจากดิจิทัลมันไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของบริษัทที่มีโครงสร้างแบบดั้งเดิม จึงเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นองค์กรสื่อต้องปรับโครงสร้างกันขนานใหญ่ ในขณะเดียวกัน Blogger บางคนที่เก่งกาจพอจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นธุรกิจสื่อได้ก็จะมีมากขึ้นในปีนี้ และเมื่อจำนวน Publisher เพิ่มมากขึ้น PR ก็ต้องทำงานหนักขึ้น ค่าใช้จ่ายในการทำงานด้าน Press Relations ก็เพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

Influencer คืออาชีพใหม่

ผมเคยแลกเปลี่ยนกับคุณปี่ ธนิส บุญอ่ำ แห่งบริษัท “จับของร้อน” ก่อนเธอจะเสียชีวิต เธอเคยให้มุมมองว่า Influencer, Blogger, Online Celebrity คืออาชีพที่มีต้นทุน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีต้นทุนที่ต้องจัดการ มันจึงต้องมีเรื่องผลตอบแทนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผมเห็นด้วยกับเธอครับ PR บางคนอาจจะมองว่าการจ่ายเงินให้ Influencer นั้นไม่ถูกต้อง แต่ผมมองกลับกันว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันเป็นเรื่องที่ทำได้ ตราบใดก็ตามที่เราและตัว Influencer เองยังจริงใจ โปร่งใส และบอกกับผู้อ่าน ผู้ชมได้อย่างตรงไปตรงมาว่าเงินไม่ได้มาเปลี่ยนแปลงความคิดทัศนคติของผู้ส่งสาร

บางคนอาจจะคัดค้านแนวคิดนี้เพราะคนที่ได้รับผลประโยชน์ก็พร้อมจะพูดในทางที่แบรนด์อยากให้พูดอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่า Influencer ถ้าไม่หัดบริหารชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ พูดจาเข้าข้างแบรนด์มากเกินไป ผู้คนก็จะเลิกติดตามไปเอง

อีกประการหนึ่งผู้บริโภคสมัยนี้เองก็เข้าใจบทบาทของ Influencer กับแบรนด์อยู่แล้ว เพียงแต่ผู้บริโภคเขามองว่าคนเหล่านี้คือ tastemaker ที่มา ‘ช่วยลอง’ ว่าสินค้าและบริการนี้ดีและไม่ดีอย่างไร ผู้บริโภคเองต้องไป search หาข้อมูลต่อ สอบถามเพื่อนของตัวเอง และตัดสินใจซื้อด้วยตัวเองอยู่ดี

ดังนั้น PR ในฐานะผู้สร้างสานสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ กับสาธารณชนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ จึงต้องการปัจจัยที่จะมาร่วมงานกับคนที่เป็น Influencer และ tastemaker ทุกคน

งานของ PR คือการจุดประกายบทสนทนาบนโลกออนไลน์

พอพูดถึงการทำประชาสัมพันธ์ หลายๆ คนจะนึกถึง execution อย่างเช่นการทำ Press Release, Press Conference แต่ที่จริงผมเคยเจอ PR ตัวเก่งตัวจริงในวงการมาเยอะ สิ่งที่ทำให้ PR เหล่านี้แตกต่างและโดดเด่นกว่า PR คนอื่นๆ คือความสามารถในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างแบรนด์กับ stakeholders ได้ มันคือการเล่นกับ ‘ทัศนคติ’ ไม่ใช่เพียงส่งสารออกไป

หัวใจในการทำความเข้าใจและปรับทัศนคติก็คือบทสนทนาที่เข้มข้น ซึ่งบทสนทนาที่เข้มข้นในยุคนี้อยู่บนอินเทอร์เน็ต PR ยุคนี้จึงต้องการการสนับสนุนจากผู้บริหารมากกว่าโครงสร้างงบประมาณเดิมที่เหมาะกับโครงสร้างการทำงานเดิม

Reputation… เพราะเรื่องของชื่อเสียงรอไม่ได้

บทสนทนาบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ทุกวัน ชื่อเสียงขององค์กรก็เสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน เราจำเป็นที่จะต้องหาคนมาบริหารจัดการชื่อเสียงของเราบนโลกออนไลน์ ยิ่งในยุคที่ข่าวร้ายไปไกลกว่าข่าวดี เราก็ต้องการ PR ที่เข้าใจความไวของบทสนทนาดังกล่าว

PR ของคุณต้องการ PR Automation

PR Automation คือเครื่องมือที่ช่วยให้ PR ทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบอีเมล ระบบ Social Analytics แล้วไหนจะต้องปรับให้คนของเราเข้าใจระบบนี้อีก

Digital PR เป็นเรื่องของ Mindset ต้องฝึกอบรม

Digital PR เป็นศาสตร์ใหม่ที่ต้องผสมผสานหลายศาสตร์เข้ามาทำงานร่วมกัน นั่นหมายความว่า เราต้องใช้งบประมาณในการฝึกอบรมอีกมากมาย

แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร มีความคิดเห็นอย่างไร พูดคุยกันนะครับ

ชมคลิปสรุป :

 
Source: thumbsup

The post 7 เหตุผลว่าทำไมควรเพิ่มงบประมาณให้แผนก PR ของคุณในปี 2019 appeared first on thumbsup.

15 ข้อคิดจากคนวงการธุรกิจ ทำงานแล้วหมดไฟ ทำอย่างไรให้ไปต่อได้ ?

$
0
0

“ไม่เคยหมดไฟ แค่ใจหมดแรง” เราเข้าใจดีว่าไม่มีอะไรจะทรมานไปกว่าการที่ตื่นมาแล้วต้องรู้สึกพยายามลุกไปทำงาน  หรือที่เรียกกันว่า ‘อาการหมดไฟ’ ที่ทำให้ทั้งเครียด หดหู่ จนไม่อยากไปทำงาน ซึ่งมาได้จากหลากหลายสาเหตุ  ลองมาดูวิธีการที่เหล่าคนในวงการธุรกิจนำมาใช้จริง  เพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวต่อไปและทำงานได้จนประสบความสำเร็จกันค่ะ

1. รวิศ หาญอุตสาหะ Managing Director : ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด

จริงๆ แล้วการ Burnout มันมีทั้งเรื่องของ “ร่างกาย” และ “สภาพจิตใจ” ซึ่งในทางการแพทย์ยังไม่มีผลวิจัยที่ระบุว่าอาการนี้ คือ “โรค” ขนาดนั้น แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับความอ่อนเพลียของทั้งร่างกายจิตใจในช่วงนั้น  และส่วนใหญ่การ Burnout มักจะมาจากเรื่องงาน  แต่ผมคิดว่า “งาน” มันเป็นแค่ปลายทาง

เพราะมันมาจากวิธีการบริหารจัดการสุขภาพกาย สุขภาพจิต ของเรา สำหรับผมถ้าหมดไฟจะกลับมาดูก่อนว่าตอนนั้นเราดูแลร่างกายดีหรือเปล่า นอนพอไหม ออกกำลังกายไหม กินอะไรผิดไปจากเดิมไหม  นั่นหมายความว่าในวิถีชีวิตประจำวันของเราเป็นสิ่งที่ให้ Burnout หรือเปล่า

ส่วนเรื่องของ “สภาพจิตใจ” ผมพบว่าเป็นมุมมองของชีวิต  ซึ่งถ้าเราอาจต้องลองเปลี่ยนมุมมองกับมัน  เช่น เรื่อง “คน” ที่มักเหนื่อยและปวดหัว  เราก็ต้องกลับมาดูว่าทำไมเราถึงมีปัญหาแบบนี้  ถามตัวเองว่าเราได้ศึกษาวิธีการเข้าใจคนแล้วหรือยัง  และได้พยายามมองจากมุมเขาไหม เป็นต้น

ทำความเข้าใจว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ต้นตอมันเกิดจากอะไร เช่น เราไม่ชอบคนหนึ่งในที่ทำงานแต่ต้องทำงานกับเขาตลอด  สิ่งที่เราต้องถามคือ “เราไม่ชอบเขาเพราะอะไร” ถ้าเราตอบได้ก็จะเป็นสาเหตุ  บางทีอาจเป็นการที่เขาทำให้เรานึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่เราไม่ชอบก็ได้  ซึ่งถ้าเราเข้าใจมุมมองที่มองคนนั้นจะเปลี่ยนไป

เพราะบางทีจริงๆ แล้วการ Burnout อาจมาจากเราเหนื่อยที่จะหาคำตอบในเรื่องที่มันแก้ไม่ได้  ซึ่งการหาทางออกอาจแก้ไม่ยากเพียงแต่เราต้องเปลี่ยนมุมมองเท่านั้นเอง  ถ้าเกิดพูดในเชิงทฤษฎีก็ต้องบอกว่าคนที่มี “Self Awareness” หรือรู้จักตัวเองเยอะๆ ก็จะไม่ Burnout หรือเป็นไม่นาน

และก่อนจะไปเข้าใจคนอื่นจริงๆ ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง  ว่าอะไรที่เป็นจุดทำให้เรามีความสุข ความทุกข์  ให้ขุดไปที่ต้นตอของมัน  หากปลดล็อคตรงนี้ได้อาการ Burnout ก็จะหายไปแล้วทำให้ไปต่อได้

2. ภาวุธ​ พงษ์วิทยภานุ CEO : TARAD.com Group

พอจับตัวเองได้แล้วว่าเรา “หมดไฟ” ก็ให้มองตัวเองในมุมที่ว่าเราเดินมาไกลกว่าเดิมเยอะเลยนะ  เพราะเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เราเดินผ่านเขามานั่นคือวิธีการ “ให้กำลังใจ” ตัวเองรูปแบบหนึ่ง

แล้วหลังจากที่เริ่มมีกำลังใจแล้วอยากมีไฟก็ต้องมอง “คนที่อยู่เหนือเรา” ว่าเขาเดินไปไกลกว่าเราแล้ว  เราจะสามารถแซงเขาไปได้อย่างไร  แต่ต้องขอเน้นย้ำไว้เลยว่า “ห้ามทำสลับกันเด็ดขาด”  เพราะถ้าพลาดจะทำให้ท้อหนักกว่าเดิม (หัวเราะ)

แต่งถ้าหนักมากจริงๆ ก็ให้ “หยุดพัก” เลย  ส่วนตัวเคยเหนื่อยมากๆ แล้วเลือกที่จะหยุดพักด้วยการนั่งรถไฟฟ้าไปที่หัวลำโพง  เพราะต้องเบรกและเอาหัวไปคิดอย่างอื่นบ้าง  เพราะการหยุดพักทำให้ไม่ต้อง “โฟกัส” กับปัญหาที่ทำให้เราหมดไฟกับมันอยู่  แล้วเมื่อเรามองกลับมาอีกทีอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ ออกมาได้เช่นกัน

มันขึ้นอยู่กับ Attitude เราว่าจะมองปัญหาอย่างไร  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีคือต้องมี “สติ” กับปัญหาที่เข้ามาไม่ได้ตื่นตระหนกับปัญหา  และบางครั้งวิธีการที่ดีที่สุดคือ พยายามมองและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง  หรือหาคนพูดคุยปรึกษาปัญหา แต่เราก็ต้องเลือกคนปรึกษาให้ดี  เพราะถ้าเกิดเราไปเจอคนที่ไม่มีวิสัยทัศน์การแก้ปัญหาก็จะง่ายมาคือ “ลาออกเลย” แต่ถ้าเจอคนให้คำแนะนำดีๆ ก็จะแนะนำให้เรา “ตั้งสติ” แล้วฝ่าปัญหาออกไป

บอกกับการดูด้วยว่าบริบทของเราเป็นแบบไหน  เพราะผู้ใหญ่ก็มีปัญหาแบบหนึ่ง เด็กเองก็มีปัญหาแบบหนึ่ง เจ้าของกิจการ คนทำ Startup หรือหัวหน้าทีม ก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง

3. พรทิพย์ กองชุน Co-Founder & COO : Jitta.com

อันดับแรกหาให้ได้ว่าเพราะ “หมดแรง” หรือ “หมดใจ” ปกติแล้วเราก็จะเจอเหตุกันอยู่ 2 เรื่อง

1. เกี่ยวกับงานที่ทำ เช่น งานหนักเครียดลากยาวจนเกินไป ไม่ถนัด ไม่ชอบงานนี้ งานหน้าเบื่อไม่สร้างความท้าทายอีกแล้ว ทำงานแค่ไหนก็ไม่ได้รับการยอมรับสักที ระบบงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือความขัดแย้งต่างๆ ในที่ทำงาน ทำให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่อยากทำงานต่อไป

2. เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว หน้าที่ความรับผิดชอบเยอะแยะไปหมด มีปัญหากับแฟน พ่อแม่ พี่น้อง ปัญหาด้านการเงิน ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง หรือมีนิสัยส่วนตัวที่ยึดติดมากไป ไม่ยืดหยุ่น คาดหวังกับคนรอบตัวหรือสิ่งต่างๆ มากไป

วิธีแก้ไข

1. ปรับทัศนคติตัวเองก่อน จัดการความเครียดของตัวเองก่อนเลย เรื่องอะไรๆ ก็เครียด บางทีก็ต้องปล่อยวางบ้าง เพราะเมื่อจัดการอารมณ์ได้แล้ว ก็จะมีเหตุผลไปแก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ ค่ะ

2. จัดระเบียบการใช้ชีวิตใหม่ เช่น จัดลำดับความสำคัญและเวลาในการทำงานให้ได้ อย่างการวางแผนเป้าหมายงานด้วย OKRs ก็จะช่วยให้โฟกัสงานได้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้มีเวลาไปทำกิจกรรมสนุกๆ บ้าง

3. พัฒนาทักษะอื่นๆ ไปหาเรียน เข้าคอร์สเพิ่มความรู้ใหม่ๆ โลกหมุนไปเร็วมากๆ ทักษะในการทำงานใหม่ๆ จะผลักดันให้เราทำงานได้ดีขึ้น มีไอเดียใหม่ๆ หรือหากเราเบื่องานเดิม ก็จะเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อโอกาสงานใหม่ได้ค่ะ

4. เว้นช่วงบ้างก็ได้ ลางานไปพักผ่อน ปิดมือถือการสื่อสารทุกอย่าง มีเวลาได้จัดการตัวเอง อย่างที่ Google หรือบริษัทเทคต่างๆ จะมีโปรแกรมให้พนักงานลาพักแบบยาวๆ เป็นเดือนหรือปีก็ได้ เรียกว่า Sabbatical เพื่อไปหาเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนขึ้น สร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟในตัวขึ้นมาใหม่

5. สุดท้ายถ้าไม่ไหว ก็ต้องหาที่ปรึกษาหรือกำลังใจค่ะ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุด ก็คือตัวเราเองนี่แหละค่ะ รักตัวเองและทำเพื่อตัวเองให้มากขึ้น ให้รางวัลกับตัวเองในแต่ละวัน จริงๆ แล้วทริคไม่ยากค่ะ เมื่อหมดไฟ ก็จุดไฟใหม่ซะ!

4. สโรจ เลาหศิริ Chief Marketing Officer : Rabbit’s Tale

เน้นการ “พักเบรก”  ไปในที่ๆ มือถือเข้าไม่ถึง  หรือทำกิจกกรมที่ต้องฝากมือถือไว้เลยอย่างส่วนตัวชอบ “ดำน้ำ”  หรือออกไปคุยกับคนอื่น  แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปคุยกับเพื่อนที่เป็นใครก็ได้นะ  เพราะ Passion มันเติมกันได้ด้วยคนที่มีพลังเหมือนการไปรับ Energy มา  ซึ่งเวลาที่เราอยู่ใกล้คนที่มีพลังบวกและ Passion เราจะซึมซับสิ่งนั้นเข้ามา

ลองคิดดูว่าเราไปกินเหล้ากับคนที่หมด Passion หรือเหนื่อยจากงานเหมือนกันกับเรา  แล้วทุกคนบ่นเรื่องแย่ๆ เหมือนกันหมด  พอกลับมาก็จะกลายเป็นกลุ่ม Toxic กลับมาจนไม่อยากทำงานและลาออกจากงานไปในที่สุด

การที่โทรไปหาคนที่น่าจะมี “แรงบันดาลใจ” แล้วนั่งลงคุยมันจะทำให้รู้สึกว่าได้เติม Energy ด้านบวกเข้ามา  เพราะ “คำพูดมันมีพลัง”  คำบางคำมันเปลี่ยนวิธีคิด ความรู้สึก ทำให้พลิกมุมคิดแล้วชีวิตเปลี่ยน

แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมแต่ถ้าเราคิดเปลี่ยนมันก็ไม่เหมือนเดิมนะ  เหมือนเรื่องของทีม Manchester United มีสมัยหนึ่งที่ผู้เล่นเหมือนเดิม แต่มีผู้จัดการทีมคนใหม่เดินบอกว่า ” ทุกคนเป็นนักเตะที่เก่งอยู่แล้ว  จงไปเล่นให้สมกับเป็น Manchester United “ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนมุมคิดแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเหมือนเดิมทุกอย่าง

มีช่วงหนึ่งเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ปัญหารอบตัวไปหมด  เราได้ไปอ่านหนังสือที่พูดถึงปัญหาบอกว่าปัญหามี 2 แบบ คือ ปัญหาที่แก้ได้ ปัญหาที่แก้ไม่ได้  สำหรับปัญหาที่แก้ไม่ได้อย่าเพิ่งคิดแต่เอาปัญหาที่แก้ไม่ได้ก่อน  แล้วพอเวลาผ่านไปปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็กลับกลายเป็นเรื่องเฉยๆ ไป

ดังนั้นการวางบางสิ่งแล้วเก็บมาคิดบางสิ่งก็ช่วยได้  ไม่ต้องรวมทุกอย่างจนยุ่งเหยิง  และปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วย “การคุยต่อหน้า” เพราะปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดนอกห้องประชุมในเรื่องของการคิดไปเอง

5. ไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ์ กรรมการผู้จัดการ : Alchemist

มันยากมากในการหางานที่มันตรงโจทย์ของเราทุกอย่าง  บางครั้งเราอาจจะต้องทำในงานที่เรา “ไม่มี Passion” หรือไม่อินกับมัน 100% อย่างตอนที่เรามาทำงานปัจจุบันก็ทำในส่วนที่ขายวัสดุก่อสร้าง  ซึ่งเราก็ไม่ได้เห็นกระเบื้องแล้วรู้สึกว่า “โอ้โห..มันสวยมากๆ” แต่รู้สึกว่าอยู่กับมันได้  เพราะเรารู้สึกว่าจริงๆ แล้ว Passion มันไม่จำเป็นต้องอยู่ในงานก็ได้

นั่นคือเราไปสร้าง passion กับเรื่องอื่นก็ได้อย่างส่วนตัว Passion ของเราคือการเที่ยว การปลูกต้นไม้ จริงๆ แล้วการที่เราหางานอดิเรกหรือแบ่งเวลาส่วนหนึ่งให้ส่วนอื่นมันจะทำให้ชีวิตเราสมดุลนอกนจากเรื่องงานอย่างเดียว

ส่วนถ้าตกหล่มแล้วหล่มมันลึกมากๆ เราคนเดียวอาจจะเอาไม่อยู่ก็ต้องหาคนช่วย  เราพบว่าการแค่นั่งคุยกับเพื่อนแล้วเขาก็จะโยน “ทางเลือก”ใหม่ๆ มาให้เรา  เพราะบางทีเรายึดอยู่กับปัญหาก็ทำให้มองโลกแคบลง

ซึ่งการออกไปแชร์กับเพื่อนโดยอาจไม่ต้องถึงระดับที่ขอความช่วยเหลือ แค่แลกเปลี่ยน  เพราะทุกคนเองก็มีปัญหาหมด  การนั่งคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้ตั้งใจว่าต้องได้ “คำตอบ” ทันทีมันก็ช่วยได้เหมือนกัน

มันคือการค่อยๆ เปิดมุมมองเข้ามาอีก  หรือบางทีก่อนจะตัดสินใจคนรอบข้างก็จะเป็นคนรีเช็คครั้งสุดท้ายว่าเราคิดครบทุกด้านแล้วหรือยัง  ถ้าเพื่อนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเพื่อนที่อยู่ในสายงานเดียวกับเรามุมก็ยิ่งไม่เหมือนกัน  เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน

6. สุนาถ ธนสารอักษร Managing Director : Rabbit’s Tale

มีหลายวิธีซึ่งวิธีแรกคือ ‘การไปเที่ยว’ หรือทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานเลย เป็นการหนีไปทำในสิ่งที่เราชอบ  ส่วนตัวถ้าเครียดหรือหมดไฟมากๆ ก็จะไปดูเทคโนโลยีแบบล้ำๆ เจ๋งๆ เปิดซีรีส์อยู่บ้าน 2-3 ชั่วโมงแล้วจะค่อยๆ ตั้งสติได้

ต่อมาจะมานั่งคิดว่าทุกวันนี้ภาระที่เรามีอย่าง ‘การดูแลคน’ ที่ชีวิตของพวกเขาฝากให้เราดูแล  หมายความว่าเราต้องมีความรับผิชอบในการดูแลบริษัทด้วยนะ

แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ไปคุยกับคนที่เป็น “เพื่อนคู่คิด” ผมนึกถึงเรื่อง ‘ที่ปรึกษาทั้ง 5 คนที่เราควรมี’ จากหนังสือ ‘Marketing Everything’ เขียนโดยคุณรวิศ หาญอุตสาหะ

ซึ่งคนแรกเป็นคนที่มีประสบการณ์ในวงการเดียวกับเราและทำธุรกิจในขนาดใหญ่กว่า  คนที่สองคือที่ปรึกษาทางการเงิน  สามคือที่ปรึกษาด้านกฎหมาย คนที่สี่คือที่ปรึกษาด้านการจัดการคน  และคนสุดท้ายคือคนที่เก๋าเกมในวงการธุรกิจมากๆ อย่างเจ้าสัวท่านต่างๆ

เมื่อคุยแล้วต้องกลับมาตั้งสติแล้วถามตัวเองว่าที่ทำอยู่นั้นย้อนกลับไปตอน Day 1 ว่าเราเริ่มต้นอย่างไร  เพราะปัญหาที่ใหญ่มากในตอนนี้ก็อาจกลายเป็นเรื่องเล็กมากในอนาคตก็ได้

ส่วนถ้าเราอยากมีความตื่นตัวเราก็ต้องคบกับคนที่ตื่นตัวด้วย  ทั้งเพื่อนต่างวัย ต่างภาษา เช่น ผู้บริหารที่อายุเยอะมากๆ บางทีก็อาจจะตามโลกไม่ทัน  คุณควรมีเพื่อนเป็นคนหนุ่มสาวที่พูดคนละภาษากับเรา  ดำเนินชีวิตกันคนละแบบ  เราจะได้ไปเรียนรู้และเข้าใจพฤติกรรมของคนเหล่านั้น

ผมนึกถึงที่ ‘นิ้วกลม’ บอกไว้ว่า “สุดท้ายถ้ามันหมดไฟแล้วจริงๆ ก็ให้เปลี่ยนงานไปเลย”  เลิกทำสิ่งที่ทำอยู่แล้ว Start Over ใหม่ ด้วยการกลับไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ใหม่จากศูนย์

7. ดมิสาฐ์ องค์ศิริวัฒนา Co-Founder and Executive Creative Director : Sour Bangkok

ทำยังไงเมื่อทำงานแล้วคุณรู้สึกหมดไฟ?

“เราเลิกกันเถอะ”  เพราะถ้าหมดแพชชั่นแล้วคบกันไปก็เสียเวลา

แค่ต้องเช็คตัวเองว่า ต้องเลิกกับที่ทำงานเดิม  หรือ เลิกอาชีพแล้วไปทำอย่างอื่นที่อยากตื่นไปทำงานแทน  คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่าง ‘เหนื่อย’ กับ ‘หมดไฟ’

ซึ่งเช็คง่ายๆ ว่า ถ้าเหนื่อย พักก็หาย  แต่หมดไฟ คือ หมดแรงบันดาลใจ เหมือนแฟนที่เราไม่อยากเจอหน้า วิธีแก้คือควรเลิก ไปคบแฟนใหม่ที่อาจจะแย่กว่ามาก วันนึงเราอาจจะรู้ว่าแฟนเก่าก็ดี

และข่าวดีคือ งานไม่เหมือนแฟนเก่า เรากลับมาคบกับงานที่เคยหมดไฟได้ตลอด  สำหรับส่วนตัวในชีวิตมีความรู้สึกหมดไฟแค่ครั้งเดียว เพราะไม่ชอบ Culture แต่พอเปลี่ยนออฟฟิศ ไฟก็กลับมาลุกโชนได้เหมือนเดิมค่ะ

8. อรนุช เลิศสุวรรณกิจ C0-Fouder : Techsauce Media

ถ้าย้อนกลับไฟอาการหมดไฟจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 20 ปลายๆ เป็นช่วงที่เราค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบ หรือไม่ชอบอะไร หรือสิ่งที่เรากำลังทำนั้นไปในทิศทางไหน

จึงทำให้ “ความหมดไฟ” ไม่ได้เกิดมาจากตัวเงินที่รู้สึกว่าตอบแทนไม่พอ แต่เป็นความรู้สึกว่าเรากำลัง “หลงทาง” ซึ่งมักเกิดกับคนอายุ 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ

ในตอนนั้นฐานะทางบ้านก็ต้องบอกว่า “ไม่ได้มีแต้มต่อในชีวิตเยอะ” เพราะเจอวิกฤติช่วงปี 40 ที่ทำให้ต้องทำงานและดูแลทางบ้านด้วย

เราจึงบอกกับตัวเองว่าจริงอยู่เส้นทางงานทำอยู่มันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตขนาดนั้น แต่สุดท้ายเราก็หนีหน้าที่ไปไม่ได้ และ “ไฟในการทำงานมาจากการนึกถึงหน้าคนที่เราต้องดูแล”

ส่วนตัวรู้สึกว่าคนเราจะหมดไฟได้ถ้า “ความฝัน” กับ “ความจริง” มันไม่ได้ไปด้วยกัน เลยอยากบอกว่าหากสุดท้ายถ้าค้นหาไม่เจอว่าจริงๆ แล้ว Passion ของเราคืออะไร  แต่สิ่งที่เรากำลังทำหน้าที่และรับผิดชอบครอบครัวเราอยู่  สิ่งนั้นก็คือที่สุดของคนๆ หนึ่งแล้ว เป็นสิ่งที่ทำให้ไฟไม่มอด

9. ชรัตน์ เพ็ชร์ธงไชย หัวหน้าธุรกิจ LINE Today : Line ประเทศไทย

“ทำยังไงเมื่อทำงานแล้วหมดแพชชั่น”

ผมคิดถึง 2 ขั้นตอน ถอยหลังและก้าวต่อไป

ถอยหลังคือ ทบทวนว่าอะไรที่ทำให้เราหมดแพชชั่น มันเป็นได้หลายอย่างมาก คน ตัวงาน เพื่อนร่วมงาน หรืออื่นๆ รวมไปถึงอาจจะเป็นตัวเราเอง แต่ให้เราค่อยๆ คิด เพราะต้องไม่ลืมว่าก่อนที่เราจะมาถึงจุดนี้ หรือจุดที่เราป่าวประกาศ(ในใจ)ว่าหมดแพชชั่น เราเคยมีแพชชั่นอะไรที่มาทำงานนี้

ตรงนี้ให้ใช้เวลาคิดกับมันสักหน่อย ค่อยๆ คิด เพราะบางอย่างมันก็เส้นผมบังภูเขาจริงๆ หรืออีกทาง ลองเอาเรื่องนี้คุยกับเพื่อนที่สนิท หรือแม้กระทั่งหัวหน้า แต่ให้เลือกคุยแบบต่อหน้านะ อย่าคุยแบบผ่านแอปพลิเคชั่น เพราะตัวอักษรไม่สามารถสื่ออารมณ์ได้เท่าการสนทนากันจริงๆ น่าจะช่วยให้เราทบทวนและได้คำตอบว่ามันเกิดเหตุการณ์นี้เพราะอะไร

ขั้นตอนนึงคือก้าวต่อไป ตรงนี้จะมาจากการไตร่ตรองคิดมาแล้วจากขึ้นตอนถอยหลัง ซึ่งเรา “น่าจะ” สามารถตัดสินใจได้แล้วว่า เราควรจะจัดการการหมดแพชชั่นอย่างไรต่อไป เพราะทุกอย่างมันหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องเดินไปข้างหน้า การเดินไปข้างหน้าอาจหมายถึงเราสามารถแก้ไขปัญหาตรงหน้าที่เกิดจากการหมดแพชชั่น หรืออาจจะค้นพบวิธีการใหม่ๆ แนวทางใหม่ๆ ที่เราอาจจะค้นหาเจอและเหมาะกับตัวเราก็เป็นได้

อย่าลืมว่าทุกอย่างเราต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปนะครับ

10. อภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ผู้บริหาร Pantip.com

แน่นอนว่ามีบางวันที่ปัญหาต่างๆ รุมเร้าจนรู้สึกเหนื่อยและหมดไฟ ผมจะฝึกมองว่าปัญหาคือความท้าทาย “ถ้าคนเล่นเกมก็คือ Quest ที่เราจะหาทางผ่านไปให้ได้” วันนี้ยังไม่ผ่านก็พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาลุยต่อ ถอยออกมาจากปัญหาสักนิด แล้วมองเป้าหมายหลักที่เราอยากไปให้ถึง ไฟเราจะได้ลุกโชนขึ้นมาใหม่

การอยู่ในบรรยากาศเชิงบวกก็มีส่วนช่วย การได้เห็นคนรอบตัวเราทุ่มเทความพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของเขา การมีเพื่อนที่ดีที่ช่วยสนับสนุนเรา การได้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่เราทำว่าส่งผลดีต่อคนรอบข้างมากขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีกำลังใจและมีไฟที่จะทำงานต่อไปครับ

โดยเราต้องมีเป้าหมายที่ใหญ่มากพอเพื่อให้เรายังมีไฟในการทำงานต่อครับ เช่น ผมมีเป้าหมายว่าอยากเห็น Pantip เป็นพื้นที่ที่มีคำตอบที่น่าเชื่อถือให้กับทุกคำถามของคนไทย ทุกวันนี้หลายคนอยากรู้อะไร ลอง Search ดู ก็อาจจะพบคำตอบใน Pantip อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่า Pantip เพิ่งเดินไปได้แค่ 1% ของเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ยังมีอีกหลายคำถามที่ไม่มีคำตอบบน Pantip

หลายคำถามที่มีคำตอบแต่ยังไม่น่าเชื่อถือมากพอ หลายคำถามที่คำตอบล้าสมัยไปแล้ว เป้าหมายที่จะพัฒนาให้ Pantip ดีขึ้นในทุกๆ วัน เป็นเหมือนการเติมถ่าน เติมแก๊ส เติมอากาศให้ไฟลุกตลอดเวลา

11. สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม CEO : rgb72 และผู้จัดงาน Creative Talk Conference

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกหมดไฟ หมดพลังในการทำงาน เหนื่อย ล้า แม้ว่าปีใหม่กำลังจะเริ่มก็ตาม ไม่ต้องตกใจ สิ่งที่อยากบอกคือ “มันไม่ใช่เรื่องแปลกใด ๆ”

มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ฟรีแลนซ์ หรือ เจ้าของบริษัท ต่างมีโอกาสที่จะรู้สึกเหนื่อยและหมดไฟ แต่จะทำอย่างไรให้ความรู้สึกนั้นหายไป และสามารถจุดพลังลุกขึ้นมาได้อย่างสดชื่นอีกครั้ง

 ผมขอแยกวิธีการ “refresh” ตัวเองออกเป็น 2 รูปแบบ  แบบแรก คือการ refresh ตัวเองแบบเร่งด่วน ซึ่งเป็นวิธีที่ทำกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการหนีไปเที่ยว หรือเดินทางไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย เพื่อหลีกหนีออกจากบรรยากาศเดิม ๆ ที่จำเจ สูดอากาศสดชื่น พบปะคนหน้าใหม่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถ refresh ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

แต่การ refresh ด้วยวิธีแรกนี้จะได้ผลลัพธ์ระยะสั้น refresh ได้ไม่นานก็เหนื่อยล้าอีกแล้ว  แบบที่สอง ที่อยากแนะนำเป็นแบบที่ยั่งยืนกว่า นั่นคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของอาการหมดไฟ

คนที่ทำงานไปวัน ๆ ทำงานเฉพาะที่อยู่ตรงหน้า งานส่งมาฉันก็ทำ การทำงานแบบนี้เรื่อย ๆ คือต้นเหตุของการหมดไฟ วิธีแก้ไขคือการถอยหลังออกมาให้เห็นภาพรวม และค้นหาเป้าหมายที่ชัดเจน หรือ purpose ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นพ่อครัว งานของคุณคือการทำอาหาร การทำเฉพาะงานที่อยู่ตรงหน้าอาจจะทำให้คุณเบื่อ เหนื่อยล้า เพราะเข้างานมาก็ต้องคลุกอยู่กับควันไฟ น้ำมัน และการทำอาหารซ้ำๆ เดิมๆ

แต่ถ้าคุณถอยหลังออกมาให้เห็นภาพที่ใหญ่กว่าเดิม คุณจะพบว่า การทำอาหารคือส่วนที่มีความสำคัญที่สุดต่อธุรกิจร้านอาหารของคุณเลย เพราะถ้าไม่มีอาหารที่อร่อย แม้บริการจะดี ราคาจะถูก ลูกค้าก็ไม่เข้า 

หรือถ้าถอยออกมามากกว่านั้น คุณอาจจะพบว่า การทำอาหารของคุณ ไม่ใช่แค่ทำให้ลูกค้าอิ่มท้องพร้อมความเอร็ดอร่อย แต่คุณอาจจะกำลังทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคน ระหว่างคู่รัก ระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจ สร้างผลลัพท์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

เมื่อนั้น คุณอาจจะเริ่มคิดได้ว่า แล้วเราจะทำอาหารอย่างไรให้คนมีความสุขมากขึ้น เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนมากขึ้น การหั่นผักให้ชิ้นเล็กลงอาจจะทำให้คุณผู้หญิงไม่ต้องอ้าปากกว้าง ทำให้เธอดูน่าารักขึ้น เมื่อนั้น การทำงานของคุณก็จะเต็มไปด้วยพลังและความสุขอย่างที่คุณเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน 

ไฟในตัวนั้นก็อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะลุกโชน หรือจะมอดไหม้ อย่าให้เป็นเพราะฟ้าฝนหรือคนอื่น มันดับได้ เราเองก็ต้องเป็นคนจุดมันให้ติดกลับขึ้นมาได้เช่นกัน

12. สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล Strategic Planning Director : BrandBaker

มันต้องมาดูก่อนว่า ” วันนี้เราหมดไฟเพราะอะไร ? ” ซึ่งมันก็จะนำไปสู่คำถามว่า “เราหมดไฟหรือเหนื่อยเพราะเจอปัญหาเดิมซ้ำๆ” ซึ่งถ้าถามตัวเองแบบไม่มีอคติก็จะพบเหตุผลว่าทำไมเราหมดไฟ  แต่ถ้าในการณที่เราหมดไฟเพราะเราทำอะไรซ้ำๆ จนมันไม่มีอะไรที่มันใหม่แล้วก็จะเป็นอีกเรื่อง  เพราะมันจะกลายเป็นคำถามที่ว่า ” แล้วเราจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง?”

หรือ “จริงๆ แล้วการ ‘เปลี่ยนงาน’ ก็เป็นทางออกนะ”  เพราะเวลาชีวิตมันสั้น  อยากให้ลองวิเคราะห์ให้ดีว่าการเปลี่ยนงานมันเป็นสิ่งที่ใช่จริงๆ หรือเปล่า  หรือว่าจริงๆ มันเป็นที่ตัวที่เราเอง  เพราะต่อให้เปลี่ยนงานแค่ไหน  ถ้าตัวเราไม่เปลี่ยนก็จะยังมีปัญหาเหมือนเดิม  แต่ถ้าเราไม่มีปัญหาแล้วงานมีปัญหาเปลี่ยนงานแล้วชีวิตดีขึ้นก็เปลี่ยนเถอะ

แต่สุดท้ายถ้าเราทำอะไรซ้ำๆ จนหมดไฟ  สิ่งที่ง่ายที่สุดคือลองกลับไปอ่านข้อมูลเดิมๆ ที่เคยอ่านมาแล้ว มันจะเหมือนเราได้เจอกับเพื่อนคนเดิมที่ไม่เจอกันมานาน  เช่น เว็บไซต์ที่เราเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่เข้าวงการเเรกๆ หรือหนังสือเรียนบางเล่มที่เราอ่านผ่านๆ แล้วคิดว่าจำได้หมดแล้ว

ของพวกนี้มันมีประโยชน์มากเพราะเป็นการถอยกลับไปสู่จุดที่เราเรียนรู้ใหม่ๆ  อยากให้เชื่อเถอะว่าในมุมงานที่เราทำมัน “มีอะไรที่เราไม่รู้ ” อยู่เสมอ

ถ้ายังเบื่ออีกก็ขยับจากตัวเองเเล้วไปหาข้อมูลอะไรใหม่ๆ  ซึ่งอาจจะเถิบไปคนละเรื่องก็ได้ เช่น ไปเรียนดนตรี วาดรูป เล่นกล้าม ต่ออยมวย  เพราะการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานเลยจะทำให้ร่างกายเรามันหมุนเวียนไป  และเราจะกลับมามองเรื่องเดิมในมุมใหม่

12. อรวี สมิทธิผล Co-Founder : Content Shifu, Managing Partner : Magnetolabs

เคยมีอยู่ช่วงนึงที่รู้สึกว่าหมดไฟมาก จนถึงขั้นอยากเปลี่ยนงาน อยากไปเรียนต่อ อยากหนีออกต่างจังหวัด ฯลฯ  คิดอะไรไปเยอะแยะเต็มหัว คิดมาหลายสัปดาห์จนอยากจะร้องไห้ สุดท้ายคิดไม่ตกก็เลยนัดเจอกับเพื่อน เล่านั่นนี่ให้ฟัง แล้วจู่ๆ ตั้งแต่คืนนั้นจนถึงวันถัดมาและยาวๆ ไป อาการหมดไฟที่เคยมีก็หายไป…หายไปยาวเลย…

ถ้าเพื่อนไม่ใช่แม่มด แล้วเวทมนตร์วิเศษนี้คืออะไร?

ตัวอย่างที่เราให้ฟังตอนต้นคือตัวอย่างของคนหมดไฟ เพราะแท้จริงแล้วมาจากความ ‘เครียด’ ‘เหงา’ และ ‘ต้องการกำลังใจ’ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นอะไรที่แก้ได้ไม่ยากเลย แต่มัวสาละวนกับอะไรก็ไม่รู้ มองหาแต่วิธีทางหนีออกจากประตู แต่ไม่ได้มองว่าบางทีก็เป็นแค่ความอ่อนแอที่ขอแอบโผล่มาบ้างในบางโอกาส

คำว่า ‘หมดไฟ’ ของแต่ละคนอาจมีสาเหตุต่างกันออกไป  บางคนหมดไฟเพราะหมดแรง เคสนี้ก็คือแก้ด้วยการบอกตัวเองให้พักบ้าง รีเซตแล้วค่อยเอาใหม่ บางคนหมดไฟเพราะรู้สึกท้อที่ผลงานไม่เป็นที่ยอมรับ เคสนี้วิธีแก้ก็จะเป็นอีกแบบนึง

การรักษาอะไรบางอย่างคือการเข้าใจที่ต้นตอ ไม่ใช่การทานยาแก้ตามอาการ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าสาเหตุของอาการ ‘หมดไฟ’ ที่ว่านั้นคืออะไร ซึ่งอรพบว่าแต่ละคนก็มักจะมีจุดอ่อนบางอย่างซ้ำๆเดิม หากเราเข้าใจถึงต้นตอของอาการของตัวเองแล้ว การแก้ไขก็จะทำได้ อาการหมดไฟที่ว่าก็จะสามารถแก้ได้ในระยะยาว

13. ธีรพัฒน์ เลิศสิริประภา CEO : Kouen Sushi Bar

วิธีรับมือคือ ” ต้องอยู่กับองค์กรที่ไม่ทำให้เราหมดไฟ ”  เพราะสภาพแวดล้อมและ ‘Positive Thinking’ เป็นส่วนสำคัญ  เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มีไฟระอุตลอด  เพราะชีวิตคนเราก็เป็นเหมือนถ่าน  ถ้าร้อนไปมันก็ไม่ดี  มันต้องอุ่นๆ ระอุ แต่ลามอย่างต่อเนื่อง

ถ้าเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่ไฟกำลังมอดมันก็ไม่ดีใช่ไหม  เพราะถ้าเราอยู่ในคนกลุ่มไหนตัวเราเองก็จะเป็นแบบคนกลุ่มนั้น  ส่วนตัวมีกลุ่มเพื่อนที่เจอกันก็ชอบคุยแต่เรื่องงาน  แล้วแชร์ประสบการณ์ดีๆ ซึ่งกันและกันก็ทำให้มีพลังเสมอ

เพราะฉะนั้นอยากบอกว่าคนรอบข้างสำคัญมาก  อีกหนึ่งอย่างคือผมชอบเอาคำคมแปะรอบๆ ให้ตัวเองมองเห็น  แล้วเวลาเหนื่อยๆ หันไปดูก็จะมีสิ่งสะกิดใจให้เราสู้ต่อได้

15. พลสันต์ นกน่วม บรรณาธิการ : MangoZero , Co-Founder : GetTalks Podcast

ความหมายของคำว่า ‘หมดไฟ’ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ว่าเราให้นิยามว่าอย่างไร ถ้าหมดไฟ หมายถึง การเบื่อในสิ่งที่ทำ วิธีแก้ก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปทำแบบอื่นที่เราอยากทำใหม่ เพื่อจุดไฟอีกครั้ง

แต่กับบางคน หรืออย่างผมเองนั้น คำว่า หมดไฟ อาจหมายถึงการหมดแรงบันดาลใจมากกว่า แต่ไม่ใช่ความเบื่อจนไม่อยากที่จะทำสิ่งนั้นแล้ว เราแค่หมดแรงบันดาลใจ หมดเชื้อไฟไปเฉยๆ อาจจะเพราะเราทำงานอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมานานเกินไป จนไฟที่เคยมีมันดับลงเพราะเราไม่ได้เติมเชื้อไฟเข้าไปใหม่นั่นเอง

ดังนั้นสำหรับผมวิธีแก้เมื่อเราหมดไฟก็คือ “หยุดทำสิ่งนั้นก่อน” แล้วไปหาเชื้อมาเติมไฟ อย่างผมวิธีการเติมเชื้อไฟมันง่ายมากเลย แค่หยุดอยู่บ้าน หยิบมือถือมาไถดูอะไรไปเรื่อย คุยกับเพื่อน นอน อ่านหนังสือ หรือใช้เวลาจมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วสักพักไฟผมจะกลับมาใหม่

โชคดีที่โดยปกติเราไม่ค่อยหมดไฟเท่าไหร่ เรียกว่าไม่เคยเลยจะดีกว่า อย่างมากสุดคือแค่เกือบมอดดับเท่านั้น แต่เรายังจุดติดได้เสมอ  แต่ถ้าให้พูดจริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้เราแทบไม่เคยเจอคำว่าหมดไฟเลยก็คือเรามีเป้าหมายว่าอยากไปตรงไหนเราต้องทำให้ได้ เรามีความฝันว่าอยากทำอะไรเราก็พยายามจนไปให้ถึง

 และสุดท้าย เรามีหนี้ที่ต้องทำงานหาเงินไปใช้ ข้อสุดท้ายนี่แหละ ที่ทำให้ผมก้มหน้า ก้มตาทำงานแบบไฟไม่เคยหมดเลยมาจนถึงตอนนี้ พลังของภาระมันยิ่งใหญ่มากๆ เชื่อผม

แต่ละคนมีมุมมองที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป ซึ่งเราหวังว่าบทความนี้คงช่วยให้คุณหบุดจากภาวะ ‘หมดไฟ’ หรือช่วยในการตัดสินใจได้นะคะ 😀

 
Source: thumbsup

The post 15 ข้อคิดจากคนวงการธุรกิจ ทำงานแล้วหมดไฟ ทำอย่างไรให้ไปต่อได้ ? appeared first on thumbsup.


รู้จักกับ The Zero Publishing บริษัทสื่อออนไลน์รุ่นใหม่ เจ้าของ MangoZero, Thumbsup, ParentsOne, RAiNMaker และ GG2

$
0
0

ในวันที่ทุกสื่อต่างมุ่งหน้าเข้าหาโลกออนไลน์ ตามพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป เราได้เห็นสื่อหน้าใหม่มากมายที่เกิดขึ้นในยุคนี้ แต่ถึงอย่างนั้นในหลายๆ สื่อเองก็ยังขาดการร่วมกัน (Synergy) จนเกิดเป็นกลุ่มบริษัทสื่อที่เป็นมากกว่าเว็บไซต์หนึ่งเว็บ

Disclaimer : Thumbsup เป็นเว็บในเครือ The Zero Publishing

The Zero Publisher เป็นบริษัทสื่อออนไลน์รุ่นใหม่ ซึ่งได้เติบโตมาในโลกออนไลน์ไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสื่อที่หลากหลาย รวมถึงเจาะกลุ่มผู้อ่านทั้งแมส และกลุ่มเฉพาะทางเป็นอย่างดี โดยมีทั้งเว็บแนวไลฟ์สไตล์, แม่และเด็ก, ชุมชนนักการตลาด, เกมส์ และ ชุมชนของคนสร้างคอนเทนต์ออนไลน์

 

  • Mange Zero : เว็บข่าวโซเชียลหน้าใหม่ ที่รวมทุกกระแสบนโลกออนไลน์มาส่งต่อให้ผู้อ่านไม่ตกกระแส และสร้างสรรค์เนื้อหาสนุกๆ ให้ได้ชมตลอดเวลา

  • Parents One : เว็บไซต์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ซึ่งได้ “คุณตุ๊ก นิรัตน์ชญา” จากเพจ Little Monster ที่มีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน มาเป็นบรรณาธิการ เพื่อเป็นแหล่งรวมข้อมูลการเลี้ยงลูกที่หลากหลาย เข้าใจง่าย และเป็นการบอกต่อความเป็นจริงจากแม่สู่แม่ ในการเลี้ยงลูกยุค 4.0

  • Thumbsup in Thailand : ชุมชนของนักเรียนการตลาดตลอดชีวิต ที่จะอัปเดตข่าวสาร บทความ บทสัมภาษณ์ ตลอดจน อีเวนต์ ที่มีประโยชน์สูงสุดต่อนักการตลาดไทย

  • RAiNMaker : ชุมชนของนักสร้างสรรค์สื่อบนโลกออนไลน์ (Content Creator Community) ซึ่งเป็นเสมือนคลังความรู้สำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการเป็น Content Crater, บล็อกเกอร์, ผู้ดูแลเพจ, YouTuber รวมไปถึงความเคลื่อนไหวในวงการของนักสร้างสรรค์คอนเทนต์

  • GG2 เว็บไซต์ข่าวสารวงการเกม อีสปอร์ตและรีวิว ที่มีความเคลื่อนไหวหลากหลายที่ไม่ได้เอาใจแค่นักเล่น แต่ยังครอบคลุมถึงธุรกิจในวงการเกมด้วย

 

โดยทั้ง 5 เว็บไซต์ ถือว่าเป็นคลังความรู้แนวใหม่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบสื่อพิมพ์แบบเดิม เพราะโลกออนไลน์เปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งผู้ที่ดูแลทั้ง 5 เว็บในเครือคือ “ขจร เจียรนัยพานิชย์” หรือที่รู้จักในนาม @Khajochi บล็อกเกอร์ชื่อดัง ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Macthai และติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ไทย จัดอันดับโดยนิตยสาร LIPS

“จริงๆ แล้วผมฝันที่อยากจะทำนิตยสารมาโดยตลอด แต่เมื่อเรามาถึงในยุคนี้ที่คนอ่านเริ่มเปลี่ยนมาสู่โลกออนไลน์ เราก็ต้องปรับตาม ไอเดียคือเราอยากทำนิตยสารเฉพาะทาง แต่อยู่บนโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นในแต่ละเว็บจึงจับกลุ่มเฉพาะทาง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนไปเลย” ขจรกล่าว

นอกจากนี้ ยังมี พลสัน นกน่วม บรรณาธิการ เว็บไซต์ Mango Zero ซึ่งมีประวัติในวงการออนไลน์ไม่ธรรมดา เพราะเป็นอดีตบรรณาธิการสำนักพิมพ์ Salmon Books, อดีตบรรณาธิการนิตยสาร 247 ในเครือ GM, อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์นิตยสาร GM และ Co-Founder สถานีพอดแคสต์ GetTalks กล่าวว่า

“MangoZero มีแนวคิดว่าเราจะไม่ทำข่าวฉาวโจมตีใครเพื่อเอายอด Like ยอด Share แต่เรามีความตั้งใจว่าจะสร้างคอนเทนต์ที่ให้ประโยชน์ต่อคนอ่าน ทันกระแสสังคม เลือกนำเสนอในมุมที่สร้างสรรค์ ย่อยง่าย ได้ความรู้ ไม่สร้างความแตกแยก โดยสอดแทรกความสนุก อารมณ์ขัน รวมถึงวิธีการนำเสนอที่น่ารักในแบบแมงโก้”

การรวมหลากหลายเว็บเป็นบริษัทสื่อออนไลน์รุ่นใหม่

เมื่อถามถึงการรวมตัวหลายเว็บที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่คนอ่านและเนื้อหา การที่ทุกเว็บอยู่ในเครือเดียวกันจะมีส่วนช่วยเหลือกันได้มากน้อยแค่ไหน ?

“ปีที่ผ่านมาเราร่วมงานกับลูกค้ามากกว่า 200 ราย ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ความสนใจของคนเราเฉพาะทางมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรามีกลุ่มผู้อ่านในหลาย Target ให้ลูกค้าเลือก ยิ่งเป็นข้อดีในแง่ของการดีลงานต่างๆ เช่น ลูกค้าอยากได้กลุ่มคนรุ่นใหม่อาจจะไปที่ Mango Zero แต่พอเขามีแคมเปญเกี่ยวกับครอบครัว สามารถสลับมาลง Parents One ได้ทันที”

ขจรเล่าว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีลูกค้าที่เซ็นสัญญาระยะยาวตลอดทั้งปีจำนวนมาก รวมถึงด้วยแนวทางนี้ ตัวบริษัทเองก็เติบโตในระดับ 2 เท่าในทุกปี ทั้งในแง่ผู้อ่านและการเติบโตของรายได้

จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 เว็บไซต์ในเครือ The Zero ล้วนแล้วแต่มีความโดดเด่น ไม่ใช่เพียงเนื้อหาที่แตกต่างกัน แต่ทุกเว็บมีรูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบทความเขียนเพียงอย่างเดียว แต่มีทั้งในรูปแบบของ Photo Set, สัมภาษณ์วีดีโอ, Live, Long Form และคลิปสรุปเหตุการณ์สำคัญ เพื่อให้การนำเสนอเรื่องราวมีความน่าสนใจและแตกต่างจากเดิม

ทางด้านเป้าหมายในอนาคตของ The Zero ในฐานะ Publisher รุ่นใหม่นั้น คือ การทำให้ธุรกิจเดินหน้า เติบโตอย่างแข็งแรงและก้าวกระโดด เพราะธุรกิจสื่อออนไลน์ยุคใหม่ ยังมีมุมมองและช่องทางให้สื่อสารได้อีกมาก ด้วยบริษัทที่เต็มไปด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ ช่วยเดินหน้าธุรกิจสื่อบนช่องทางออนไลน์แบบคนดิจิทัลที่แท้จริง และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคงได้อย่างแท้จริง

ติดต่อ The Zero Publishing

  • ติดต่อโฆษณา / ฝ่ายขาว : sale [at] thezero.co.th
  • สมัครเข้าร่วมทีมงาน : The Zero Jobs
 
Source: thumbsup

The post รู้จักกับ The Zero Publishing บริษัทสื่อออนไลน์รุ่นใหม่ เจ้าของ MangoZero, Thumbsup, ParentsOne, RAiNMaker และ GG2 appeared first on thumbsup.

คุยกับ LINE TV ในวันที่คนไทยนิยม Original Content และทีวีอาจอยู่ยาก

$
0
0

เรื่องของ Original Content กำลังเป็นกระแสโด่งดัง เนื่องจากมีการลงทุนอย่างหนักหน่วงจาก Netflix ผู้ให้บริการด้านสตรีมมิ่งออนไลน์ ลงทุนด้านคอนเทนต์ไปไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้มีเนื้อหาคอนเทนต์ท้องถิ่นและเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก หรือแม้แต่ VIU ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งสัญชาติเกาหลีก็เริ่มเข้ามาเล่นในตลาด Original Content แล้ว 

สำหรับในไทยเอง ต้องยอมรับว่า LINE TV เอง ได้เข้ามาจับตลาดนี้ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน โดยซีรี่ส์เรื่องแรกที่ผลิตคือการเริ่มต้นความร่วมมือกับทาง GTH กับเรื่อง STAY ซากะ..ฉันจะคิดถึงเธอ ด้วยความร่วมมือจาก SAGA Prefectural Government และ Saga Prefecture Film Commission สร้างเรื่องและเขียนบทโดย ทรงยศ สุขมากอนันต์ และต่อเนื่องมาอีกหลายเรื่องหลายแนว

วันนี้ ทาง Thumbsup ได้รับเกียรติจากคุณกวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ ผู้อำนวยการธุรกิจคอนเทนต์ LINE ประเทศไทย มาร่วมพูดคุยและให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับท่านผู้อ่านกันค่ะ

จุดเริ่มต้นของ LINE TV

LINE TVเกิดขึ้นมา 4 ปีที่แล้ว เรายังไม่มีสตรีมมิ่งเซอร์วิสที่ชัดเจน ยกเว้น Youtube แพลตฟอร์มที่น่าจะเข้ามาในไทยได้ ซึ่งบริษัทเราเป็นลูกครึ่งและเห็นโอกาสเมื่อเราสำเร็จพอควรก็เลยเริ่มคัดเลือกคอนเทนท์เข้ามาทั้งออริจินัลและแบบรีรัน โดยตอนนี้เราก็เป็นผู้นำในตลาดนี้ เพราะใช้เวลาผลิตคอนเทนต์ใหม่ๆ มาตลอด

  • จากการทำ Original Content มา 5ปี ได้เห็นอะไร เรียนรู้อะไร

การลงทุนเป็นเรื่องของโอกาส ในประเทศมีผู้ผลิตเก่งเยอะและช่องทางไม่เยอะออนไลน์แพลตฟอร์มไม่เยอะถือว่าสำเร็จมากทั้งรีรันและ Original การมีสองแบบช่วยดึงกันและกัน

ข้อดีคือเราเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างในทดลองของใหม่ๆได้  อย่างเช่น ซีรีย์วัยรุ่นชายรักชาย ที่ตอนแรกคนไม่กล้าลงในช่องทีวีเพราะเค้าก็มีเงื่อนไขในการผลิต พอเทรนด์มาก็สามารถนำไปสร้างและฉายในช่องทีวีปกติได้

จำนวนของคอนเทนต์รีรันยังคงมีเยอะกว่า เพราะเรามีจำนวนช่องทีวีเยอะ แต่เราก็ยังมองหาผู้ผลิตรายใหม่ๆ เพราะต้องการคอนเทนต์ที่แตกต่าง หลากหลายและผู้ผลิตหลายคนก็เป็นทีมงานที่มีคุณภาพ

ซึ่งเราไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาทดแทนช่องทีวีดิจิทัล เพราะการ Disruption TV เนี่ย อาจะเป็นเพราะคู่แข่งที่เยอะขึ้น ทำให้เม็ดเงินโฆษณากระจายไปยังช่องทางใหม่ๆ เยอะขึ้น สิ่งที่เราต้องการคือการขยายฐานผู้ใช้งานมากกว่า ไม่ใช่เข้ามาทดแทนกัน ตอนนี้มีทางเลือกมากขึ้น และดูสิ่ง

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป

จากสถิติยอดรับชม LINE TV ยังคงโต 80% ทุกปี ยอดใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์โต 20-30% ทุกปี แต่ก็ยังเป็นเม็ดเงินเพียง 10% ของภาพรวมธุรกิจสื่อ

ทั้งนี้ ทุกพาร์ทเนอร์ที่เรามี เป็นการหาโอกาสใหม่ๆ เกี่ยวกับกระบวนการผลิตชิ้นงานที่จะทำออกมาและขายโฆษณาผ่านทีวีอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ถ้ามองโอกาสใหม่ๆ เช่น ขายผ่านไลน์ หรือพาร์ทเนอร์กับต่างประเทศ จะเป็นโอกาสใหม่ๆ คือต้องมองให้กว้างไม่ใช่จำกัดแค่ช่องทางเดียวอีกแล้ว

มองอย่างไรในเรื่องการแข่งขันอันดุเดือดของ Viu กับ Netflix

สิ่งที่สำคัญ Target คนละแบบ การลงทุนของเราเน้นที่คุณภาพและความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมผู้ผลิตในไทยและมีดาต้าพ้อยเยอะ

ธีมในการผลิตคอนเทนท์สำหรับเราคืออันไหนเวิร์ค หรือคิดอะไรใหม่ๆ เราสนใจ เพราะการที่เราให้คนดูฟรี แบบไม่มีแบบริเออร์ ทำให้กระบวนการผลิตต้องมองถึงกลุ่มแมสมากๆ และมีความหลากหลาย

ด้านจำนวนเราไม่ได้ผลิตเยอะ ไม่คิดจะแข่งกับทีวีดิจิทัลโดยตรง เพราะต้องการเปิดการทดลองคอนเทนท์ใหม่ๆ ที่ไม่มีใครทำ เปิดกว้าง และยังลองได้หลายอย่าง

กลยุทธ์ปีนี้

เรายังคงเปิดกว้างที่จะหาพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เสมอ โดยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา มีความร่วมมือกับทีม Barecave ของ Ookbee ในการผลิตซีรี่ส์ ยังมีทีมของปู ไปรยา ทีมกันตนา และในขณะเดียวกันก็ยังมองหาความร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นงานที่น่าสนใจต่อเนื่อง

ด้านจำนวนในการผลิตไม่ได้คิดจะเน้นด้านปริมาณให้มากขึ้นเพื่อมาแข่งกับใคร แต่เน้นคอนเทนต์ที่น่าสนใจมากกว่า เรายังอยากได้เนื้อหาที่หลากหลาย

 

 

 
Source: thumbsup

The post คุยกับ LINE TV ในวันที่คนไทยนิยม Original Content และทีวีอาจอยู่ยาก appeared first on thumbsup.

WERK ธุรกิจพัฒนาพื้นที่ว่างบนบีทีเอส ให้ออกมา ‘เวิร์ค’กว่าเดิม

$
0
0

WERK คือแหล่งรวมร้านค้าออนไลน์ที่มีหน้าร้านจริงๆ อยู่บนสถานีของบีทีเอส  ภายใต้แนวคิด “Every Store is a Story” (ทุกร้านคือเรื่องราว) ความน่าสนใจคือที่เป็นทีมของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อว่าแบรนด์ยุคใหม่สร้างความแตกต่างได้ด้วยเรื่องราวและแนวคิด จึงได้จัดสรรพื้นที่บนสถานีรถไฟฟ้าให้คนรู้สึกสนุกสนานกับการเดินทางมาที่ร้านด้วยตัวเอง  แม้ในยุคของการสั่งสินค้าออนไลน์  ลองมาคุยกับกาณฑ์ สมบัติศิริ และ ภวินท์ สิงหละชาติ กันดีกว่าว่าทำไมพวกเขาถึงได้เริ่มธุรกิจนี้กัน

จุดเริ่มต้นของการทำ WERK

เกิดจากการที่ได้เดินผ่านไปผ่านมาแถวๆ พื้นที่บนบีทีเอส  จนเกิดเป็นความรู้สึกว่าพื้นที่ตรงนี้มันค่อนข้างจะมีค่า  และเหมือนพื้นที่ทองเจ๋งๆ  ซึ่งสิ่งที่เรามองมันคือว่าเหตุผลการออกจากบ้านของเด็กสมัยใหม่ใรทุกวันนี้ค่อนข้างยาก  และที่ที่เดียวที่สามารถรวมกลุ่มคนได้เป็นล้านๆ คนต่อวันนั่นคือบีทีเอสนั่นเอง

คอนเซปต์ของ WERK

คำว่า ” WERK” ก็จะเห็นสะกดแตกต่าง  โดยโลโก้ของเราจริงๆ จะเป็นเหมือนบันได  เพราะเราเป็นเหมือนบันไดเพื่อเป็นแพลนต์ฟอร์มให้แบรนด์ที่เข้ามา  หรือว่าให้ไปเติมเต็มสู่ความสำเร็จของแบรนด์นั้นจริงๆ

นิยามของ WERK คืออะไร?

ที่เราวางตำแหน่งตัวเองไว้จริงๆ มันคือ ‘ตัวขายปลีก’ มากกว่า  คือเราใช้พื้นที่เป็นเหมือน ‘Pop-up Retail’ นั่นคือเชื่อมต่อกับบรนด์  แล้วแบรนด์ก็จะใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นเหมือนเครื่องมือสื่อสาร  หรือว่าใช้เป็น Marketing Tool  ซึ่งเราอยากให้มองว่าร้านที่ตั้งเหมือนเป็น ‘3D Billboard’ ที่แบรนด์สามารถใช้พื้นที่ตรงนี้การโต้ตอบกับลูกค้าได้  เพราะรู้สึกว่ามันให้ประโยชน์ได้

จุดเด่นของธุรกิจให้เช่าพื้นที่ของ WERK

อย่างที่บอกคือจุดเด่นของเราเป็น “การใช้พื้นที่ตรงรนี้ให้กลายมาเป็น Marketing Tool” เช่น ทำอย่างไรให้เขา Lead กลับไปที่ออนไลน์ได้  อย่างง่ายๆ ที่เราเจอก็คือแบรนด์ทำ Facebook Live ที่นี่  ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ลูกค้าสามรถมีปฎิสัมพันธ์กับเจ้าของได้จริงๆ

ผมว่าสิ่งที่ออนไลน์ไม่สามารถทำได้ก็คือการทำ ‘Community’ ที่เป็นปฎิสัมพันธ์ของมนุษย์จริงๆ  โดยเรารู้สึกว่าออฟไลน์ตรงนี้ชนะขาด  และทุกๆ ปียอดของร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาก็เกิดขึ้นทุกปี  ซึ่งก็มองว่าสิ่งที่ร้านค้าออนไลน์พวกนี้สามารถนำเสนอได้นอกจากแค่ Pixle กับ Sound ก็คือ ‘หน้าร้าน’

เพราะเรารู้สึกว่าการไปออนไลน์อย่างเดียววิธีการอยู่รอดในทุกวันนี้มันยากขึ้นสำหรับแบรนด์  หรือไปแต่ออฟไลน์ไม่ใช้ออนไลน์เลยมันก็มีความค่อนข้างท้าทาย

แล้วมีวิธีการเลือกร้านมาลงอย่างไร

พยายามเลือกแบรนด์ที่มาอยู่ด้วยกันแล้วช่วยกัน  โดยทุกแบรนด์ก็จะมีเรื่องราวที่ตัวเองอยากจะเล่า  และก็นำแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายใกล้ๆ กัน  รวมทั้งมองไปถึงว่าคนที่ใช้บีทีเอสอยู่เป็นคนกลุ่มไหน มีคาร์แรคเตอร์ประมาณไหน  สุดท้ายก็เลือกออกแนวไลฟ์สไตล์หน่อย  และเป็นพวกสินค้าแฟชั่นที่คนซื้อกันอยู่แล้วตลอดเวลา

แล้วทำไมลูกค้าในออนไลน์ต้องมาที่หน้าร้านอีก

ในส่วน Journey ที่เรามองคือแบรนด์จะโปรโมทมาตั้งแต่ออนไลน์เลย  ตัวอย่างร้านที่เข้ามาขายรูปสินค้าก็จะขึ้นไปอยู่ใน Instagram หรือ Facebook Account ของเขา  แล้วลูกค้าก็จะเลื่อนดูว่ามีสินค้าตัวไหนที่น่าสนใจ  จากนั้นก็จะค้นหาว่าถ้าเกิดมาลองสินค้าจริงนั้นจะลองได้ที่ไหนบ้าง  ซึ่งกระบวนการที่เราตั้งใจคือให้มาง่ายที่สุด สะดวกที่สุด นั่นคือก็บีทีเอส

คนที่มาใช้บริการเป็นแบบไหน

เราเห็นว่าโฟลว์คนที่มาจะเป็น “คนที่ใช้สถานีนี้อยู่แล้ว” โดย Journey ของเขาจะเหมือนสำรวจมาแล้วว่ามีแบรนด์อะไรน่าสนใจ อยากซื้อ อยากลอง แล้วเขาก็เดินทางมาแล้วแวะลงมาตรงนี้มาดูของกันแล้วเดินทางกลับด้วยบีทีเอส  ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาด้วยบีทีเอสอยู่แล้วก็จะอยู่กันแบบ 30-40 นาที หรือเดินหลายๆ ร้านก็อาจเต็มที่หนึ่งชั่วโมง

แผนการทำธุรกิจของ WERK 

ภายในปีสองปีนี้เราอยากไปได้ทั้งหมดตามแนวที่รถไฟฟ้าโต  เพราะเราอยากไปอยู่ในทุกๆ ที่ที่เข้าถึงกลุ่มคน  ที่ในที่สุดเรามองว่าสิ่งที่เราอยากเป็นจริงๆ คือเราต้องการเชื่อมโยงแบรนด์  หรือไอเดียเจ๋งๆ ให้กับพื้นที่ที่มันน่าสนใจ

โอกาสเติบโตของธุรกิจนี้

เรามองว่าอนาคตของห้างค้าปลีกต่างๆ นั้นถ้าเกิดดูกระแสจากต่างประเทศ  จะมีความค่อนข้างชิฟมาทาง Pop-up Retail เพราะว่า Frequency ต่างๆ ที่เรารู้สึกว่าต้องเร็ว  เพราะพฤติกรรมของเด็กยุคใหม่นั้นค่อนข้างเปลี่ยนไป  ซึ่งวันหนึ่งอาจจะดู Facebook เล่น LINE ดู Netflix มันโดนล่อใจด้วยเทคโนโลยีพวกนี้หมด

เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ทำให้เรามองเห็นว่ามีโอกาสซ่อนอยู่ในทุกๆ อย่างเสมอ  โดยขอเพียงช่างสังเกตและคิดต่อยอดจากสิ่งเดิมๆ ให้มากขึ้นค่ะ

ชมคลิปสัมภาษณ์ :

 
Source: thumbsup

The post WERK ธุรกิจพัฒนาพื้นที่ว่างบนบีทีเอส ให้ออกมา ‘เวิร์ค’ กว่าเดิม appeared first on thumbsup.

Data Breaches โจมตีคนโซเชียล MFEC เผยสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์

$
0
0

เรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานโซเชียลมีเดียนั้น คนไทยเริ่มที่จะตื่นตัวกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากเจอปัญหาเรื่องการขโมยข้อมูล ทาง MFEC, Symantec และ Deloitte จึงได้แท็กทีมกันออกมาพัฒนาโซลูชั่นสำหรับธุรกิจที่ไม่อาจละเลยเรื่องความปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ไม่กระทบการใช้งานของพนักงาน

โดยในงานสัมมนา BOT CSEC 2019 Cyber Security for Digital Citizens เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยขององค์กรธุรกิจ ได้มีวิทยากร 3 ท่านคือ ดำรงศักดิ์ รีตานนท์ Chief Cyber Security Officer จาก MFEC, ดร.รัฐิติ์พงษ์ พุทธเจริญ หัวหน้าทีมวิศวกรระบบ บริษัท ไซแมนเทค ประจำประเทศไทยและ CLM , ปาริชาติ จิรวัชรา ที่ปรึกษาด้านบริหารความเสี่ยง บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย มานำเสนอประเด็นที่น่าสนใจมากมายเลยค่ะ

ใครคือจุดอ่อนที่สำคัญ

Gartner เคยให้คำนิยามไว้ว่า

 

“Blockchain, quantum computing, augmented analytics and artificial intelligence will drive disruption and new business models”

 

นั่นแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีใหม่ จะเข้ามาทำลาย (Disrupt) หรือสร้างโอกาส (Startup) อยู่ที่ฝ่ายบริหารจะเลือกกำหนดโอกาสและเป้าหมายของธุรกิจ โดยจะเลือกการวิ่งตามให้ทันหรือเดินหน้าก่อนก้าวหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางธุรกิจก็ต้องวางแผนให้ดี

ทั้งนี้ หลายธุรกิจขนาดใหญ่ล้วนเคยเจอผลกระทบจากการรั่วไหลของข้อมูล ที่มาจากทีมงานหรือบุคลากรภายใน ซึ่งเรียกได้ว่า ทีมงานที่อยู่ในองค์กรของเรานั้น อาจเป็นเหตุผลหรือปัจจัยหลักที่ต้องสูญเสียข้อมูลสำคัญ ดังนั้น การจัดลำดับชั้นความสำคัญของข้อมูลน่าจะช่วยเรื่องความปลอดภัยได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่อง Data Breaches หรือ การละเมิดข้อมูลส่วนตัว หรือการถูกปล่อยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่เป็นความลับไปสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ได้ตั้งใจ จนก่อให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการถูกแฮกข้อมูลนั้น เรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ

พนักงานหรือคนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายไอทีหรือฝ่ายซีเคียวริตี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อยู่ที่ทุกหน่วยงานภายในองค์กรควรตระหนักถึงปัญหา และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการเชื่อมต่อแต่ละครั้ง หรือแต่ละสถานที่

อย่างไรก็ตาม Data Breaches ที่ส่งผลกระทบด้านข้อมูลรั่วไหล จะเปลี่ยนรูปแบบไปทำให้องค์กรต่างๆ มองหาการควบคุมที่เคร่งครัดและรัดกุมขึ้น นั่นก็ส่งผลเชิงลบต่อผู้ใช้งาน เพราะเขาจะรู้สึกโดนกดดันในการใช้งานมากเกินไป ซึ่งฝ่ายซีเคียวริตี้ก็ต้องเข้าไปวางแผนให้ดีตั้งแต่ต้น

A New Attack Surface Data Breach 2019

ดำรงศักดิ์ รีตานนท์ Chief Cyber Security Officer, MFEC

หลายคนคงอาจคิดว่าการรักษาความปลอดภัย ด้วยวิธีการ 4 แบบ ดังต่อไปนี้ จะปลอดภัย อาจต้องมองและคิดใหม่อีกครั้ง เพราะตอนนี้แฮคเกอร์กำลังใช้กลยุทธ์ในการโจมตี ผ่านความปลอดภัย 4 รูปแบบนี้เสียแล้ว

  1. ลายนิ้วมือ อาจไม่ปลอดภัยอีกแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้หลายคนมองว่าการยืนยันตัวตนด้วยลักษณะทางกายภาพถือว่าปลอดภัยและดีที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่ามุขขโมยลายนิ้วมือที่เคยเห็นกันในละครหรือภาพยนตร์ กลายมาเป็นเรื่องจริงในการขโมยข้อมูลของแฮคเกอร์ได้แล้ว เพียงแค่ 150 เหรียญ แฮคเกอร์สามารถซื้อขาย Face ID ในตลาดมืดได้แล้ว ยิ่งความฉลาดของระบบในการให้คุณสแกนใบหน้าทุกอากัปกริยา ยิ่งหมายถึงการก็อปปี้ตัวคุณบนโลกดิจิทัลไว้ให้ขโมยข้อมูลแบบสบายๆ
  2. Skimming ที่ไม่ต้องไปขโมยหน้าตู้ ATM การทำ Digital Skimming ผ่านซอฟต์แวร์กลายเป็นเรื่องที่ง่ายเพียงปลายนิ้ว เพียงคุณฝาก Password สำคัญ ไว้ในสมาร์ทโฟนหรือคลาวด์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่แฮคเกอร์จะเข้าไปหยิบมาใช้อีกแล้ว
  3. Internet Of Thing หรือความสะดวกสบายของผู้ใช้งานย่อมเป็นความสะดวกสบายของแฮคเกอร์เช่นกัน ยิ่งการที่เราใช้ปลายนิ้วสแกนเข้าประตู หรือใช้การตั้งเวลาใดๆ ผ่านใบหน้าเพื่อให้แอร์เปิดให้คุณใช้งานย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากสำหรับชุมชนแฮคเกอร์ในการเข้าไปช่วยขโมยความเป็นตัวตนของคุณ
  4. ชุมชนของนักเล่นเกม หรือสถานที่แลกเปลี่ยนไอเท็มในเกม อาจเป็นชุมชนในการแลกเปลี่ยนตัวตนของคุณตลอดไปก็ได้

7 THINGS THAT CAN NEGATIVELY IMPACT YOUR SECURITY CULTURE

อย่างไรก็ตาม การโจมตีของแฮคเกอร์ในยุคนี้ จะเริ่มเจาะจงไปที่ตัวบุคคลที่มีความสำคัญภายในหน่วยงานมากขึ้น ดังนั้นทางบริษัทจึงควรทำตามแผนทั้ง 7 ด้าน ดังนี้

  1. การวางแนวทางร่วมกัน (Alignment) : การสร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบในการทำงานย่อมกระทบกับผู้ใช้งาน ฝ่ายไอทีหรือทีมซีเคียวริตี้จึงควรเดินไปด้วยกันกับพนักงาน และร่วมกันเข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น เพื่อรู้ปัญหาและลดปัญหาระหว่างทาง
  2. การวัดผล (Measurement) : การคำนึงถึงแต่ KPI อาจส่งผลให้มีความเสียหายได้เช่นกัน เพราะแต่ละทีมย่อมมีเป้าหมายหรือแนวทางที่ต่างกัน จึงไม่ควรมองแค่ความสามารถของทีม แต่ให้มองถึงการทำงานร่วมกันของคนในทีม
  3. ที่มา (Origins) : ถ้านโยบายด้านความปลอดภัยเกิดขึ้นจากการประกาศของฝ่ายบุคคล ความอยากมีส่วนร่วมของพนักงานจะน้อยกว่าการพยายามผลักดันของ ซีอีโอ นั่นหมายถึง หากผู้บริหารองค์กรใส่ใจเรื่องความปลอดภัยอย่างแท้จริงก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
  4. ความเหมาะสม (Momentum) : ให้น้ำหนักกับแต่ละปัญหาอย่างเหมาะสม และดูโครงสร้างด้านความปลอดภัยของแต่ละฝ่ายให้ทั่วถึง
  5. ความมุ่งมั่นและแรงจูงใจส่วนตัว (Personal commitment and Incentives) : ให้ลำดับความสำคัญกับพนักงานในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
  6. สื่อสารอย่างเหมาะสม (Communication Silos) : ให้ความสำคัญในการสื่อสารกับพนักงานแต่ละฝ่ายอย่างเหมาะสม รวมทั้งให้เครื่องมือในการทำงานที่มีกรอบชัดเจน
  7. ใจเขาใจเรา (Eating Your Own Dog Food) : การเปลี่ยนแปลงบางอย่างต้องไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเป็นการทำงานร่วมกันของคนในองค์กร

ส่งข้อมูลผิดคือปัญหาข้อมูลรั่วไหล

ปาริชาติ จิรวัชรา ที่ปรึกษาด้านบริหารความเสี่ยง บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญของ Data Breached คือ การส่งข้อมูลไปผิดยังเป้าหมาย แม้ว่าการส่งผิดจากเราซึ่งไม่ใช่แฮคเกอร์นั้น จะไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวล แต่แนวทางนี้ได้มีแฮคเกอร์บางรายได้แกล้งส่งข้อมูลผิดมา ส่งลิ้งแปลกให้เข้าไปแก้ไขข้อมูลส่วนตัว โดยบอกว่าเป็นอีเมล์จากหน่วยงานสำคัญ หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ

จากการเก็บข้อมูลของ บริษัท ดีลอยท์ พบว่า ทุก 72 นาทีมีการส่งข้อมูลผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอ ยิ่งบ้านเราไม่ได้มีกฏหมายคุ้มครองด้านข้อมูลส่วนตัวของบุคคลบนโลกออนไลน์ ยิ่งเป็นปัญหาเรื่องความปลอดภัยสูงมาก

ยิ่ง Data มีค่ามากกว่าน้ำมัน นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเพิกเฉย แม้ว่า Data จะไม่ใช่ทรัพย์สินที่เราสามารถแบ่งแยกลำดับขั้นความสำคัญได้ แต่เราสามารถแบ่งลำดับของคนที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ ควรมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น หากคุณมี Private Cloud สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญ ก็ต้องระวังในการเข้าถึงข้อมูลของคนในองค์กรด้วย

เพราะช่องโหว่บนคลาวด์เกิดขึ้นได้ทุกวัน และช่องโหว่ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็มาจากการเข้ารหัสผ่าน User ID นั่นเอง

นอกจากนี้ เมื่อเจอปัญหาด้านการรั่วไหลของข้อมูลเกิดขึ้นแล้ว ทีมซีเคียวริตี้ควรมองวิธีการแก้ปัญหาแบบภาพรวมมากกว่าแค่การแก้ไขปัญหาทีละจุด เพราะนั่นไม่ช่วยให้ป้องกันปัญหาในระยะยาวได้

อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรมักจะตกม้าตายในส่วนของปัญหาพื้นฐาน (Fundamental) อย่างเช่น พาสเวิร์ด หรือ การวางโซลูชั่นหรูหราแต่ไม่เหมาะสมกับการใช้งานของพนักงานในองค์กรก็เป็นได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องการเตือนให้ทีมซีเคียวริตี้เพิ่มความระมัดระวังให้แก่ผู้ใช้งานก็คือ

  • อย่า Install Program ที่ไม่น่าไว้วางใจ
  • อย่ากดเข้าไปในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือมีคนแปลกหน้าส่ง link มาให้
  • ก่อนจะกด Accept เพื่อนใหม่ในเฟสบุค ให้เข้าไปสืบประวัติก่อน ไม่งั้นอาจโดนยืมเงินได้
  • Pop up ที่โผล่ขึ้นมาระหว่างการอ่าน Feed ให้หลีกเลี่ยงหรือยกเลิกแทนที่จะเข้าไปดู
  • อย่าพยายามเปิด Attach File จากอีเมล์ของคนที่ไม่รู้จัก
  • ท่องและทำ 5ส กับคอมพิวเตอร์ของคุณให้มั่น
  • Wi-Fi ฟรีไม่มีในโลก การเชื่อมต่อแลกกับข้อมูลส่วนตัว
  • อย่าไป คลิก ดู แชร์ คอนเทนต์ที่คลิกเบตและไม่มั่นใจในต้นทาง

ความร่วมมือที่ช่วยให้องค์กรปลอดภัย

ดร.รัฐิติ์พงษ์ พุทธเจริญ หัวหน้าทีมวิศวกรระบบ บริษัท ไซแมนเทค ประจำประเทศไทยและ CLM

นอกจากนี้ การร่วมมือกันของ 3 หน่วยงานคือ MFEC, Deloitte และ Symantec นั้น เป็นเพราะการที่ทั้งสามฝ่ายมองเห็นปัญหาด้านซีเคียวริตี้ที่มีมาอย่างยาวนาน และไม่มีการดูแลที่ชัดเจน หากต่างฝ่ายต่างเข้าถึงลูกค้าและขายแต่โซลูชั่น ระบบการทำงานจะไม่เชื่อมต่อกัน

ทั้งนี้ เรื่องของการทำ Data Protection ต้องใช้เวลานาน หากมีการร่วมมือกันย่อมลดเรื่องของเวลาและเพิ่มโอกาสด้านความปลอดภัยได้ดีขึ้น

โดยทาง Deloitte จะเป็นทีมจัดลำดับชั้นความสำคัญของข้อมูลภายในองค์กรว่าจะมีขั้นลำดับอย่างไร มีฝ่ายหรือทีมงานใดที่จะเข้าถึงได้บ้าง จากนั้นไซแมนเทคจะนำโซลูชั่นที่เหมาะสมเข้าไปควบคุมในแต่ละขั้นตอน และบริหารจัดการให้การเข้าถึงชั้นของข้อมูลของแต่ละบุคคลมีความปลอดภัยขั้นสูง ส่วน MFEC จะเข้ามาช่วยด้านการนำเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมแก่ลูกค้าและแนะนำในเรื่องของ Policy ที่แต่ละองค์กรควรนำไปปรับใช้ จากนั้นก็ deliver ข้อมูลให้ลูกค้า

การทำงานร่วมกันของทั้งสามฝ่าย นอกจากจะเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบซีเคียวริตี้ภายในองค์กรแล้ว ยังถือว่าช่วยให้องค์กรเดินหน้าธุรกิจได้อย่างมั่นคงในยุค Digital ที่เข้ามา Disruption ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวด้วย

https://www.experian.com/assets/data-breach/white-papers/2019-experian-data-breach-industry-forecast.pdf
https://www.devseccon.com/blog/2018/07/25/7-things-that-negatively-impact-security-culture/

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post Data Breaches โจมตีคนโซเชียล MFEC เผยสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ appeared first on thumbsup.

#ชาวเน็ตเป็นคนใส่ใจ Wisesight สรุปเทรนด์โซเชียล 2019 พบคนใช้งานโกงอายุกันมากกว่าประชากรจริง

$
0
0

กลับมาอีกปีสำหรับ Thailand Zocial Award 2019 รางวัลสำหรับแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการสื่อสารได้ดีที่สุดในรอบปี โดยในปีนี้ ทางบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ผู้นำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลด้านโซเชียลมีเดีย ประกาศชัดว่าผู้ที่ได้รับรางวัลทุกท่าน ทุกแบรนด์ มาจากเสียงของประชาชนที่ใช้งานโซเชียลมีเดียและมีการพูดถึงแบบไม่ได้โฆษณา ทำให้ผู้ที่ได้รับรางวัลหลายคนเป็นคนที่โดนใจกระแสสังคมและเชื่อถือได้

กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียในยุคนี้ สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งการแชท แชร์หรือเชิงธุรกิจ ดังนั้น โซเซียลมีเดียจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางในการสื่อสารที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด

เจาะลึกเทรนด์ออนไลน์ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เทรนด์โซเชียลในปีนี้ ปริมาณของเนื้อหายังคงเข้มข้นขึ้นด้วยกระแสการเมือง คนในโซเชียลยังคงเป็นคนรุ่นใหม่ที่อาจจะไม่ได้ใส่กรอบเรื่องของ demographic ให้ชัดเจนได้แล้วว่า คนใช้งานส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนีพ่อแม่มาเล่นหรือไม่ แต่จากสิ่งที่พวกเขาโพสต์ นอกจากศิลปินเกาหลี ก็จะเป็นเรื่องของวงการศึกษา มหาวิทยาลัย การสอบ ชีวิตความรัก ซึ่งเห็นชัดจากบริบทของแต่ละช่วงชีวิต

นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้อาจเรียกได้ว่ามีสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งแรก ทำให้มีการค้นหาข้อมูลและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ดั้งเดิมว่ามีความเป็นมาอย่างไร ผูกโยงกับกระแสของยุคสมัย ทำให้ยากที่จะฟันธงว่าช่วงอายุที่แน่ชัดอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะบางยูสเซอร์ไม่ได้กรอกข้อมูลด้านอายุจริง แต่ภาพรวมของอายุคนเล่นโซเชียลมีเดีย ยังคงเป็นช่วงอายุเดิมคือ 24-35 ปี

ทั้งนี้ ผู้บริโภคในแต่ละปีมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทำให้การทำคอนเทนต์ที่เหมาะสมในแต่ละโซเชียลอาจจะแตกต่างกัน บางประเทศอาจใช้งานทั้ง Facebook Twitter Instagram ในการเข้าถึงลูกค้า แต่บางประเทศอาจเจาะเฉพาะช่องทางใดช่องทางหนึ่งที่มองว่าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการมากกว่า

ดังนั้น สิ่งที่แบรนด์หรือธุรกิจควรโฟกัสให้ถูกจุดคือ ช่องทางไหนที่เหมาะสม เพราะการทำงานของแต่ละโซเชียลจะมีเสน่ห์ที่ต่างกัน ต้องมีทีมงานเข้ามาช่วยปรับใช้ให้เหมาะกับธุรกิจที่กำลังบริหารอยู่

นอกจากนี้ เทรนด์ที่เห็นชัดจากการที่หลายแบรนด์สามารถเชื่อมโยงความเป็นออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน เห็นได้จาก กระแสออเจ้า ที่ช่วยปลุกกระแสการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้ดีขึ้น หรืออย่าง ถ้ำหลวง ที่เรื่องราวเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในโลกออนไลน์ในไทยส่งต่อข้อมูลกัน จนสามารถมีคนจากทั่วทุกมุมโลกที่ทราบข่าวเข้ามาช่วยเหลือน้องๆ ทั้ง 13 คน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเสียงของคนบนโลกออนไลน์เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น

ทางด้านของวงการการเมืองนั้น พลังโซเชียลจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศหรือพลิกโอกาสบางอย่างได้หรือไม่นั้น หากเป็นในเมืองไทยยังไม่สามารถวัดผลได้ ต้องรอดูหลังการเลือกตั้ง แต่ในสหรัฐอเมริกาหรืออีกหลายประเทศนั้น เรียกได้ว่า ช่วยเปลี่ยนมืออย่างมาก เพราะโซเชียลมีเดียเข้ามาช่วยโน้มน้าวได้อย่างตรงจุด

บางอย่างหลายคนไม่สามารถพูดได้ในชีวิตประจำวัน ทำให้พวกเขาต้องแชร์หรือบอกต่อสิ่งที่อยากจะพูดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและบางครั้งคำพูดเหล่านั้น อาจกระแทกใจคนที่คิดตรงกัน หรือสร้างข้อมูลใหม่ให้เกิดการถกเถียงจนเกิดข้อมูลที่น่าสนใจในแง่มุมที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้

สิ่งที่นักการตลาดควรตามเทรนด์การใช้งานหรือพฤติกรรมของคนโซเชียลให้ทันคือ ใช้ความไม่เหมือนกันของคน มาเจาะความต้องการของลูกค้า และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยคิด วิเคราะห์ข้อมูล เพราะหนึ่งคนมีหนึ่งสมอง แต่เทคโนโลยีอย่าง AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ ช่วยลดภาระในการวิเคราะห์ให้สั้นลง และนำไปต่อยอดได้ดีกว่าเดิม

เสียงของคนโซเชียล

จากการเก็บข้อมูลในปีที่ผ่านมาพบว่า จำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดียมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนข้อความที่มีการโพสต์และส่งต่อกันสูงถึง 5,300 ล้านข้อความ เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 ข้อความ/นาที เติบโตขึ้นถึง 47% และแบ่งเป็นส่วนของการโพสต์ภาพถึง 230 ล้านภาพ

เครื่องมือใหม่ที่น่าสนใจ

โดยทาง Wisesight ได้เพิ่มความสามารถของระบบ AI ในการตรวจจับโลโก้ในภาพ หรือแบรนด์ที่ปรากฏขึ้นตามช่องทางต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าแบรนด์หรือลูกค้าที่คุณดูแลอยู่ มีทิศทางของการรับรู้จากคนในโลกออนไลน์ไปในรูปแบบใด

ทั้งนี้ ระบบใหม่ของบริษัทที่ชื่อว่า Social Seeing คือนอกจากรับฟังผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า Social Listening แล้ว ยังสามารถมองเห็นผ่านภาพได้อีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น งาน Money Expo 2019 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการตรวจจับโลโก้ของแบรนด์ต่างๆ ผ่านรูปภาพบรรยากาศของการจัดงานและเซเลบริตี้ ที่เข้าร่วมงาน พบว่า ภาพที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ 82% มาจากคนดังที่เข้าร่วมงาน 11% มาจากการส่งข่าวประชาสัมพันธ์ และที่เหลืออีก 4% มาจากกิจกรรมภายในบูท หากแบรนด์หรือผู้จัดงานท่านใด สามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมก็จะกลายเป็นช่องทางการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำข่าวหรือโฆษณาแบบเดิม

นอกจากนี้ ด้วยเทรนด์ที่ทางบริษัทพบในโลกออนไลน์และสรุปความเห็นในรอบปีที่ผ่านมาได้ว่า #ชาวเน็ตเป็นคนใส่ใจ ไม่ว่าเทรนด์หรือเรื่องฮิตในวันนี้คืออะไร กระแสบนโซเชียลไปเร็ว บางครั้งในหนึ่งวันมีหลายเทรนด์เกิดขึ้น เราก็เลยพัฒนาเครื่องมือเพื่อนับ engagement แบบเรียลไทม์ทำให้ได้เห็นโพสต์ ไลค์ แชร์ คอมเม้น สูงมาก ในแต่ละช่องทางไม่ว่าจะเป็น เฟสบุค ทิวตเตอร์ ไอจี พันทิพ และยังเปิดให้เข้าไปเช็คกระแสได้ฟรีแบบยังไม่มีกำหนดและไม่ได้คิดแพคเกจค่าบริการด้วย

หากเปรียบเทียบกับ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจับคู่การค้นหาจากสิ่งที่คนต้องการ trend ของไวซ์ไซท์ คือการสรุปสิ่งที่คนต้องการมาไว้ให้ในมือคุณ

ดังนั้น คนที่สนใจอยากทดลองเช็คกระแสเทรนด์ยอดนิยมก็เข้าไปใช้งานได้ฟรีที่ trends.wisesight.com

 
Source: thumbsup

The post #ชาวเน็ตเป็นคนใส่ใจ Wisesight สรุปเทรนด์โซเชียล 2019 พบคนใช้งานโกงอายุกันมากกว่าประชากรจริง appeared first on thumbsup.

การเติบโตของ Grab บนเส้นทางการเดินทางของแอพเรียกรถ สู่ซูเปอร์แอพที่ตอบสนองความต้องการในทุกวันของผู้ใช้

$
0
0

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณหกปีที่แล้ว ในการเดินทางที่ถ้าไม่มีพาหนะส่วนตัว  ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจแต่เนิ่นๆ เพราะไม่รู้ว่าวันนี้จะได้เริ่มเดินทางเวลาไหน มีรถไปไหม จะส่งของก็ต้องไปที่ไปรษณีย์ไม่ก็ยกหูหาคนส่งของ หรือพอหิวจะทานอาหาร ถ้าไม่ได้ไปทานข้างนอก หรือจะสั่งอาหารให้มาส่ง ตัวเลือกก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ปัจจุบัน แอพพลิเคชั่นอย่าง ‘แกร็บ’ ได้เข้ามามีส่วนในการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน  และเชื่อมต่อไลฟสไตล์ต่างๆ ในแต่ละวันเข้าไว้ด้วยกัน

ทุกวันนี้เราสามารถเรียกบริการจัสท์แกร็บ (JustGrab) ระหว่างแต่งตัวหรือทานอาหารเช้าเพื่อเดินทางไปทำงาน สั่งอาหารกลางวันพร้อมรับประทานอย่างสะดวกสบายที่บริษัทด้วยแกร็บฟู้ด (GrabFood) ไปประชุมนอกบริษัทด้วยความรวดเร็วด้วยแกร็บไบค์วิน (GrabBike Win) และส่งของขวัญให้คนที่คุณรักระหว่างวันด้วยแกร็บเอ็กซ์เพรส (GrabExpress) แถมไม่ต้องควักเงินสดเพราะจ่ายผ่านแกร็บเพย์ (GrabPay) เสาร์อาทิตย์

ถ้าคิดไม่ออกว่าจะไปไหนก็สามารถเปิดแอพแกร็บเพื่ออ่าน GrabDaily หน้าฟีดที่จะแนะนำสถานที่และเทศกาลที่น่าสนใจ หรือถ้าเงินสดไม่พอแต่อยากทานของหวานก็เอาคะแนนในโปรแกรมสะสมคะแนนแกร็บรีวอร์ดส (GrabRewards) ไปแลกทานได้

จะเห็นได้ว่าจากจุดเริ่มต้นของการเป็นเพียงแอพเรียกรถ ปัจจุบัน แกร็บ ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่ร่วมสร้างสรรค์เมืองอัจฉริยะและสังคมแบบไร้รอยต่อ และซูเปอร์แอพที่รวบรวมหลากบริการไว้ในแอพเดียว ทั้งบริการเดินทางที่มีตัวเลือกยานพาหนะที่หลากหลาย บริการรับส่งอาหาร บริการขนส่ง บริการชำระเงินผ่านบัตร และบริการทางการเงินสำหรับผู้ใช้ภายในแอพพลิเคชั่นเดียว

จากตัวเลขดาวน์โหลดกว่า 136 ล้านครั้งในภูมิภาคและหลายล้านผู้ใช้ในประเทศไทย แกร็บ ได้รับเสียงตอบรับที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ เสมอมาทั้งจากพันธมิตรชั้นนำและผู้ใช้ อาทิ ความสำเร็จล่าสุดในแคมเปญใหญ่อลังการรับตรุษจีน “แกร็บ เฮง เฮง เฮง แจกทีกว่า 100 ล้าน” ช่วงวันที่ 4 – 10 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งมีผู้ใช้งานและผู้ประกอบการร่วมกิจกรรมมากกว่า 3 ล้านรายในช่วงระยะเวลาแคมเปญเพียงเจ็ดวัน 

ซึ่งต้องคอยจับตามองการเติบโตของแกร็บกันต่อไป เพราะเป้าหมายของแกร็บคือตอบแทนสังคมไทยและคนไทยทุกคนที่อยู่เคียงคู่เราในเส้นทางการเดินทางของการพัฒนาของเราเสมอมาและตลอดไป

 

 
Source: thumbsup

The post การเติบโตของ Grab บนเส้นทางการเดินทางของแอพเรียกรถ สู่ซูเปอร์แอพที่ตอบสนองความต้องการในทุกวันของผู้ใช้ appeared first on thumbsup.

เคล็ดลับความสำเร็จ “แกมโบล”แบรนด์ไทยฮิตระดับโลก

$
0
0

หากเอ่ยถึงแบรนด์รองเท้าแตะ ที่ทำโดยเจ้าของธุรกิจชาวไทยอย่างแท้จริง เรียกว่ามีจำนวนไม่เยอะมาก อาจเพราะเป็นสินค้าแฟชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงของแบรนด์บ่อยครั้ง และแบรนด์ที่ครองใจลูกค้าได้ยาวนาน ต้องมีชื่อของ “แกมโบล” ติดอยู่ในโผแน่นอน

จุดเริ่มต้นคนขายรองเท้า

สุรชัย กิจกำจาย ประธานกรรมการ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด ได้เล่าให้ฟังว่า ฐานะครอบครัวในอดีตยากจนมาก่อน ก็เลยพยายามหาสินค้าออกมาขายและริเร่ิมทำธุรกิจเพื่อปากท้อง เริ่มจากพี่ชายคนโตเริ่มต้นและพี่น้องเริ่มช่วยกันทำงาน

ช่วงแรกไม่มีเงินทุน จึงเริ่มจากการใช้จักรยานขายตามตลาดนัดและส่งร้านค้า เมื่อค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ธุรกิจเริ่มดีขึ้น จากการหาสินค้าในตลาดมาขาย ก็มองหาโอกาสอยู่เรื่อยๆ โชคดีที่พี่น้องเป็นคนขยันก็เลยเติบโตอย่างมั่นคงได้เรื่อยๆ และมาตั้งแบรนด์รองเท้ากีฬา จากนั้นก็มาสร้างแบรนด์ “แกมโบล” และธุรกิจก็ดีขึ้นเป็นลำดับ

นอกจากนี้ สุรชัย ยังยอมรับด้วยว่า เขาไม่ได้เป็นคนมีความรู้ทางธุรกิจมากมาย แต่อาศัย “ใจ” และ “ความพยายาม” ที่แม้จะล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้ง ก็ไม่ยอมแพ้และเชื่อว่ายังมีโอกาสใหม่เสมอ

ตามให้ทันผู้บริโภค

นอกจากนี้ การเป็นแบรนด์รองเท้าของคนไทย สิ่งที่ต้องจับให้มั่นคือเรื่องของ “สมัยนิยม” เพราะแฟชั่นเปลี่ยนแปลงเร็ว การทำธุรกิจด้านนี้จะต้องรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร และเกาะติดกระแสเหล่านั้นให้ดี เพราะรองเท้าแตะหรือรองเท้าลำลอง ยังมีความต้องการของลูกค้าจำนวนมาก

ไม่ใช่แค่สินค้าสวยตามเทรนด์ แต่ต้องใส่สบายและใส่ได้นานด้วย เพราะอายุเฉลี่ยของรองเท้า ต้องใส่ได้ไม่น้อยกว่า 2-3 ปี แต่อยู่ที่ว่าจะใส่บ่อยจนรองเท้าสึกหรอหรือไม่ สิ่งสำคัญคือต้องใส่สบายและหากมีการซื้อซ้ำ ก็ต้องนึกถึงแบรนด์ของเราก่อน

ทั้งนี้ การแข่งขันในธุรกิจรองเท้านั้น เรียกได้ว่า รุนแรง เพราะมีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา การที่ “แกมโบล” ยังขายได้ คือ เรื่องของเอกลักษณ์ ทำให้รองเท้าของเรายังได้รับการยอมรับจากลูกค้าต่อเนื่อง รวมทั้งมั่นใจด้วยว่าสินค้ามีคุณภาพสู้แบรนด์อื่นๆ ได้

การแตกไลน์รองเท้าจากกลุ่มวัยรุ่นของ “แกมโบล” มาเป็นกลุ่มวัยทำงานอย่าง “คาเนีย” นั้น ก็เพื่อแยกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนขึ้น

“หากตอนวัยรุ่นเคยใส่แกมโบล เมื่อเข้าสู่วัยทำงานหรือมีครอบครัวก็ย่อมต้องการรองเท้าที่มีเอกลักษณ์และเหมาะสมตามวัยมากขึ้น ทำให้ต้องนำเสนอสินค้าแบรนด์ใหม่นี้ออกสู่ตลาด”

 อย่างไรก็ตาม สินค้าของแกมโบล ยังคงส่งออก 30 กว่าประเทศทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านได้รับความนิยมดีมาก เพราะสินค้าพัฒนาตามยุคสมัยและความต้องการของตลาด ทำให้ยังมีแผนขยายโรงงานเพื่อรองรับการผลิตอย่างต่อเนื่อง และการเป็นสินค้าแฟชั่น ทำให้เราไม่หยุดอยู่กับที่

รวมทั้ง การเริ่มต้นทำช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ แน่นอนว่าต้องมีรองรับความต้องการของลูกค้าทุกช่องทาง และปรับตัวให้ทันต่อโลก แม้ว่าออนไลน์ยังไม่ใช่ช่องทางรายได้หลักของบริษัทแต่เราก็ไม่ทิ้งช่องทางนี้แน่นอน

หวั่นใจสภาพเศรษฐกิจ

ภาพรวมธุรกิจที่ผ่านมา คิดว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว จากนี้จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะเมื่อ 2-3 ปีก่อน แกมโบลโตเยอะมาก ปีนี้ก็เลยคงที่ แต่คาดว่าในปีหน้าหลังจากปล่อยสินค้าใหม่ออกมา ก็น่าจะมีทิศทางรายได้ที่ดีขึ้น

กำลังซื้อของประชาชนในปีที่ผ่านมาค่อนข้างลำบาก เรียกว่าไม่มีเงิน ด้วยสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเราพึ่งพาเกษตรกร แต่รายได้ของภาคการเกษตรกลับไม่ค่อยดีอย่างที่หวัง ทำให้กำลังเงินของประชาชนไม่ค่อยดี จึงไม่มีใจจะซื้อสินค้าในกลุ่มแฟชั่นหรือใช้สอยฟุ่มเฟือย ทำให้ตลาดค่อนข้างซบเซา

 

“แต่เท่าที่ดูภาพรวม ผมว่าไม่ใช่แค่ไทยแต่เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี ทั้งในและต่างประเทศกระทบหมด บางประเทศแย่กว่าเราอีก กระทบเป็นวงเหมือนโซ่ ทำให้ไม่มีกระจิตกระใจอยากซื้อของ แต่เชื่อว่ากระทบทุกธุรกิจ แต่ละองค์กรก็ต้องพยายามหาทางรอด เช่นเดียวกันทางเราก็พยายามนำเสนอสินค้าใหม่ออกมารองรับความต้องการของตลาด”

 

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าในปีนี้ ทิศทางความเชื่อมั่นของคนน่าจะดีขึ้นด้วย เมื่อมีการเลือกตั้งและรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารงาน ทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้นด้วย รวมทั้งภาพรวมด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศด้วย

 

อนาคตของแกมโบล

แกมโบล ยังมุ่งมั่นพยายามที่จะเจาะตลาดระดับโลก ตอนนี้ก็ดูแลเรื่องความพร้อมในการผลิต ขยายโรงงานที่มีอยู่ตามความเหมาะสม รองรับการผลิตสินค้าให้ทันต่อความต้องการของตลาด ซึ่งในต่างประเทศอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะเศรษฐกิจตลาดโลกตอนนี้ยังค่อนข้างผันผวน

นอกจากนี้ ก็เริ่มมีการส่งต่องานบางส่วนให้แก่ลูกหลานในครอบครัว เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะความร่วมมือร่วมใจของคนในครอบครัว การส่งไม้ต่อก็ต้องมอบให้อย่างมั่นคงและมั่นใจ

โดยลูกหลานก็เข้ามาเรียนรู้งานและประสานกับทีมบริหารเดิมบางแล้ว เพราะพนักงานของเราก็มีความรู้หลากหลาย บางส่วนเราอาจไม่ถนัดแต่เรามีประสบการณ์ ก็คงใช้สิ่งที่เราเคยเจอมาก่อน ถ่ายทอดให้รุ่นถัดไปได้รู้และระวังในการทำธุรกิจ เพื่อให้อยู่รอดอย่างมั่นคง ซึ่งผมยังคงเป็นที่ปรึกษาให้พวกเขาก่อนค่อยวางมือ คงใช้เวลาอีกหลายปี แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาหรืออุปสรรค

 

ชมคลิปสัมภาษณ์ ได้ที่นี่

 
Source: thumbsup

The post เคล็ดลับความสำเร็จ “แกมโบล” แบรนด์ไทยฮิตระดับโลก appeared first on thumbsup.


Twitter เติบโตสูงสุดในไทย แต่ทำไมนักการตลาดมองข้าม โดย ชนะชัย ไชยปัญญา ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ Twitter

$
0
0

“ต่อให้คุณไม่เล่น Twitter คุณก็ยังต้องพบเห็น Twitter อยู่ดี”

เพราะเดี๋ยวก็มีคนแคปเอาทวีต ไปทำลงบนเพจ Facebook จนมีคนตามเป็นล้าน  นั้นคือสิ่ง ชนะชัย ไชยปัญญอดีตตัวแทน Twitter คนแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการบอกกับเรา

โดยเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Twitter และเป็นส่วนสำคัญที่นำพา Twitter Advertising มาสู่จุดสูงสุดในปีที่ผ่านมา  จนเรียกได้ว่าทำลายทุกสถิติการใช้ Twitter ของไทย  ซึ่งจะมาเล่าว่าทำไมการทำการตลาดบน Twitter นั้นถึงเป็นเรื่องสำคัญนัก

ย้อนกลับในปี 2018 ที่เป็น Best Year Ever ของ Twitter ในประเทศไทยเลยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกเลย  จนไทยได้รับเชิญไปประชุม ‘ผู้นำ Twitter โลก’ ที่ประเทศไอซ์แลนด์  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นการอพยพออกจาก Facebook ของคนรุ่นใหม่

Twitter คือแพลตฟอร์มของคนรุ่นใหม่?

ชนะชัย: โดยกลุ่มอายุ 16-24 ปีที่กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ Twitter ในประเทศไทยตอนนี้   ซึ่งเป็น Global Trend ที่พบเห็นในหลายๆ ประเทศ  ในอเมริกาเองก็มี Snapchat กับ Twitter อย่างละครึ่ง  แต่ในยุโรปกับเอเชียจะเป็น Twitter เสียเยอะ

ในบางครั้งเด็กวัยรุ่นมองว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มของผู้ใหญ่ที่มีคุณพ่อ คุณแม่ อากู๋ ครูประจำชั้นเต็มไปหมด เลยรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเท่าไร  และต้องการพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว

เชื่อไหมว่ามีวัยรุ่นไทยหลายล้านคนที่ไม่สมัครแม้แต่ Facebook Account เลยด้วยซ้ำ  กลายเป็นว่าไม่ค่ะ ไม่เล่น Facebook ไม่เล่น IG หรือ IG มีบ้างนานๆ เข้าไปดูที  แต่ Twitter คือเอาไว้เล่นตลอดเล่นและเล่นทั้งวัน

ทำ ‘การตลาด’ แบบเจาะลึกได้ถึงตัว

ชนะชัย: การทำการตลาดบน Twitter มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ในการตามหา User กลุ่มใหม่ๆ ซึ่งบน Twitter มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เทรนด์’ อยู่  ถ้า Twitter คือหนังสือพิมพ์  นั่นคือ ‘เทรนด์’ จะเป็นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง

รู้หรือไม่ว่าเราสามารถซื้อตำแหน่งอันดับหนึ่งของ ‘เทรนด์’ ได้ด้วย อย่างเช่นบน Twitter จะมีวิธีการตามหา User ที่มีเอกลักษณ์และแตกต่าง Target Keyword คำอะไรก็ได้ใน Twitter ของคน

สมมติว่าคุณเป็นกระดาษทิชชู่ คุณยังสามารถ Target คนที่บอกว่าอกหักร้องไห้เสียใจก็ได้ ว่า “อกหักอีกแล้วหรือเรา” ทวีตออกไป สักพักก็จะมีโฆษณายิงเข้าไปหาเสียใจได้แต่อย่าเสียหน้า หยุดทำร้ายตัวเองด้วยกระดาษที่เนื้ออ่อนละมุนต่อผิวคุณ

อีกลักษณะเฉพาะตัวที่ Twitter Advertising ทำได้นั่นคือการเตรียมคอนเทนต์ A ไว้สำหรับกับ Target A โดยเฉพาะเช่น ถ้าพูดว่า ‘หิว’ ก็เลือกให้เห็นโฆษณา A  หรือถ้าพูดว่า ‘หิวมาก’ ก็เลือกเห็นให้โฆษณา B ที่แบรนด์อาหารหลายๆ แบรนด์มักชอบใช้กัน

นอกจากนั้นแบรนด์มือถือค่ายยักษ์ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Apple และ Samsung ก็ใช้การโฆษณาบน Twitter กันอย่างเข้มข้นด้วย เช่น คุณอาจจะพิมพ์ว่า “มือถือค่ายผลไม้จอเล็ก แบตหมดไว” อีกสักพักก็อาจเจอมือถืออีกค่ายยิงโฆษณามาหาว่า “เปลี่ยนมือถือวันนี้ รับโปรโมชั่น… ฟรี” เป็นต้น

แคมเปญแบบไหนได้ใจคนบน Twitter

ชนะชัย: แคมเปญที่สำเร็จบน Twitter นั้นต้องออกแบบมาเฉพาะ Twitter เท่านั้น  โดยจะเป็นการเชื่อมโยง Marketing Idea ในพาร์ทแรกที่ Twitter ทำได้ดีคือการ ‘Launch Something New’ อย่างสองคือ ‘Tap in What’s happenning’ ที่เข้าถึงใจคนได้ดี เช่น อาจมีแคมเปญจาก 7-11 ว่า “อะไรเอ่ยเลื่อนตลอดเวลา” แล้วก็ตอบว่า “อ๋อ..ประตู 7-11” ประมาณนี้ (หัวเราะ)

คนรับความผิดพลาดได้แต่คนรับกับคนแถไม่ได้

คนใน Twitter หลอกยาก

ชนะชัย: คนใน Twitter ไม่ใช่คนหลอกง่ายๆ  การเลือกใช้ Influencer บน Twitter แบบไม่เข้าใจธรรมชาติของเขาก็เป็นเรื่องน่ากลัว  อย่างไอศครีมยี่ห้อหนึ่ง ที่เลือกใช้คนที่เคยพูดถึงแบรนด์ในในแง่ไม่ดีเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว  จนเกิดการขุดกันขึ้นมาว่าพอรับเงินแล้วก็อร่อยเลยนะ (หัวเราะ)  ซึ่งนักสืบพันทิปว่าโหดแล้ว  เรียกได้ว่านักสืบ Twitter ก็ไม่แพ้กัน

บน Twitter ถ้าเกิดพวกวิกฤติกับแบรนด์ขึ้นมา  จริงๆ Crisis Management บน Twitter นั้นทำได้ดีมาก  เพราะ Twitter จะเป็นที่แรกที่คนเข้ามาพูด  ที่แบรนด์สามารถกระโดดเข้าไปตอนนั้นได้อย่างรวดเร็ว ท่วงที  และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องราวดราม่าทั้งเรื่อง  อย่างน้อยอธิบายไม่ได้แต่รับเรื่องไว้คนก็รับได้  เพราะคนรับความผิดพลาดได้แต่คนรับกับคนแถไม่ได้

ภาพจาก มติชน

ช่วยให้เหล่า Influencer ได้แจ้งเกิด

ชนะชัย: มี Influencer หน้าใหม่ๆ ที่เลือกใช้ Twitter เป็นแพลตฟอร์มหลักในการสื่อสารด้วย  ซึ่งTwitter กับทีวีนี่คือเพื่อนซี้กันเลย  ตัวอย่างเคสที่น่าสนใจคือ คุณเป๊ก ผลิตโชค ที่เป็นหน้ากากจิงโจ้ที่เกิดและโตบน Twitter เลย

แล้วเราเห็นการเติบโตตั้งแต่การสร้างนุช  การสร้างระบบแฟนคลับต่างๆ ล้วนผ่านทาง Twitter ที่ใช้ แพทเทิร์นเดียวกับเกาหลี  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณเป๊กถึงก้าวขึ้นมาโด่งดังเป็นพลุแตกจนราคาค่าตัวเป็น Top 10 ประเทศแล้ว

เพราะทวิตเตอร์เป็นแพลตฟอร์มที่จะคอนเนคสิ่งที่คนสนใจ  เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมระบบแฟนคลับต่างๆ  ของ Twitter จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เข้มแข็งและแข็งแรง  ซึ่งตัวนี้มันตอบโจทย์หลายๆ อย่างกับคนรุ่นใหม่  เพราะมีเพื่อนเขาอยู่ด้วย มีคนที่เขาชอบและสนใจอยู่ด้วย

พร้อมทั้งการที่คนไทยเริ่มเข้าใจ เริ่มเก็ตว่า Twitter เอาไว้ทำอะไรได้บ้าง  ทั้งไว้ดูรถไฟฟ้าเสีย หรือดาราเลิกกัน เรียกได้ว่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยโดยธรรมชาติ

เราเลือกคอนเทนต์ไม่ได้  เพราะมันคือคอนเทนต์ของเพื่อนในโทษฐานที่เรารู้จักกัน

Social Media ที่ให้อิสระในการเสพย์สื่อ

ชนะชัย: ในบางครั้งตัวความเฟ้อ และความอิ่มตัวของคอนเทนต์ใน Facebook เองมันอาจจะไม่ใช่ที่ที่น่าที่จะใช้เวลามากนักอีกต่อไป เพราะธรรมชาติของ Facebook เราเลือกคอนเทนต์ไม่ได้  เพราะมันคือคอนเทนต์ของเพื่อนในโทษฐานที่เรารู้จักกัน

ซึ่งตัว Facebook เนี่ยจะถามเราทุกวันว่า ‘What’s on your mind’ มันก็ไม่แปลกที่จะผลิตคอนเทนต์ที่เป็น Look at me แต่ในทางกลับกันบน Twitter ถามว่า ‘What’s happenning’ มันเกิดอะไรขึ้นรอบๆ ตัวคุณ  เพราะฉะนั้นคนก็จะมาแชร์เรื่องราวรอบๆ ตัวที่เกิดขึ้นแล้วมันน่าสนใจคือ ‘Look at that’ ‘Look at This’ บางครั้งมันมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าแค่ ‘ฉันคิดอะไรอยู่’

ความน่าสนใจอีกอย่างคือแนวโน้มการปิดความเป็นส่วนตัวมากขึ้น  มีการตั้งค่าให้เห็นเฉพาะคนกลุ่มนี้เท่านั้น ซึ่งสวนทางกับความเป็น Social Media ที่ดีที่ควรจะสาธารณะ  แต่มันกลายเป็นว่ามันต้องหวงแหน  ตัดภาพกลับมาบน Twitter บรรยากาศมันคนละเรื่องเลย  เพราะพูดคุยเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา

Twitter คือสำนักข่าวชั้นดี

ชนะชัย: Twitter มันก้าวมาเป็น ‘สำนักข่าว’ ของโลกใบนี้แล้ว คือ Twitter เป็นที่ที่แรกที่ข่าวเกิดขึ้นเสมอ แม้แต่สำนักข่าวจริงๆ อย่างเช่น CNN BBC ช่อง3 ช่อง7 ช่อง9 ยังต้องใช้ Twitter เป็นแหล่งข่าวด้วยซ้ำ

แต่บน Twitter มันมีความเรียลกว่า  ตรงที่ว่าเราทุกคนที่เป็นผู้เล่นเป็นบรรณาธิการ  เราเป็นคนช่วยกันผลิตคอนเทนต์  แล้วก็เป็นคนที่ชี้นำแนวโน้มว่าหัวข้อไหนควรจะให้ความสนใจ และTwitter เป็นหนังสือพิมพ์ที่สาธารณะที่สุดและส่วนตัวที่สุด

จุดกระแสเรื่อง ‘การเมือง’ ให้โหมกระหน่ำ

ชนะชัย: ในอเมริกาเองมีกฎหมายด้วยซ้ำปว่า สส. สว. ทุกคนต้องมี Twitter Account แล้วก็ใช้เป็นแพลตฟอร์มหลักในการสื่อสารกับประชาชนด้วย  อย่างเช่นในอินเดียเองตัว Twitter ก็เป็นแพลตฟอร์มหลักในการดีเบตเรียกว่าชี้เป็นชี้ตายตัดสินอนาคตประเทศได้เลย

ในประเทศไทยเองครั้งนี้ถือว่าน่าสนใจมากเพราะว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัว  อย่างเช่นเคส ‘ฟ้ารักพ่อ’ ก็จะมีการสร้างแฮชแท็กขึ้นมา  เป็น ‘ช่วยตั้งชื่อพรรคให้ธนาธรหน่อย’

มากกว่านั้น Twitter บางครั้งก็เป็น Social Movement ได้ด้วย อย่างเช่นเราพบเห็นในเรื่องของ ‘เสือดำ’ ตอนนั้นก็เรียกได้ว่า Twitter เป็นที่ที่สร้าง Impact และจุดกระแสเรื่องราวของการเมืองให้เข้มข้นขึ้น เป็นที่ที่มีบรรยากาศในการแสดงความคิดเห็นที่ผมว่ามันสร้างสรรค์

ถ้าอยากทำการตลาดบน Twitter ให้ดี

ชนะชัย: ทุกวันนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่า Twitter มันมาแล้ว  เป็นแพลตฟอร์มที่มาแรงที่สุดในประเทศไทย  การทำการตลาดบน Twitter ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ เฉพาะตัวอยู่มาก  นั่นเป็นเหตุผลที่เราก่อตั้ง #theNest ที่เป็น Twitter Solution Center

มันคือครั้งแรกของการรวม Creative Agency  และ Media Agency เข้ามาในที่เดียวกัน  เราให้บริการเรื่องราวการทำการตลาดบน Twitter อย่างครบวงจร  ตั้งแต่ออกแบบตัวกลยุทธ์ แคมเปญ แฮชแท็กที่ดีคืออะไร

ส่วนที่สองคือเราให้บริการเรื่องตัว Creative Content ด้วย  คนบน Twitter มีลักษณะเฉพาะตัวสูง. คอนเทนต์แบบไหนที่ถูกใจเขา. คอนเทนต์แบบไหนที่ได้รับการ Engage ที่ดี รวมไปถึงส่วนที่สำคัญก็คือส่วน Twitter Advertising เรียกว่าเป็น Full Service ของ Twitter Ecosystem เลย

สุดท้ายเรานึกถึงคำที่ชาว Twitter ชอบพูดกันว่า ‘Twitter มันเถื่อน อยู่ยาก’ ทำให้การทำความเข้าใจที่ไม่มากพอก็อาจจะกลายเป็นดาบสองคมให้กับแบรนด์ได้  แต่ถ้าสามารถเข้าใจมันดีพอก็เป็นบันไดอีกก้าวที่ช่วยให้นักการตลาด  สามารถพาแบรนด์ไปสู่จุดสำเร็จได้เช่นกัน

ชมคลิปสัมภาษณ์ :

 

 
Source: thumbsup

The post Twitter เติบโตสูงสุดในไทย แต่ทำไมนักการตลาดมองข้าม โดย ชนะชัย ไชยปัญญา ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ Twitter appeared first on thumbsup.

Infographic : สถิติที่น่าสนใจของผู้ใช้ Instagram ในปี 2019

$
0
0

Instagram เป็นอีกแพลตฟอร์มหนึ่งที่นักการตลาดหลาย ๆ ท่านสนใจ เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของเหล่า Influencer ชื่อดังมากมาย ที่มีผู้ติดตามตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้าน วันนี้ทีมงาน thumbsup จึงนำข้อมูลสถิติที่น่าสนใจต่าง ๆ ของ Instagram จาก Omnicore มาสรุปเป็นภาพสั้น ๆ ให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบกันอีกครั้ง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยครับ

แหล่งรวมธุรกิจกว่า 25 ล้านธุรกิจ ทั้งไทยและต่างประเทศ

Instagram เปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคม ปี 2010 จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลากว่า 8 ปีครึ่งแล้ว โดยจำนวน Active Users ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้ใช้ออนไลน์ในแพลตฟอร์มนี้ประมาณ 500 ล้านคน และมีผู้ใช้ IG Stories รายวันประมาณ 400 ล้านคน

จากสถิติพบว่าในแต่ละวันมีภาพและวีดีโอถูกอัพโหลดลงบนแพลตฟอร์ม Instagram ถึง 100+ ล้านภาพ โดยตั้งแต่วันที่เปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน มีภาพถูกโพสลงบน Instagram รวมกันถึง 50,000 ล้านภาพ และมี Official Account ของธุรกิจต่าง ๆ กว่า 25 ล้านธุรกิจ นอกจากนั้นยังพบว่าในแต่ละวันมีกระแสการกดไลค์บน Instagram ถึง 4,200 ล้านครั้ง หากคิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้ว ผู้ใช้หนึ่งคนจะกดไลค์บน Instagram กันวันละ 7 – 9 ครั้งต่อคน

ผู้ใช้ส่วนมากพบว่าเป็นผู้หญิง ในช่วงอายุ 18-29 ปี

  • 68% ของผู้ใช้ Instagram เป็นผู้หญิง
  • 80% ของผู้ใช้ Instagram มาจากผู้ใช้นอกสหรัฐอเมริกา
  • 32% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต จะมี Instagram Account เป็นของตัวเอง
  • 72% ของผู้ใช้มีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่น หรือช่วง 18 – 29 ปี

ทางทีมงานมีความเห็นว่าอาจเป็นเพราะแพลตฟอร์มนี้เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการโพสต์รูปภาพเป็นเอกลักษณ์ จึงมีกลุ่มผู้ใช้หลักเป็นเพศหญิง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะชอบการถ่ายรูป และการดูแลตัวเองมากกว่าเพศชาย รวมถึงการโพสต์ภาพในสถานที่ต่าง ๆ ก็อาจจะเป็นไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นส่วนมากในช่วงอายุ 18-29 ปี

สถิติเชิงธุรกิจตอกย้ำความนิยมในหมู่ Influencer

  • 71% ของธุรกิจในอเมริกามี Instagram Account
  • ในภาพรวม Instagram มีผู้ใช้ Business Profile กว่า 8 ล้าน Account
  • ปัจจุบัน Instagram มีการลงโฆษณาถึง 1 ล้าน โฆษณา / เดือน
  • Instagram ทำรายได้จากการโฆษณากว่า 7,000 ล้าน USD ในปี 2018
  • 78% ของ Influencer นิยมใช้ Instagram ในการทำแคมเปญร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ

จากสถิติทีมงาน thumbsup มีความเห็นว่า Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อ Influencer กับผู้ติดตามได้ดีที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง ทำให้ผู้ติดตามสามารถรับรู้ถึงไลฟ์สไตล์ของ Influencer ได้อย่าง Real-Time ในรูปแบบของภาพและวีดีโอสั้น ทำให้การทำ Influencer Marketing เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ

Fun Facts อื่น ๆ ในแพลตฟอร์ม Instagram

  • โพสต์ที่มีการ Check In Location จะมี Engagement เพิ่มขึ้นถึง 79%
  • ผู้ใช้ Instagram จะเข้าถึงโพสต์ต่าง ๆ มากที่สุดในช่วงวันทำงาน โดยเฉพาะวันอังคาร กับ วันพฤหัสบดี
  • การโพสต์ภาพที่มีหน้าคนอยู่ด้วยจะทำให้มีคนกดไลค์มากขึ้นถึง 38%
  • การโพสต์วีดีโอใน Instagram มี Engagement มากกว่าการโพสต์ภาพบนแพลตฟอร์มอื่นถึง 2 เท่า
  • การโพสต์แบบติด #Hashtag อย่างน้อย 1 แท็ก จะทำให้ Engagement เพิ่มมากขึ้นประมาณ 12.6%
  • 7 ใน 10 ของ Hashtag ทั้งหมดใน Instagram เป็นแท็กของแบรนด์สินค้าชนิดต่าง ๆ
  • ในปัจจุบันมูลค่าการโพสต์ใน Instagram ของ Influencer มีมูลค่าสูงถึง 100,000 USD

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่น่าสนใจ  และเหมาะจะนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการทำการตลาดกับเหล่า Influencer มากๆ

ข้อมูลจาก : Omnicore

 
Source: thumbsup

The post Infographic : สถิติที่น่าสนใจของผู้ใช้ Instagram ในปี 2019 appeared first on thumbsup.

สตาร์ทอัพไทย เมื่อไหร่จะยูนิคอร์น ฟังกันชัดๆ กับกระทิง พูนผล The Godfather of Startup

$
0
0

หากพูดถึงกระแสของวงการสตาร์ทอัพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า มีการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนหนักมาก เรียกได้ว่าเงินทุนในวงการนี้ เพิ่มขึ้นมหาศาลทุกปี จนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทแล้ว แต่ปัญหาคือตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถมียูนิคอร์น เพื่อเป็นชื่อเสียงของประเทศได้เสียที ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน วันนี้ Thumbsup ได้พูดคุยกับคุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธาน KBTG และเจ้าพ่อแห่งวงการสตาร์ทอัพไทย ผู้จุดวงการสตาร์ทอัพจนเกิดขึ้นในประเทศไทย และทุกคนต่างขนานนามเขาว่าเป็น The Godfather of Startup ที่จะช่วยไขปัญหานี้ให้ฟัง

“ผมคิดว่าถ้าจะมียูนิคอร์นสักตัวเกิดขึ้นในไทยปีนี้ ไม่ Fintech ก็ E-commerce ครับ”

คำทิ้งท้ายที่น่าสนใจของเจ้าพ่อวงการสตาร์ทอัพ ที่เขาบอกว่ามองเห็นยูนิคอร์นแล้วในสองกลุ่มสตาร์ทอัพนี้

จากวงการสตาร์ทอัพสู่องค์กรชั้นนำระดับประเทศ

ตอนอยู่ 500 Startup กับการมาบริหาร KBTG ที่มีพนักงานจำนวนมาก ความท้าทายที่ถือว่ายาก คือการทำให้องค์กรที่แข็งแรงอยู่แล้ว เติบโตและแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้กังวลมาก เพราะผมว่าทีมงานค่อนข้างเก่งมากอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่กังวลมากกว่าคือจะทำอย่างไรให้องค์กรที่ใหญ่ขนาดนี้เนี่ย เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ผมเคยอยู่ Google ซึ่งพนักงานที่นั่นก็ไม่ได้เยอะเท่ากับที่ KBTG แต่การเอาความรู้ที่นั่นมาใช้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์

ส่วนการที่ผมลงทุนในสตาร์ทอัพเยอะๆ ทำให้เห็นภาพว่าโลกจะเคลื่อนไปยังไง พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปยังไง ก็หวังว่าจะนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ใน KBTG ได้นะครับ แต่ก็เป็นงานที่น่าสนุกและท้าทายเช่นเดียวกัน

จุดเปลี่ยนที่ท้าทาย

ผมว่าท้าทายมากๆ ครับ จากบริหารกองทุนเราอยู่ในฐานะนักลงทุนมาสู่นักบริหาร เป็นการทำงานในกรอบสถาบันการเงิน ทำยังไงให้สปีดยังเร็วและทำงานในกรอบได้ การบาลานซ์สองฝั่งเข้ามาด้วยกันและการทรานฟอร์ม

หลักการทำงานที่สำคัญคือ เรื่องของ Empower คือการให้อำนาจพวกเขาและทำให้มีความสุขในการทำงานทุกวัน บอกเป้าหมายและทิศทางให้ชัดเจนให้พวกเขาเดินไป อีกอันคือเรื่องของ Envision เห็นภาพร่วมกัน และ Employee First พนักงานคือคนที่สำคัญที่สุด ให้เค้ามีความสุข

เมื่อพนักงานบอกต่อว่าทำงานแล้วมีความสุขอย่างไร ผมเชื่อว่าจะสร้าง Culture of Winner ที่ผมเรียกว่า A-Class คือวัฒนธรรมขององค์กร ที่ทำให้ทุกคนเป็น A-Class Player มองทีมเป็นหลัก และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

 

หลังจากมีการพูดคุยเกี่ยวกับการย้ายจากเจ้าพ่อกองทุนมาเป็นคนปั้นทีมที่ KBTG แล้ว สิ่งที่ทีมงาน Thumbsup พลาดไม่ได้คือ การสอบถามคุณกระทิง เกี่ยวกับการเข้าสู่ปีที่ 5 ของวงการสตาร์ทอัพ ที่มีสีสันและเงินทุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมากขึ้น จากยุคเริ่มต้นที่คุณกระทิง เป็นคนนำ DAve Mcclure ซีอีโอของ 500 Startups เข้ามาในไทยเป็นคนแรก สมัยที่เขาเพิ่งเริ่มต้นปั้น dtac Accelerate จนมีสตาร์ทอัพชั้นนำมากมายเกิดขึ้นในไทย

ภาพของสตาร์ทอัพไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ปีนี้ยังคงน่าตื่นเต้นของสตาร์ทอัพไทย หลายโครงการยังระดมทุนได้มากขึ้น CVC ยังคงมาลงทุนในสตาร์ทอัพมากขึ้น กองทุน 500tuktuk ก็มี centaur ( centaur คือเกินหนึ่งร้อยล้านเหรียญ) ของไทยสองตัวแล้ว คือเป็นสตาร์ทอัพที่มีเพียง 4% ของโลกที่สามารถก้าวมาถึงระดับนี้ได้

เรามี 4 ตัวจากทั้งหมด 60 ตัว คิดเป็นเกือบสองเท่าของสตาร์ทอัพทั่วโลก จาก 200 ล้านเหรียญสิ้นปีอาจทำได้ถึง 400 ล้านเหรียญ จะเริ่มเห็นตัวที่สามในไทย ไม่นับ wave ก่อนหน้านี้ เพราะอันนี้เป็น wave ที่เกิดขึ้นในปี 2015 และเราจะเริ่มเห็นสตาร์ทอัพไทย มีมูลค่าบริษัท 50 ล้านเหรียญ (1,000-1,500 ล้านบาท) หรือเม็ดเงินครึ่งหนึ่งของ centaur แค่ผ่านมาสองเดือนมีให้เห็น 2-3 ตัวแล้ว และเชื่อว่าในปีนี้จะเห็นตัวที่เกิน centaur ไปอีก 3 ตัว ระดับกลางจะมีอีก 5-6 ตัวและระดับล่างจะโตขึ้น

ถ้าเขาทะลุคอขวด Series A ขึ้นไป (ซีรี่ย์เอคือเกินกว่า 1 ล้านเหรียญขึ้นไป จนถึง 10 ล้านเหรียญหรือ 300 กว่าล้านบาท) จะมีสตาร์ทอัพโตขึ้นอีก 5-10 ตัว ผมว่า Pipeline จะเข้มแข็ง เชื่อว่าจะมีคนขายกิจการเกิน 100 ล้านเหรียญได้แน่ๆ

เพราะสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มของประเทศใดก็ตาม ถ้ามีการ Exit หรือขายเกิน 100 ล้านเหรียญ หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เชื่อว่า จะมีแน่ๆ จะสามารถช่วยให้วงการสตาร์ทอัพเทคออฟเลย

และขั้นนี้จะมีแน่ๆ นี้ อยู่ที่ว่าจะ Exit ที่เท่าไหร่ จะ 100 200 หรือ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะสตาร์ทอัพไทยจะโตมากจริงๆ  อาจไม่ต้องสร้างยูนิคอร์น แต่เชื่อว่าจะมีแน่ๆ นะครับ

ในพอร์ตของ 500 tuktuks เนี่ย exit ไปแล้ว 4 ตัว เชื่อว่าจะมีตัวที่ 5 ซึ่งผมเรียกว่าเป็น SME บริษัทใหญ่ที่เข้ามาซื้อกิจการ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีและเจ้าของธุรกิจที่ Exit ธุรกิจได้ ก็จะมาปั้นคนใหม่ให้เก่งขึ้น นักลงทุนก็มาลงทุนเพิ่ม มีการใช้ซ้ำในเรื่องเงินทุนและนักลงทุนมาเพิ่ม

เทคโนโลยีขั้นสูงมาแรง

ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทย ไม่ได้เป็นประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีแต่คนรุ่นใหม่กลับมีแนวคิดในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาพัฒนากันบ้างแล้ว นั่นแสดงว่าคนไทยในวงการสตาร์ทอัพ ฝีมือไม่ธรรมดา

“ปีนี้จะเห็น Disruptive Digital คือเห็นสตาร์ทอัพไทยมาใช้เทคโนโลยีเชิงลึกมากขึ้น และใช้ Deep Technology และ Disruptive Digital Technology มาใช้ในสตาร์ทอัพมากขึ้น”

ซึ่งใน 3 ปีนี้จะเป็นปีที่น่าสนใจ อย่างเช่น Health Tech, Education Tech ซึ่งโครงสร้างด้านการศึกษาเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่เติบโตอย่างรวดเร็วเยอะมาก และผมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน Edtech สตาร์ทอัพขึ้นมาเงินทุนทั่วโลกลงทุนกว่า 9,500 ล้านเหรียญ คิดเป็น 2-3 แสนล้านบาทและเงินลงทุนยังเพิ่มขึ้น 30% ทุกปี

แต่เงินที่เคยไหลไปอยู่จีน เกาหลีและญี่ปุ่น ตอนนี้มาลงที่ระดับซีรี่ย์เอแล้ว ที่ SEA ส่วนใหญ่ยังเป็นเวียดนาม แต่สตาร์ทอัพไทยปีนี้น่าจะเติบโตขึ้นมา Health ยังคงน่าสนใจมากๆ ทางด้าน Aging Society , Education แตะตรงไหนก็แทบจะมีโอกาสทั้งหมดเลย ทั้งฝั่ง Pre-school, Professional Reskilling และฝั่งสอบ

การเตรียมความพร้อมก่อนสอบของนักเรียนมัธยมปลายเป็นโอกาสที่ยังดีและน่าสนใจ การเปลี่ยนประสิทธิภาพของโรงเรียนก็น่าสนใจนะครับ

และอีกสองอันคือทราเวิลและฟู้ด ปีที่แล้วฝั่งนักลงทุนร่วมกับไมเนอร์จัดแฮคอาทรอนขึ้นมา คนมาร่วมหลายร้อยคนเพื่อสร้างฟู้ดเทคอีโคซิสเต็มของไทยขึ้นมาและเราเป็นครัวของโลก

ถ้าเราสร้างโอกาสทุกสตาร์ทอัพจะมี J Curve และสร้างโอกาสโตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนฟินเทคก็ยังมีโอกาสโตอย่างต่อเนื่องเช่นกันครับ

การศึกษาไทยยังแย่ สตาร์ทอัพ edtech จึงมาแรง

วงการศึกษาไทยยังมีปัญหาทุกอย่าง เป็นปัญหาที่ตัวระบบที่สะสมมาอย่างยาวนาน ทั้งเรื่องการวางหลักสูตร วัดผล หรือเรื่องของอาจารย์ที่อยากปรับตัวแต่ยังไม่มีเครื่องมือการวัดผลเข้ามาและตัวโรงเรียนการเอาเทคมาใช้ในสถาบันการศึกษาและการเรียนรู้เข้าใจ จะช่วยเพิ่มศักยภาพของคน เรียกว่าเป็นการเจอพายุ Disruption ขั้นรุนแรง

เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องงบประมาณเลย แต่มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการและตัวระบบ การวัดผล และวางหลักสูตร ภาคเอกชนเค้ารู้และปรับตัวเพื่อเข้าสู่โลกของการ Disruption

ก็เลยมีหลายบริษัทสนใจที่การ reskill ของพนักงานเองก่อน เริ่มวางหลักสูตรโดยร่วมมือกับเหล่า Education Tech สตาร์ทอัพก่อน เช่น KBANK ร่วมกับ Skilllane เพื่อให้มาช่วยพัฒนาพนักงานในโลกดิจิทัล หรือที่ผมเข้าไปลงทุนอย่าง Woxxy, Vonder หรือ OpenDurian ที่เข้าไปช่วยรีสกิลพนักงานเช่นเดียวกัน

เมื่อบริษัทลุยเรื่องการศึกษา พนักงานเริ่ม reskill เพิ่มทักษะของพนักงานด้านการศึกษา เพราะ 33% ของทักษะเดิมที่มาเริ่มใช้งานไม่ได้แล้ว หรืือบางอุตสาหกรรม 50% ของทักษะเดิมและจะมากระทบที่มหาวิทยาลัยที่อยู่ท่ามกลางดิสรัพชั่น

และพ่อแม่เริ่มตระหนักแล้วว่าลูกเรากำลังจะโตในยุค Disruption ต้องมีความรู้และวิธีคิดใหม่ๆ ต้องมี Attitude ใหม่ๆ ต้องเริ่มเรียน Coding และ Expost กับเทคโนโลยีใหม่ๆ พ่อแม่ก็รู้และฝั่ง Pre-school ก็ยังสำคัญมากๆ และสาม Area นี้ จะมีเทคสตาร์ทอัพเข้าไปรองรับความต้องการเยอะมาก

นอกจากนี้ ที่ผมเข้าไปลงทุนคือ insKru คือ Inspire ครูหรือเป็นการอัพเกรดทักษะของครูให้อาจารย์เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นแพลตฟอร์มให้ครูมาแชร์ข้อมูลกัน เรียนรู้หลักสูตรใหม่ๆ แลกเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ใหม่ๆ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับครูประถมและมัธยม

ผมเชื่อว่าวงการ Edtech ตรงไหนก็มีโอกาสแทบทั้งหมด ยิ่ง Edtech Startup ไทยมีโอกาสมากๆ และเป็นอีกหนึ่งแอเรียร์ที่ลูกค้ายินดีจ่ายเงิน

เงินเฟ้อในวงการสตาร์ทอัพ

หลายคนสนใจและมักถามว่าเงินในระบบสตาร์ทอัพจะเฟ้อไหม ตอนแรกผมก็กังวลว่าจะเกิดฟองสบู่หรือไม่ แต่พบว่าไม่มูลค่ามันไม่ได้เฟ้อไง อย่างกองทุนผมลงทุนในสตาร์ทอัพเพิ่งเจ๊งไป 3 ตัวเอง

การมีคนมารับไม้ต่อเกือบ 50% หมายความว่าเค้ายินยอมลงทุนเกินกว่าครึ่ง ส่วนที่ไม่ได้ไปต่อคือ รอเวลา เราเจอปัญหาคือ Country Discount มากกว่า คือมูลค่าบริษัทต่ำกว่าประเทศอื่นเยอะเกินไป ซึ่งมีหลายเหตุผล

ถ้าเราสำเร็จได้ ปัญหา Country Discount ก็จะเบาลงไปทันที มาพิสูจน์กันว่าสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มไทยทำได้และสามารถเติบโตนอกประเทศไทยได้และจะแก้ Country Discount ได้แน่นอน

ข้อคิดสำหรับคนที่อยากเป็นสตาร์ทอัพ

สำหรับคนที่เคยทำสตาร์อัพและไม่ประสบความสำเร็จ ต้องถามตัวเองก่อนว่า “ทำเพื่ออะไร” สองคือ “ลองประเมิน และวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอะไร ได้บทเรียนการเรียนรู้อะไรบ้าง ” ผมอาจไม่เหมาะสกับสตาร์ทอัพ เหมาะกับเป็นเอสเอ็มอี “คุณไม่ได้ล้มแต่คุณได้ Learn” คุณได้เรียนรู้อะไรมาบ้างและเอาบทเรียนนั้นมาใช้ได้ บางคนอาจไม่เหมาะกับการเป็นสตาร์ทอัพฟาวเดอร์ แต่อาจจะเหมาะกับการเป็นโปรเฟสชันแนล ที่ดีมาก

บางคนอาจไม่เหมาะกับการสร้างจาก 0-1 ต้องทำทุกอย่าง แต่บางคนถนัด 1-10 บางคนอาจถนัดเรื่องการสเกล หน้าที่ของคุณเหมาะกับอะไร บางคนอาจคันอยากเปิดสตาร์ทอัพ ทุกบริษัทจ้องการคนที่มีความต้องการทำงานแบบสตาร์ทอัพ เราต้องการดิจิทัลสตาร์ทอัพและอยู่ในร่มของบริษัท

นี่คือทางเลือกที่มี อย่าคิดว่าที่ผ่านมาไม่สำเร็จ ไม่มีล้มมีแต่เลิร์น คุณต้องปรับตัวเสมอ ต้องอันเลิร์นและรีเลิร์น ยุคสมัยก่อนคนที่ไม่รู้หนังสือคือคนที่อ่านไม่ออก แต่ยุคสมัยนี้คนที่ไม่สามารถอันเลิร์น ทิ้งความรู้เก่าและเรียนรู้ใหม่ไม่ได้ การเรียนรู้และปรับตัวจะประสบความสำเร็จแน่นอน

ฟันธงปีนี้มียูนิคอร์นไหม

ปีนี้ไม่มียูนิคอร์นแน่นอน พี่คิดว่าตัวใหญ่สุด จะมี Series B แต่ยูนิคอร์นต้องเป็นซีรีย์ E, F คงต้องรอระดมทุนอีกสองรอบ ต้องใช้เวลา 3-5 ปี จะถึงยูนิคอร์นแน่นอน

เพราะฉะนั้น รอดูกันต่อไปอีกสักพัก เพราะตอนนี้เค้าก็พยายามระดมทุนและเดินหน้าอยู่นะ แต่เราเริ่มต้นช้ากว่าประเทศอื่นๆ ทำให้กว่าจะเกิดยูนิคอร์นต้องรอเวลา …

รับชมคลิปกันได้

 

 

 
Source: thumbsup

The post สตาร์ทอัพไทย เมื่อไหร่จะยูนิคอร์น ฟังกันชัดๆ กับกระทิง พูนผล The Godfather of Startup appeared first on thumbsup.

ของมันต้องมี!! ผู้ช่วยมือดีในการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์

$
0
0

การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหนึ่งช่องทางที่ช่วยทำเงินได้มากในยุคนี้  ซึ่งจะให้ประสบความสำเร็จนั้น  ต้องอาศัยการทำการบ้าน ศึกษาตัวสินค้า  และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือผู้ช่วยมือดีที่คอยช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์และคนทำธุรกิจ SME ให้ซื้อง่าย ขายคล่อง ลองมาดูว่าตัวการหลักๆ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้นั้นต้องมีอะไรบ้าง

แอดมินมือฉมัง

แอดมินของเพจ เว็บไซต์ เป็นบุคคลทำคัญที่จะคอยตอบคำถามของเหล่าลูกค้า  ซึ่งธรรมชาติของลูกค้าที่ซื้อของออนไลน์นั้นต้องการคำตอบที่รวดเร็ว และชอบคนที่ให้คำปรึกษาเป็นอย่างดีจนพวกเขาตัดสินใจซื้อในที่สุด  และควรต้องมีคนคอยอัปเดตสินค้าโปรโมชั่น ใหม่ๆ อยู่เสมอทางเว็บไซต์หรือแฟนเพจของคุณ  เพราะเปรียบเสมือนหน้าร้านที่คอยดึงดูดลูกค้านั่นเอง

นอกจากนั้นหน้าที่หนึ่งที่แอดมินอาจต้องเจอคือการรับมือกับ Crisis ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ  ซึ่งถ้าหากตัวแอดมินเลือกวิธีการรับมือไม่ดีพอก็ย่อมส่งผลเสียร้ายแรงต่อแบรนด์  ดังที่เราอาจจะเห็นแบรนด์ใหญ่บางเจ้าที่ยอดขายตกเพราะเรื่องเหล่านี้

วิธีรับมือกับ Crisis เบื้องต้นที่สำคัญ

  • ขอโทษก่อนได้เปรียบ
  • ตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด
  • ถ้าผิดจริงก็แสดงความรับผิดชอบ
  • หาวิธีแก้ไขและปรับปรุงการบริการในอนาคต

ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาก็ควรตอบให้ไวที่สุด  หรือไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมงหลังจากที่มีข้อร้องเรียนขึ้นมา  โดยถ้าเป็นกรณีที่ร้ายแรงมากก็ควรสื่อสารกับลูกค้าเจ้าของเรื่องโดยตรง  เรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งที่ต้องมี Service Mind ที่ดีจึงจะทำงานได้อย่างราบรื่น

นักแพ็คของ ส่งเร็วไว

การขายของออนไลน์นั้นมักมีออเดอร์จากลูกค้าเข้ามามหาศาลในแต่ละวัน  ซึ่งต้องอาศัยการเตรียมของและจัดส่งให้ถึงมือด้วยความละเอียดรอบคอบ  เพราะหากส่งผิดแบบ ผิดไซส์ หรือผิดที่อยู่ ก็จะยิ่งเสียเวลาและเพิ่มต้นทุนไปโดยใช่เหตุ  ดังนั้นต้องใช้นักแพ็คสินค้าที่ว่องไว  และพร้อมจะวิ่งหอบของไปส่งที่ไปรษณีย์อย่างรวดเร็วด้วย

เทคนิคการแพ็คสินค้าแบบมืออาชีพ

  • อุดช่องว่างในกล่องอย่าให้เหลือ  ใส่ Air Bubble (พลาสติกกันกระแทก) กระดาษหนังสือพิมพ์ เศษผ้าเหลือใช้ กระดาษลูกฟูก ที่ช่วยให้ในกล่องไม่มีที่ว่างลงไป  เพื่อลดความเสียหายของสินค้าระหว่างขนส่ง
  • ใช้กล่องใหม่เสมอ ข้อแนะนำอีกอย่างคือควรใช้กล่องใหม่  เพราะมีความแข็งแรง ยังไม่ผ่านการใช้งานและบุบยากกว่ากล่องที่ถูกนำมาเวียนใช้เป็นรอบที่สอง

อุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น

นอกจากคนแล้วอุปกรณ์ก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน  เพราะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ทำงานสะดวก  โดยอุปกรณ์ที่พ่อค้าแม่ค้าควรมีนั่นคือ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และควรเป็นรุ่นที่ใช้แล้วชินมือ  เพราะธุรกิจนี้ต้องอาศัยความรวดเร็วนั่นเอง

ผู้ช่วยลับๆ

ช่วยลดต้นทุนค่าบริการรายเดือน  แพ็กเกจ 3Connect จาก AIS Business ที่สมัครแค่เพียงเบอร์เดียวแต่ ได้ถึง 3 ซิม คือ 1 ซิมหลักไว้ใช้โทรเข้า-ออกและเล่นเน็ตได้ ส่วนอีก 2 ซิมไว้ใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อเชื่อมต่อเน็ต ไว้ตอบแชท รับออเดอร์ลูกค้าหรือต่อยอดการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์

โดยทั้งหมดนี้คิดเหมาจ่ายเพียงแค่เดือนละ 899 บาท  แบ่งเป็นโทรทุกเครือข่ายได้ 700 นาที โทรเบอร์ AIS ฟรี (ตี 5 ถึง 5 โมงเย็น) ใช้อินเทอร์เน็ต NEXT G ได้ไม่จำกัด ใช้อินเทอร์เน็ต 4G/3G ได้ 8GB และ AIS SUPER Wifi แบบไม่จำกัด รองรับการเชื่อมต่อทุกอุปกรณ์

พิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ลดค่าบริการทันที 50% จาก 899 บาท เหลือเพียง 450 บาท นาน 1 ปี

การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์รวมถึงการดูแลลูกค้าบนช่องทางออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากนะคะ หากเรารู้วิธีทำงานที่ถูกต้อง  ก็ช่วยเพิ่มโอกาสและเข้าถึงลูกค้าเพียงปลายนิ้วเท่านั้น. ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูค่ะ

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครรับบริการได้ที่ AIS Shop และ AIS Telewiz ทั่วประเทศ สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 62 ถึง 30 เม.ย. 62 เพิ่มเติม AIS CALL CENTER 1175 หรือ เว็บไซต์ AIS Business: http://m.ais.co.th/gaHKxKjs3

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post ของมันต้องมี!! ผู้ช่วยมือดีในการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ appeared first on thumbsup.

5 ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจาก NU Mobile ที่ทำทุกอย่างได้ผ่านออนไลน์ จบได้เพียงปลายนิ้ว

$
0
0

จากอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตที่เติบโตขึ้นทุกปี และผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียมากกว่า 3,260 ล้านคนในปี 2019 นี้ ผลสำรวจเรื่อง Digital 2019 โดย Hootsuite และ We are Social บอกให้ได้ทราบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับดิจิทัลยังมีโอกาสอีกมาก

นอกจากนี้ Ookla ยังรายงานว่าความเร็วการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายในบ้านก็เพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 เพราะฉะนั้น ความเร็วในการใช้งานซิมจะช้าอีกไม่ได้แล้ว

รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ หรือเพศไหน ก็ต้องการใช้เน็ตที่ไหลลื่นและใช้งานได้ต่อเนื่องกับทุกรูปแบบการใช้งานบนโลกออนไลน์ทั้งโซเชียล ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือ Live สด รวมไปถึงการจัดการดำเนินเรื่องและทำธุรกรรมต่างๆ . ก็ต้องสามารถทำผ่านออนไลน์ได้ด้วยตัวเองในทุกขั้นตอน ซึ่งตรงกับแนวคิดของแบรนด์ NU Mobile ซิมออนไลน์แนวคิดใหม่

จุดเด่นที่ไม่ควรพลาด

1. ซื้อซิมง่าย

ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปไหน เพียงเข้าเว็บไซต์ NU Mobile ก็เปิดเบอร์ใหม่-ย้ายค่ายเบอร์เดิมได้ทุกที่ทุกเวลา เลือกแพ็กเกจให้ตรงใจ เริ่มต้นแค่ 259 บาท/เดือน จากนั้นเลือกเบอร์ที่ต้องการ กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบ ก็กดสั่งซื้อออนไลน์ ชำระเงิน รอรับซิมภายใน 1-3 วัน ที่บ้านและยืนยันตัวตนพร้อมใช้งานได้เลย

2. เน็ต Unlimited

เน็ตไม่อั้น เร็วแรงตลอดเดือนการันตีสัญญาณบนเครือข่าย AIS สามารถเลือกตามแพ็กเกจการใช้งานที่ต้องการได้เลย เริ่มต้นที่ 259 บาท ใช้เน็ตได้เร็ว 4 Mbps เหมาะกับการส่งข้อความสวัสดีทุกเช้า หรือถ้าเน้นความเร็ว สำหรับดูหนังออนไลน์หรือดูวีดีโอสตรีมมิ่งระดับ HD ต้องไม่พลาดเน็ต 6 Mbps หรือ 8Mbps แต่สำหรับสายเกม ต้องลอง 10Mbps ที่รับส่งไฟล์ใหญ่แค่ไหนก็ได้ ความละเอียดดีสุดๆ
และทุกแพ็กเกจจะให้โทรฟรีทุกเครือข่ายได้ 200 นาทีและ SMS 200 ข้อความ แต่ถ้าใช้ในแพ็กเกจไม่พอสามารถซื้อเพิ่มผ่าน NU Mobile App ได้เลยเพียง 50 บาท เท่านั้น

3. จ่ายเงินง่าย

สำหรับคนที่เจอปัญหาลืมจ่ายค่ามือถือบ่อยๆ นั้น สามารถเลือกได้ว่าจะตัดผ่าน บัตรเครดิตที่มีสัญลักษณ์ VISA หรือ Mastercard แบบอัตโนมัติทุกเดือน แต่ หากไม่มีบัตรเครดิต ก็เลือกจ่ายผ่านวอลเลตได้ตามสะดวกเลย ผ่าน Rabbit LINE PAY หรือผ่านบัตรเดบิตก็ได้จ้า แต่ถ้าขี้เกียจจำวันที่ต้องจ่ายก็จะมี SMS หรือการแจ้งเตือนของแอพที่แจ้งล่วงหน้าให้ทราบและกดยืนยันก่อนจ่ายได้เลย

4. จัดการง่าย

อยากจะเช็คการโทรก็เข้าไปดูประวัติการใช้งานย้อนหลัง หรือจะเข้าไปเช็คว่าจ่ายเงินไปหรือยังก็มีข้อมูลย้อนหลังให้ 3 เดือน หากลืมรหัสผ่าน ไม่ต้องไปโทรแจ้งใคร แค่กรอกข้อมูลและรีเซ็ทรหัสใหม่ผ่านอีเมล์ได้ หรือถ้าเบอร์ของคุณถูกขโมย แจ้งผ่าน LIVE Chat ได้แบบ 24 ชั่วโมงหรือหากต้องการยกเลิกเบอร์ก็ทำได้ผ่าน Chatbot บนเว็บหรือแอพได้เลย

5. สอบถามง่าย

ฉุกเฉินพร้อมช่วยเหลือง่าย หากได้ซิมมาแล้วไม่สามารถเข้าลิ้งยืนยันตัวตนได้ ซิมเสีย แจ้งปัญหาการใช้เน็ต สามารถทำผ่าน Live Chat โดยจะมี NU Agent คอย ช่วยเหลือตลอดเวลาหลากหลายช่องทางทั้ง NU Mobile website, app, Facebook มั่นใจได้เลยว่า ไม่ต้องต่อ Wifi ให้วุ่นวาย แค่สัญญาณมือถือก็ดีมากแล้วเพราะ NU Mobile อยู่บนเครือข่าย AIS

เรื่องง่ายๆ ของคนรุ่นใหม่ยุคดิจิทัลที่ไม่ควรพลาดกับการใช้ประโยชน์จากซิมมือ ถือทำทุกอย่างได้ผ่านออนไลน์แบบไม่ต้องวุ่นวาย สำหรับคนที่สนใจดูข้อมูล เพิ่มเติมได้ที่นี่

 

บทความนี้เป็น Advertorial

 
Source: thumbsup

The post 5 ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจาก NU Mobile ที่ทำทุกอย่างได้ผ่านออนไลน์ จบได้เพียงปลายนิ้ว appeared first on thumbsup.

Viewing all 2237 articles
Browse latest View live